หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 479 วางยาพิษปลิดชีพ(2)
“ช่วยด้วย!”
“กำลังทำอะไรกัน!” น้ำเสียงก้องกังวานดังขึ้นที่หน้าประตู แฝงไว้ด้วยความสับสน
ไม่นานแม่ทัพเวยอู่ก็ถูกดึงออกไป ซุนลี่เหยียนหรี่ตามองด้วยใบหน้าที่โดนต่อยจนบูดบวม ในที่สุดก็มองเห็นเด็กหนุ่มชุดขาวผู้สง่างามยืนอยู่ที่ประตูอย่างชัดเจน
“ใต้เท้า…ใต้เท้ากู้! เหลยหลินจะฆ่าข้า!” ซุนลี่เหยียนรีบเอ่ยขึ้น
มู่ชิงอีหรี่ตาเล็กน้อย ดวงตาใสๆ มองไปที่แม่ทัพเวยอู่แล้วเอ่ย “แม่ทัพเวยอู่ เป็นเช่นนั้นจริงหรือ”
แม่ทัพเวยอู่ก็ไม่ใช่คนโง่ แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นจริงก็ย่อมไม่ยอมรับอย่างแน่นอน ยักไหล่พลางกล่าวอย่างดูหมิ่น “หากข้าจะฆ่าคนไร้ประโยชน์เช่นนี้ มีหรือพวกเจ้าจะมาห้ามทัน”
มู่ชิงอีขมวดคิ้ว มองซุนลี่เหยียนด้วยความลำบากใจเล็กน้อย “แม่ทัพเวยอู่กล่าวถูกแล้ว ใต้เท้าซุน…หากแม่ทัพเวยอู่มีใจคิดจะฆ่าท่านจริงๆ เวลานี้…ข้าคงทำได้เพียงเข้าวังไปขออภัยโทษกับฝ่าบาทแล้ว”
“เจ้า…เจ้ากล้าเข้าข้างเขาหรือ!” ซุนลี่เหยียนพูดอย่างเดือดดาล มู่ชิงอีขมวดคิ้วเอ่ย “ใต้เท้าซุนกล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ที่ว่าการเฟิ่งเทียนมีเพียงจวนเล็กๆ เช่นนี้ เหตุใดพวกท่านถึงอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขไม่ได้ นี่พึ่งจะสามวันเอง มีใต้เท้าหลายคนได้รับบาดเจ็บแล้ว ตอนนี้ก็มีใต้เท้าซุนเพิ่มมาอีกหนึ่งคน หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เมื่อคดีจบแล้วข้าจะอธิบายต่อฝ่าบาทเช่นใด”
สีหน้าของซุนลี่เหยียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่มีเวลามาสนใจความเจ็บปวดบนใบหน้า กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “เจ้าบอกว่าฝ่าบาทยอมให้พวกเรา…อยู่ในที่ว่าการเฟิ่งเทียนอย่างนั้นหรือ”
มู่ชิงอียิ้มอย่างสดใส เล่นพัดในมือพลางยิ้มเอ่ย “นี่ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ ใต้เท้าซุนก็อยู่ที่นี่มาสามวันแล้ว”
สีหน้าซุนลี่เหยียนดูแย่ยิ่งกว่าเดิม “แล้วเมื่อไรใต้เท้ากู้จะทำคดีนี้จบ” มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “เดิมทีหากเร็วที่สุดก็สามถึงห้าวัน แต่คราวนี้มีหลายคดีกองอยู่ในที่ว่าการเฟิ่งเทียน จำเป็นต้องขอหลักฐานก่อน มีหลายคดีเกรงว่าจะต้องเปิดโรงศพเพื่อชันสูตร ข้าไม่สามารถปฏิบัติละเลยในหน้าที่ของที่ว่าการเฟิ่งเทียนได้ เรื่องนี้…ไม่เร็วไม่ช้าคงต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง ใต้เท้าซุนโปรดวางใจ ฝ่าบาทได้หาคนมาดูแลจัดการงานแทนใต้เท้าทุกท่านแล้ว ขอให้ทุกคนอยู่ที่นี่อย่างสงบสุข ข้าจะพยายามให้ดีที่สุดเพื่อคืนความบริสุทธิ์และความยุติธรรมให้แก่ทุกท่าน”
