หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 472 ฮองเฮาถูกปลดตำแหน่ง ฟู่เอินโหว (3)
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จ้องเขาตาเขม็ง ตรัสเสียงขรึม “เราต้องการฟังความคิดเห็นของเจ้า!”
หรงจิ่นเบะปากแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ลูกจะมีความคิดใดได้ หรงไหวโง่เองจะโทษใครได้เล่า” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เลิกคิ้วตรัส “กล่าวเช่นนี้…เจ้าเองก็คิดว่าหรงไหวถูกใครหลอกใช้อย่างนั้นหรือ”
หรงจิ่นเอ่ยพลางยิ้มเย็นชากล่าว “อย่าพูดเหมือนว่าเขาไร้ความผิดนักเลย หากไม่ใช่เพราะเขาแฝงเจตนาร้ายอยากกำจัดหรงเซวียน เขาจะถูกคนหลอกใช้ง่ายๆ เยี่ยงนี้ได้เช่นไร”
“เขาเป็นหลานของเจ้า!” ครั้นได้ยินน้ำเสียงไม่ใส่ใจของเขาเช่นนั้น ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็อดโกรธขึ้นมาไม่ได้ หรงจิ่นคลี่ยิ้มเย็นชา “เขาก็เป็นหลานของเสด็จพ่อเช่นกัน” แล้วอย่างไรเล่า ไม่เห็นตาแก่นี่จะเหลือทางรอดให้หรงไหวเลย ฟู่เอินโหว นับว่าเป็นฉายานามที่ไม่เลวเลยจริงๆ เสด็จพ่ออยากให้คนทั่วทั้งใต้หล้ารู้ว่าหรงไหวเป็นลูกหลานที่ไม่ได้เรื่องและเนรคุณต่อเชื้อกษัตริย์ของตระกูลหรงอย่างนั้นหรือ
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์พลันพูดไม่ออก มองหรงจิ่นพลางส่ายศีรษะอย่างระอาใจ ก่อนจะแหงนหน้ามองหรงจิ่นตรัส “ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว เจ้า…” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ขมวดคิ้วราวกับกำลังชั่งใจว่าควรหรือไม่ควรพูดเรื่องนี้ดี
หรงจิ่นมุ่นคิ้วจับจ้องเขาด้วยสายตาราบเรียบ
ผ่านไปนานฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็ถอนหายใจตรัสว่า “บัดนี้พวกมารผจญก่อเรื่องมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าอย่าไปรวมหัวกับพวกเขาแล้วกัน”
คิ้วทรงดาบของหรงจิ่นขมวดมุ่น เอ่ยอย่างหงุดหงิดใจ “เสด็จพ่อมีอันใดก็ว่ามาตรงๆ เถิด”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ผ่อนลมหายใจยาว ส่ายศีรษะกล่าว “จิ่นเอ๋อร์…เจ้าเกลียดเราหรือไม่”
หรงจิ่นชะงักไปเล็กน้อย เขาคิดไม่ถึงว่าคนที่อยู่เหนือใครอย่างฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จะถามคำถามนี้กับเขา ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็ดูเหมือนไม่อยากให้เขาตอบคำถามนี้แต่อย่างใด ตรัสต่อขึ้นว่า “เรารู้…ว่าเจ้าต้องเกลียดเรา มิเช่นนั้นเจ้าคงไม่เปลืองแรงตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับเราและพี่น้องเหล่านั้นของพวกเจ้าหรอก ในเมื่อ…ตอนนั้นเราไม่สนใจไม่ถามไถ่ ถึงทำให้เจ้าทนทุกข์ทรมานขนาดนั้น”
ครั้นได้ยินคำบ่นพึมพำของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ สีหน้าของหรงจิ่นก็ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ เขาเกลียดเวลาที่คนอื่นพูดถึงเรื่องตอนเด็กๆ ของเขามากที่สุด ความโดดเดี่ยวราวกับต้องเผชิญกับคนที่ไม่น่าไว้ใจทุกเมื่อในเวลานั้น ความรู้สึกเหล่านั้นทำให้เขาควบคุมอารมณ์ของตนไม่อยู่
“พอได้แล้ว! เสด็จพ่อต้องการจะตรัสอะไรกันแน่” หรงจิ่นตัดบทเขาด้วยเสียงเย็นชา
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์มองเขาด้วยสายตารักใคร่ราวกับกำลังมองเด็กน้อยที่ยังไม่รู้ความก็มิปาน “อย่าเข้าใกล้พี่สามของเจ้ามากเกินไป เจ้าไม่เคยคิดเลยหรือ…ว่าเหตุใดตอนที่เจ้าอยู่ตำหนักเหมยถึงไม่ต่างจากอยู่ตำหนักเย็น แถมเหตุใดยังมีคนอยากฆ่าเจ้าทุกเมื่อ แต่…เจ้ากลับบังเอิญรอดมาได้ครั้งแล้วครั้งเล่า” คนในวังหลวงโหดเหี้ยมมากจริงๆ แต่พวกเขาจะฆ่าเฉพาะคนที่มีค่าพอเท่านั้น หรงจิ่นในตอนนั้นเป็นเพียงเด็กไม่กี่ขวบที่ถูกฮ่องเต้ลืมทอดทิ้งไว้ก็เท่านั้น ใครจะไปฆ่าเขา หากไม่ใช่เพราะจู่ๆ ตอนแปดขวบถูกวางยาแล้วล่ะก็ บางทีฮ่องเต้แคว้นเย่ว์อาจลืมเขาไปชั่วชีวิตแล้วกระมัง
หรงจิ่นสาดสายตาเย็นยะเยือก “เสด็จพ่อหมายความว่าเช่นใด”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ส่ายศีรษะแล้วตรัสด้วยรอยยิ้ม “จำคำของพ่อไว้ พ่อรักเจ้าที่สุดแล้วจะทำร้ายเจ้าได้เช่นใด เจ้าไปเถิด”
หรงจิ่นมองฮ่องเต้แคว้นเย่ว์อยู่นานก่อนจะยกยิ้มเย็นชาแล้วหมุนตัวเดินจากไปอย่างไม่คิดลังเลใจ คงรู้ว่าหรงจังพยายามใกล้ชิดเขาแล้วน่ะสิ นับว่าข่าวเร็วดีจริงๆ!
