หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 487 การตายของมู่หรงอวี้(3)
หลังจากอ่านรายชื่อยาวเหยียดเป็นหางว่าว คนในชั้นศาลล้วนคุ้นเคยกับเรื่องในราชสำนัก ต่างก็แยกออกได้อย่างชัดเจนว่าเรื่องไหนเป็นคนของตวนอ๋องเรื่องไหนเป็นคนของจวงอ๋อง จากนั้นก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าคดีของจวนตวนอ๋องส่วนใหญ่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือและไม่สามารถปฏิเสธได้ ส่วนคดีของจวนตวนอ๋องครึ่งหนึ่งนั้นถูกใส่ร้าย
หลังจากอ่านจบแล้วมู่ชิงอีก็โบกมือให้คนนำเอกสารไปให้บรรดาองค์ชายทุกท่านดู สีหน้าของหรงเหยี่ยนดูแย่เล็กน้อย “กู้หลิวอวิ๋น เจ้า…”
ความจริงแล้วคดีของทั้งสองจวนนั้นคล้ายกัน ต่างก็เป็นเรื่องจริงครึ่งไม่จริงครึ่ง แต่นี่ก็เป็นทักษะอย่างหนึ่ง มู่ชิงอีเพียงแค่มองคดีเหล่านั้นส่วนใหญ่ก็สามารถตัดสินได้ว่าส่วนไหนเป็นจริงเป็นเท็จ คดีที่จัดการก่อนหน้านี้ นางเลือกคดีที่เป็นเรื่องจริงของจวนตวนอ๋องและเลือกคดีที่เป็นเท็จของจวนจวงอ๋อง และผลก็ออกมาเป็นเช่นนี้ แต่กลับไม่มีใครพูดอะไรได้ หากคดีทั้งหมดถูกปิดลงแล้ว จะสามารถค้นพบได้ว่าความจริงแล้วทุกคนนั้นไม่แตกต่างกันเลย
ตอนแรกหรงเหยี่ยนเอาแต่คิดที่จะสร้างปัญหาให้หรงเซวียนกับมู่ชิงอี เกรงว่าจะคิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
มู่ชิงอีกล่าวอย่างนิ่งสงบ “ข้าใช้หมวกขุนนางกับชีวิตเป็นประกัน หากคดีเหล่านี้มีข้อผิดพลาด ข้าจะชดใช้ด้วยชีวิต”
ทันทีที่พูดจบมู่ชิงอีก็สังเกตเห็นสายตาเย็นชาที่มองมาทางนี้ ไม่ต้องก้มหน้าลงมองก็สามารถรู้ได้ว่าต้องเป็นหรงเหยี่ยนที่จ้องมาที่ตัวเองด้วยสีหน้าไม่พอใจ ทำได้เพียงส่ายหน้าอย่างเอือมระอาแล้วมองไปที่หรงเหยี่ยนอย่างเฉยเมย
เป็นเพราะหรงเหยี่ยนรู้ถึงความจริงเท็จในนั้นจึงได้โกรธจนพูดอะไรไม่ออก ผ่านไปครู่ใหญ่หรงเหยี่ยนจึงได้ยิ้มอย่างเย็นชา “ต่อให้เป็นเช่นนี้แล้วจะสามารถพิสูจน์อะไรได้ พิสูจน์ว่าความสัมพันธ์ข้ากับพี่สองไม่ดีอย่างนั้นหรือ หรือว่าหากข้ามีความสัมพันธ์ไม่ดีกับพี่สองก็เลยวางยาพิษเขาอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นข้าสามารถเข้าใจได้หรือไม่ว่าทุกคนที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับใต้เท้ากู้แล้วถูกฆ่าตายนั้นล้วนเป็นฝีมือของใต้เท้ากู้”
มู่ชิงอีพยักหน้าเอ่ย “หากจะกล่าวเช่นนี้…จะถือว่าเป็นการเหมารวมเกินไปหน่อย แต่…หากเพิ่มสิ่งนี้เข้าไปล่ะ” ภายใต้สายตาประหลาดใจของทุกคน มู่ชิงอีหยิบจี้หยกที่ไม่เป็นที่สะดุดตาออกมาจากกล่องที่วางอยู่ตรงหน้า “ตามที่อานซุ่นจวิ้นอ๋องกล่าว นี่คือจี้หยกของคนที่ตวนอ๋องส่งไปเร่งให้เขารีบลงมือทำตกไว้ อืม…ว่ากันว่าเป็นคนที่อารักขาอยู่ข้างกายท่านอ๋องเป็นประจำ จี้หยกนี้ท่านอ๋องคงจะเคยเห็นกระมัง”
หรงเหยี่ยนอึ้งตะลึง รีบปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “เหลวไหล ข้าไม่เคยเห็นจี้หยกนี้มาก่อน!”