เมื่อมองชายหนุ่มตรงหน้าที่กำลังยิ้มแย้ม ซุนลี่เหยียนทำได้เพียงร้องครวญครางในใจ ต้องการวางแผนต่อต้านจวงอ๋องแต่กลับลงเอยด้วยการที่ตัวเองเข้าไปติดกับด้วย ไม่รู้ว่าตอนนี้จวงอ๋องมีความคิดอย่างไร
เมื่อเห็นว่าซุนลี่เหยียนไม่พูดอะไร มู่ชิงอีก็โบกมืออย่างพอใจ “ซิวจู๋ รีบไปเชิญหมอมาดูใต้เท้าซุน อย่าให้ช้ำเรื้อรัง”
ซุนลี่เหยียนไม่มีอะไรจะพูดแล้วจริงๆ ท่าทีของฝ่าบาทได้อธิบายแล้ว เกรงว่าฝ่าบาทจะทรงเบื่อหน่ายกับการวางกลอุบายของบรรดาองค์ชายจึงได้ยืมมือกู้หลิวอวิ๋นมาจัดการพวกเขาพลางจัดการตวนอ๋องกับจวงอ๋องไปด้วย ส่วนตัวเอง…หากต้องอยู่ที่นี่ช่วงระยะเวลาหนึ่งจริงๆ ตำแหน่งเจ้ากรมอาลักษณ์จะยังเหลือให้ตัวเองหรือไม่
มู่ชิงอีโบกมือให้เซี่ยซิวจู๋พาแม่ทัพเวยอู่ออกไป ส่วนตัวเองกลับนั่งลงด้านข้างดูหมอทำแผลให้ซุนลี่เหยียน แม้ว่าที่ว่าการเฟิ่งเทียนจะไม่มีหมอที่เรียกได้ตลอดเวลา แต่ก็มีผู้ชันสูตรศพ แค่ทำแผลคงไม่จำเป็นต้องจริงจังขนาดนั้นหรอกใช่หรือไม่
ซุนลี่เหยียนนั่งเงียบๆ ให้ผู้อื่นทำแผลให้ตัวเองพลางแยกเขี้ยวจ้องมองไปที่ชายหนุ่มชุดขาวที่ทำท่าทางสบายๆ อยู่ตรงหน้าเขา เมื่อทำแผลเสร็จก็กล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “ใต้เท้ากู้กำลังดูข้าขายหน้าอยู่อย่างนั้นหรือ”
มู่ชิงอียิ้มพลางเอ่ยเสียงเรียบว่า “ใต้เท้าซุนเข้าใจผิดแล้ว ข้าเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของใต้เท้าซุนต่างหาก”
ซุนลี่เหยียนสบถเบาๆ “ตอนนี้ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว ใต้เท้ากู้เชิญตามสบายเถิด”
มู่ชิงอีพยักหน้า ยิ้มบางเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากใต้เท้าซุนมีอะไรอยากจะพูดก็ให้ส่งคนมาหาข้าได้ตลอดเวลา”
ซุนลี่เหยียนตกตะลึง ไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอย่างไรอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่เห็นได้ชัดว่ามู่ชิงอีไม่ได้คิดที่จะไขข้อข้องใจให้กับเขา พยักหน้าพลางลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
การที่ขุนนางฝ่ายของตวนอ๋องและฝ่ายของจวงอ๋องถูกกักขังไว้ในที่ว่าการเฟิ่งเทียนเป็นเพียงจุดเริ่มต้น สองวันต่อมาทั้งราชสำนักต้องตกตะลึงเมื่อมีข่าวว่าจวงอ๋องถูกวางยาพิษในจวนอย่างกะทันหัน จวงอ๋องได้ถูกฮ่องเต้แคว้นเย่ว์สั่งห้ามไม่ให้ออกไปไหนให้อยู่แต่ในจวน แม้ว่าองครักษ์ทั้งในและนอกจวนจะยังคงเป็นคนของจวงอ๋อง แต่แน่นอนว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ได้แอบรับสั่งให้คนจับตาดู ในสถานการณ์เช่นนี้จวงอ๋องถูกวางยาพิษอย่างไม่มีที่มาที่ไป จะไม่ดึงดูดความสนใจของทุกคนได้อย่างไร
ในจวนอวี้อ๋อง ยากนักที่มู่ชิงอีจะนั่งดีดฉินอย่างผ่อนคลายที่เรือนชิงหนิง บนเนินหินเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกล หรงจิ่นก็นอนอย่างเกียจคร้านพลางฟังนางดีดฉิน แสงแดดอันอบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิส่องลงบนร่างกายได้พัดพาความหนาวเย็นของฤดูหนาวออกไป ทำให้คนรู้สึกอยากนอนหลับอย่างสบายๆ