หลังออกจากพระตำหนักชิงเหอเดินมาได้ไม่ไกลก็เห็นมู่ชิงอีกำลังนั่งสนทนาอยู่กับหรงจัง ฉับพลันหรงจิ่นก็แววตาถมึงทึงรีบย่างกรายเดินเข้าไปหาอย่างช้าๆ ร้องเรียกว่า “จื่อชิง กลับได้แล้ว”
มู่ชิงอีหันไปมองเขาแวบหนึ่งถึงลุกขึ้นขอตัวจากหรงจังพร้อมรอยยิ้มแล้วเดินจากมา หรงจิ่นไม่แม้แต่จะมองหรงจังสักนิดก็ลากตัวมู่ชิงอีเดินจากไปทันที
หรงจังที่นั่งอยู่ริมโต๊ะฝั่งขวามองเงาหลังของพวกเขาสองคนเดินจากไปพลางเหม่อลอยเล็กน้อย
“สวินอ๋อง ฝ่าบาทเรียกเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” ไม่รู้ว่าเจี่ยงปินพาคนอื่นๆ มาอยู่ตรงหน้าพร้อมเอ่ยเสียงนอบน้อมเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด หรงจังหลุบตาลงเอ่ยเสียงเรียบ “ข้ารู้แล้ว ลำบากขันทีเจี่ยงเข้าแล้ว”
พอกลับมาถึงจวน หรงจิ่นถึงเอ่ยถามว่า “เขาพูดอะไรกับชิงชิง เขาทำอะไรเจ้าหรือไม่”
มู่ชิงอีคลี่ยิ้มกล่าว “สวินอ๋องก็แค่เรียกหม่อมฉันเข้าไปพูดคุยด้วยเท่านั้น อยู่ในวังหลวงใหญ่โตเช่นนั้นจะกล้าทำอะไรได้เล่า” หรงจิ่นแค่นเสียงเอ่ย “ เพราะอยู่ในวังนั่นแหละข้าถึงไม่วางใจ”
มู่ชิงอีกล่าว “ไม่มีอะไรหรอกเพคะ เพียงแค่ถามว่าสุขภาพของท่านเป็นเช่นใดบ้าง เรื่องในพระตำหนักใหญ่วันนี้…แล้วก็เรื่องการตายของเต๋อเฟย”
หรงจิ่นเอนกายบนเก้าอี้ เอ่ยพลางหรี่ตาอย่างเกียจคร้าน “เรื่องในพระตำหนักใหญ่เป็นไปตามที่คาดเดาไว้ แต่…เรื่องการตายของเต๋อเฟยเหนือความคาดหมายไปบ้าง แต่เป็นแบบนี้ก็ดีมิใช่หรือ เพียงพริบตาเดียวหรงไหวกับหรงเซวียนก็เป็นคู่แค้นจนอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้แล้ว” หรงหวงถูกหรงเซวียนฆ่าจริงหรือไม่ไม่มีใครรู้ แต่ทุกคนกลับรู้เรื่องที่ฮองเฮาฆ่าเต๋อเฟย หรงไหวจบสิ้น ฮองเฮาก็จบสิ้นเช่นกัน ถึงแม้ดูเหมือนหรงเซวียนจะไม่เป็นไร แต่เต๋อเฟยตายไปแล้ว อีกทั้งหรงเซวียนยังถูกฮ่องเต้แคว้นเย่ว์สงสัยอย่างเลี่ยงไม่ได้ แบบนี้ยิงปืนนัดเดียวได้นกตั้งสองตัว
มู่ชิงอีคลึงหว่างคิ้วอย่างปวดเศียรเวียนเกล้าเอ่ย “ช่วงนี้เราควรพักก่อน ท่านอ๋อง ถึงแม้พวกเราจะทำทุกเรื่องอย่างลับๆ แต่…ยิ่งคนเหลือน้อยลงมากเท่าไร พวกเราก็จะถูกเปิดโปงได้ง่ายเท่านั้น”
หรงจิ่นพยักหน้ากล่าว “เจ้าวางใจเถิด ตอนนี้มีคนรอไม่ไหวจนเป็นฝ่ายกระโดดโลดเต้นเองแล้วมิใช่หรือ”
“สวินอ๋อง?” มู่ชิงอีมุ่นคิ้วเอ่ย