“นอกจากนี้แผนที่สำหรับลักลอบเข้าไปในจวนจวงอ๋องก็ได้มาจากจวนตวนอ๋อง ข้าดูแล้ว...แผนที่นี้วาดด้วยกระดาษจินสยาที่ตวนอ๋องใช้บ่อยที่สุด ตรงมุมกระดาษยังมีตัวอักษร ‘ตวน’ อีกด้วย” มู่ชิงอีหยิบกระดาษที่พับอยู่ขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจพร้อมเอ่ยเสียงเรียบ
หรงเหยี่ยนใจเต้นกระหน่ำ “พูดจาเหลวไหล ข้าจะเขียนชื่อของตัวเองลงบนแผนที่ทำไม ข้าไม่เคยวาดแผนที่อะไรทั้งนั้น จะต้องมีคนขโมยกระดาษของข้าเพื่อต้องการที่จะใส่ร้ายข้าอย่างแน่นอน!”
มู่ชิงอียิ้มเอ่ยอย่างเย็นชา “บนแผนที่ไม่ได้มีชื่อของตวนอ๋องจริงๆ ในเมื่อท่านอ๋องไม่ได้เป็นคนเขียน แล้วเหตุใดท่านอ๋องจึงคิดว่ามีคนขโมยกระดาษของท่าน กระดาษจินสยาก็ไม่ได้มีลายมือ หรือว่ากระดาษของจวนตวนอ๋องกับกระดาษที่ขายทั่วไปข้างนอกมีอะไรที่แตกต่างกัน หรือว่าท่านอ๋องเองก็รู้ว่ากระดาษจินสยานี้มาจากห้องตำราจวนตวนอ๋องจริงๆ อีกอย่าง จี้หยกนี้…เป็นหยกเทียมราคาสองตำลึง เนื่องจากเป็นรูปแบบเรียบง่ายงดงาม จึงเป็นที่นิยมทั่วไปของผู้คนในเมืองหลวง แม้แต่องครักษ์และบ่าวรับใช้จวนตวนอ๋องก็สามารถหาเงินสองสามตำลึงเพื่อมาซื้อจี้หยกเช่นนี้ได้อย่างง่ายดาย เหตุใดท่านอ๋องจึงบอกว่าไม่เคยเห็นมาก่อน”
“กู้หลิวอวิ๋น!” หรงเหยี่ยนกัดฟันพลางจ้องไปที่กู้หลิวอวิ๋น แม้ว่าเขาจะกระทำการอย่างระมัดระวัง ไม่ได้ทิ้งหลักฐานที่แน่ชัดให้มู่หรงอวี้ชี้ตัวได้ว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ แต่เหตุการณ์ในวันนี้ ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับเขาหรือไม่ เกรงว่าทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้คงเริ่มสงสัยเขาแล้ว ในที่สุดหรงเหยี่ยนก็เข้าใจความทรมานของหรงเซวียนที่ไม่อาจบรรยายได้หลังจากที่รัชทายาทเต้ากงสิ้นพระชนม์ แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์ก็ตาม
มู่ชิงอีเลิกคิ้วเล็กน้อย มองหรงเหยี่ยนอย่างสงบนิ่ง นางรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าคดีนี้ไม่มีจุดจบ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง…แม้ว่าจะมีผลลัพธ์แต่โทษสุดท้ายก็ยังคงเป็นมู่หรงอวี้ที่ต้องแบกรับ ราชวงศ์ไม่มีทางประกาศให้ทุกคนรู้เรื่องการฆาตกรรมของพี่น้องเชื้อพระวงศ์ นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ห้ามไม่ให้สืบคดีหรงหวง การจะทำลายองค์ชายสักคน ในหลายกรณีไม่จำเป็นต้องมีหลักฐาน แค่ทำให้คนรู้สึกว่าเขาทำอะไรบางอย่างที่น่าสงสัยก็พอแล้ว
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่เหมือนกับการพิจารณาคดีในชั้นศาล แต่เหมือนเป็นการทะเลาะกันมากกว่า บางคนยืนยันว่าหรงเหยี่ยนเป็นฆาตกรที่อยู่เบื้องหลัง บางคนเชื่อว่าหรงเหยี่ยนถูกใส่ร้าย และบางคนรู้สึกว่าหรงเหยี่ยนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย โต้เถียงกันไปมา สุดท้ายก็ไม่ใช่หน้าที่ของประธานในชั้นศาลทั้งสามคนแล้ว ตำแหน่งขุนนางของพวกเขานั้นต่ำที่สุดในที่แห่งนี้ ไม่สามารถพูดอะไรได้
สุดท้ายก็เป็นหรงจิ่นที่เอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้ “จะโต้เถียงกันทำไม เหตุใดไม่นำกระบวนการสอบปากคำเข้าไปในวังให้เสด็จพ่อทอดพระเนตร หากพวกเจ้ายังมีความคิดเห็นใดๆ ก็ต่างคนต่างเขียนฎีกาถวายก็พอ โต้เถียงกันไปมาราวกับหญิงเฒ่าอยู่ได้ ข้าหิวข้าวแล้ว!”