เมื่อบทเพลงจบลง มู่ชิงอีก็หันกลับไปมองหรงจิ่นเอ่ย “จวงอ๋องถูกวางยาพิษ เหตุใดท่านไม่ไปเยี่ยม” หรงจิ่นกล่าวอย่างเกียจคร้าน “ยังไม่ตายเสียหน่อย”
หากตายแล้วก็ไม่ต้องไปเยี่ยมแต่ต้องไปจุดธูปเคารพศพแทน
เมื่อเห็นว่าดวงตาของนางเคร่งขรึมเล็กน้อย หรงจิ่นก็รีบลุกขึ้นจากเนินหิน เดินมานั่งข้างนาง “มู่หรงอวี้ส่งคนไปวางยาพิษ แต่กลับไม่ให้ถึงตาย ชิงชิงไม่คิดว่ามันแปลกหรือ” ไม่ใช่ว่าทุกคนจะโชคดีเหมือนเซี่ยซิวจู๋ที่มีหรงจิ่นคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ แม้ว่าจวงอ๋องก็มีหนานกงเจวี๋ย แต่หากเย่าหวังกู่วางยาคนติดต่อกันหลายครั้งก็ยังไม่ตาย เช่นนั้นเย่าหวังกู่ก็ควรเปลี่ยนเจ้าสำนักได้แล้ว
ชิงชิงพยักหน้าเล็กน้อย “มันแปลกจริงๆ”
หรงจิ่นแค่นเสียงเอ่ย “พวกคนโง่เขลาเหล่านั้นถูกคนหลอกใช้กันหมดแล้วยังทนรับใช้พวกเขาอย่างหน้าชื่นตาบาน”
“หรง...จัง?” มู่ชิงอีกล่าวเสียงเบา
หรงจิ่นสบถเบาๆ ดูถูกใครบางคนอย่างเห็นได้ชัด เขานอนพิงมู่ชิงอีอย่างเกียจคร้าน พูดพึมพำเบาๆ “ไปทำร้ายผู้อื่นเพื่อผลประโยชน์ แต่กลับไม่รู้ว่ามีคนอื่นวางแผนทำร้ายอยู่ ชิงชิง พวกเราก็ควรเตรียมตัวแล้ว”
มู่ชิงอีหลุบตาลง พยักหน้าเล็กน้อย “ท่านพิจารณาดีแล้วว่าต้องทำเช่นนี้อย่างนั้นหรือเพคะ”
หรงจิ่นยิ้มเอ่ยอย่างเย็นชา “ใครก็อย่าคิดขวางทางข้าทั้งนั้น อย่าหาว่าข้าไร้น้ำใจ ตอนนี้ไม่มีเวลามาพิจารณาอะไร ตาเฒ่าสุขภาพไม่ดีแล้ว”
“นี่ เรื่องจริงหรือ” มู่ชิงอีประหลาดใจเล็กน้อย สองวันก่อนหน้านี้ตอนที่เข้าเฝ้าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ สีหน้าของเขาดูดีเป็นอย่างมาก ไม่เหมือนชายชราที่พึ่งเสียพระสนม รอบกายล้อมรอบไปด้วยบรรดาลูกหลานที่ไม่ลงรอยกัน
หรงจิ่นเอ่ยเสียงเรียบ “วรยุทธ์ของตาเฒ่านั้นลึกล้ำยากคาดเดา แม้ว่าจะป่วยอยู่พักหนึ่งก็ไม่มีใครมองออก แต่ว่า…นี่ก็เดือนกว่าแล้ว เขาเรียกหมอหลวงเข้าเฝ้าเพียงคนเดียว”
“นี่…ตามระเบียบในวัง ทุกสามวันฮ่องเต้ต้องเชิญหมอหลวงมาตรวจชีพจรหนึ่งครั้ง และในแต่ละครั้งต้องเชิญหมอหลวงมาตรวจสองคนพร้อมกัน ควรมีหมอหลวงประจำราชสำนักอย่างน้อยหกคนเพื่อตรวจชีพจรทุกเดือน ในเวลาหนึ่งเดือนเรียกหมอหลวงเข้าเฝ้าเพียงคนเดียวนับว่าค่อนข้างแปลก แต่หากร่างกายของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่เช่นนี้ ก็ถึงเวลาที่ต้องเตรียมผู้สืบทอดตำแหน่งแล้ว แต่ในตอนนี้กลับไม่มีใครมองออกว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์มีแผนเช่นนี้”
หรงจิ่นโอบมู่ชิงอี แย้มยิ้มเอ่ย “ตอนนี้ปล่อยให้พวกเขาต่อสู้กันไปก่อนเถิด รอถึงตอนสุดท้าย…ข้าสงสัยไม่น้อยว่าพวกเขาเหล่านั้นจะมีสีหน้าอย่างไร”