หรงจิ่นขานรับ “อืม” ทีหนึ่งก่อนเคาะโต๊ะเบาๆ กล่าว “เรื่องหรงไหวกับหรงเซวียนครั้งนี้ เจ้าคิดว่าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดเลยหรือ อย่าลืมสิ…ใช่ว่าเย่าหวังกู่จะจำเป็นต้องฟังคำพูดของมู่หรงอวี้จริงๆ เสียทีเดียว ฮองเฮา…ไม่มีทางบุ่มบ่ามฆ่าเต๋อเฟยด้วยอารมณ์ชั่ววูบอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุเช่นนี้แน่นอน”
ความจริงเวลานี้อำนาจในเย่าหวังกู่ยังตกอยู่ในมือของหลิงซูกับซู่เวิ่นเป็นหลัก อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างหลิงซูกับเว่ยอู๋จี้ก็ไม่ธรรมดาด้วย ดังนั้นหากจะกล่าวว่าเย่าหวังกู่ฟังคำใครคงพูดยากมากจริงๆ อีกอย่างต่อให้ฮองเฮาจะเคียดแค้นหรงเซวียนเพียงใด หากเลือกฆ่าเต๋อเฟยในเวลานั้นก็ถือว่านางโง่เขลามากจริงๆ เบื้องหลังย่อมมีสาเหตุบางอย่างแน่นอน มู่ชิงอีงุดหน้าพลางขบคิดราวกับนึกอะไรบางอย่างออกก็มิปาน
“ชิงชิง ระยะนี้เจ้าระวังมู่หรงอวี้กับหรงเหยี่ยนไว้หน่อยแล้วกัน” หรงจิ่นเอ่ยเสียงขรึม มู่ชิงอีฉงนใจ “ทำไมหรือเพคะ”
หรงจิ่นกล่าว “ชิงชิงยังจำเรื่องแคว้นหวาครานั้นได้หรือไม่ ภายในระยะเวลาไม่ถึงสองเดือนองค์ชายของแคว้นหวา…ก็บาดเจ็บล้มตายกันเกือบหมด” เวลานี้มู่ชิงอีเพิ่งมาถึงแคว้นเย่ว์ไม่ถึงหนึ่งปี ถึงแม้แคว้นเย่ว์จะมีองค์ชายตายไปเพียงคนเดียว แต่ก็ถือว่าทำลายหลานคนหนึ่ง ฮองเฮาคนหนึ่ง อัครเสนาบดีคนหนึ่งไปพร้อมกัน อีกทั้งยังมีพระชายาตายไปคนหนึ่งด้วย ไม่เพียงเท่านี้ยังมีองค์ชายคนหนึ่งถูกฮ่องเต้กักบริเวณอีกต่างหาก ถึงแม้คนนอกจะมองไม่ออก แต่หรงเหยี่ยนและมู่หรงอวี้ที่เคยผ่านเรื่องราวในตอนนั้นของแคว้นหวามาอาจจะโยงเรื่องพวกนี้มาที่ตัวมู่ชิงอีก็เป็นได้
มู่ชิงอีทำได้เพียงถอนหายใจ ถึงแม้เรื่องตอนแคว้นหวานางจะทำอย่างลับๆ แต่รอกระทั่งคนที่อยู่ในเหตุการณ์ได้สติก็คงมองออก ความจริงหากหรงเหยี่ยนสงสัยตัวตนของนางจริงๆ คงไม่เพียงแค่สงสัยตัวนางเท่านั้น แต่จะลามสงสัยมาถึงตัวหรงจิ่นด้วย
หรงจิ่นย่อมรู้อยู่แล้วว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ เขาจึงหัวเราะเสียงเบาพลางโอบนางเอ่ย “ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ไป มาถึงขั้นนี้แล้ว หากยังต้องหลบๆ ซ่อนๆ ต่อไปก็ไม่มีความหมายอันใดอีก” ในเมื่อต้องการช่วงชิงตำแหน่งนั้นมา ถึงอย่างไรก็ต้องทำอย่างเปิดเผยอยู่แล้ว มิเช่นนั้นจะมีความหมายใดเล่า คงมิอาจคอยหลบๆ ซ่อนๆ รอกระทั่งบัลลังก์ตกมาเป็นของเขาอย่างเงียบๆ หรอกกระมัง