ทุกคนพลันสงบลงในทันที สุดท้ายก็เป็นหรงจังที่กระแอมเบาๆ เอ่ย “น้องเก้าพูดถูกแล้ว เสด็จพ่อเพียงแค่ต้องการให้พวกเราฟังการพิจารณาคดี ไม่ได้ให้พวกเราเข้าไปแทรกแซง ในเวลานี้ให้ผู้พิพากษาทั้งสามท่านตัดสินใจเถิด”
เจ้ากรมอาญารีบกล่าวขออภัย หรงจังกลับโบกมือแล้วเดินหันหลังออกประตูไป
“ใต้เท้ากู้ ข้าไปได้หรือยัง” หรงเหยี่ยนกล่าวด้วยสีหน้าเย็นยะเยือก
มู่ชิงอียกยิ้มเอ่ย “แน่นอน เชิญท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
หรงเหยี่ยนจับจ้องมู่ชิงอีอยู่นานก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “ใต้เท้ากู้จะทำอะไรก็ให้มันพอเหมาะ อย่าให้มากจนเกินไป”
“พี่สี่ ท่านพูดอะไรกับจื่อชิงหรือ” น้ำเสียงเย็นชาของหรงจิ่นดังมาจากข้างหลัง หรงเหยี่ยนพลันรู้สึกเย็นสะท้านไปทั่วหลัง บอกเพียงว่าไม่มีอะไรแล้วหันหลังเดินจากไป
มู่ชิงอีให้คนนำตัวมู่หรงอวี้กลับไป จากนั้นก็กล่าวลาหนานกงอี้กับเจ้ากรมอาญาแล้วจึงไปที่ห้องโถงด้านหลังกับหรงจิ่น
ที่ห้องโถงด้านหลังเงียบสงบ คนหนึ่งนั่งคนหนึ่งยืน ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์สวมชุดสีเหลืองฤดูใบไม้ร่วงนั่งอยู่หลังฉากกั้น หลับตาโดยไม่พูดอะไรสักคำ ไม่มีความรู้สึกห่างเหินที่มาจากเสื้อคลุมมังกรสีเหลือง มู่ชิงอีสังเกตเห็นอย่างชัดเจนว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์นั้นชราภาพมากแล้ว สีหน้าดูไม่ดีเท่าตอนอยู่ในวัง
“ฝ่าบาท” มู่ชิงอีเข้าไปถวายบังคม ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ชี้ไปที่เก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างส่งสัญญาณให้พวกเขานั่งลงพูดคุย มู่ชิงอียังไม่ทันได้กล่าวขอบพระทัยก็ถูกหรงจิ่นดึงให้นั่งลง
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เอนหลังพิงเก้าอี้นุ่ม สีหน้าดูสบายราวกับว่าเป็นคนชราทั่วไปที่ไม่ได้มีความสำคัญใด มีเพียงดวงตาที่เปล่งประกายเท่านั้นที่ทำให้คนนึกถึงสถานะแท้จริงของเขาและไม่กล้าที่จะอวดดีแม้แต่น้อย
เมื่อมองไปที่มู่ชิงอี ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็เลิกคิ้วตรัสถาม “เจ้าคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับคดีนี้”
มู่ชิงอีก้มหน้ายิ้มเอ่ย “ความจริงแล้วความเป็นมาเป็นไปของเรื่องนี้ฝ่าบาทได้ตัดสินใจไว้แล้วไม่ใช่หรือ การสอบสวนก็เป็นเพียงแค่กระบวนการเท่านั้น สุดท้ายแล้วจะเป็นเช่นใด…ล้วนขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จ้องนางอยู่นานก่อนที่จะตรัสเสียงเรียบ “เจ้ากล้าไม่เบาเลย” มู่ชิงอียิ้มรับไม่ได้ตอบอะไร โค้งคำนับด้วยความเคารพแล้วนั่งลง
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์สบถอย่างเย็นชา “ลูกทรพี! เรายังไม่ตายแต่พวกเขาก็ทนรอแทบไม่ไหวแล้ว”
มู่ชิงอีลอบบ่นในใจ หากก่อนที่ท่านจะสวรรคตแล้วยังไม่ได้เลือกรัชทายาท เกรงว่าจะเกิดการต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์ของบรรดาองค์ชายหน้าแท่นบรรทม คงไม่สามารถจากไปอย่างสงบสุขได้กระมัง