หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 489 การมาของมั่วเวิ่นฉิง(1)
“ไม่จริง! หากเจ้าคือมู่ชิงอี ข้ากับเจ้านับว่าไม่ได้มีความแค้นใหญ่หลวงใดต่อกัน!” มู่หรงอวี้กัดฟันพลางจ้องไปยังหญิงงามที่อยู่เบื้องหน้า แม้ว่ามู่หรงอานจะถอนหมั้นกับมู่ชิงอี แต่นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของเขา แต่มู่ชิงอีกลับพุ่งเป้าไปที่เขาอยู่เสมอ “น้องแปด…เจ้าเป็นคนฆ่าน้องแปดด้วยอย่างนั้นหรือ”
มู่ชิงอีเหยียดยิ้มมุมปาก “ถ้าใช่แล้วจะทำไม”
“เจ้าเป็นใครกันแน่! เจ้า…เจ้าไม่ใช่มู่ชิงอีอย่างแน่นอน! ” มู่หรงอวี้กล่าวด้วยความเดือดดาล มู่ฉังหมิงไม่มีความสามารถที่จะเลี้ยงบุตรสาวออกมาได้เช่นนี้อย่างแน่นอน สตรีที่รูปลักษณ์เหมือนมู่ชิงอีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ไม่มีทางเป็นมู่ชิงอีตัวจริงอย่างแน่นอน
มู่ชิงอีถอนหายใจแล้วเอ่ยพึมพำ “ความทรงจำยามฤดูใบไม้ผลิที่สวยงามเอย ความฝันกลายเป็นความทุกข์ ธุลีที่ร่วงหล่นเอย ดวงใจดั่งน้ำค้างแข็ง ความแค้นเอย ความเกลียดชังเอย ยากที่จะลืมเลือนไปชั่วชีวิต หมดสิ้นความยุติธรรม เหตุใดแคว้นยังไม่สูญสิ้น…”
สีหน้าของมู่หรงอวี้เปลี่ยนไปทันที จ้องมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความตกใจ “เจ้า…เจ้าคือกู้อวิ๋นเกอ? เป็นไปไม่ได้! กู้อวิ๋นเกอตายไปแล้ว!” กู้อวิ๋นเกอตายไปแล้ว เขาเห็นกับตาว่านางเดินเข้าไปในกองไฟ เผาไหม้แม้แต่กระดูกก็หาไม่พบ หรือว่ามีคนช่วยนางไว้ ไม่…มู่หรงอวี้สงบลงอย่างรวดเร็ว ปีนี้กู้อวิ๋นเกออายุสิบเก้าปีแล้ว แต่สตรีที่อยู่ตรงหน้ากลับเห็นได้อย่างชัดเจนว่าอายุไม่เกินสิบห้าสิบหกปี ย่อมไม่มีทางเป็นกู้อวิ๋นเกอได้
“เวลานี้แล้วยังจะหลอกข้าอีก สนุกนักหรือ” มู่หรงอวี้เอ่ยด้วยอารมณ์คุกรุ่น
มู่ชิงอียิ้มเล็กน้อยพลางเลิกคิ้ว “ท่านก็พูดเองว่า…ท่านจะต้องตายแล้ว ข้าจะหลอกท่านทำไม หรือว่าท่านไม่เคยคิด หากข้าเป็นชิงอีจริงๆ…จะได้ทรัพย์สินของตระกูลกู้มาอย่างง่ายดายได้อย่างไร ท่านคงตามหามานานแล้วกระมัง คงไม่มีทางที่จะไม่เคยมุ่งความสนใจไปที่มู่ชิงอี อย่างไรเสียหลังจากที่ตระกูลกู้ถูกรื้อค้น นอกจากพี่ชายลูกพี่ลูกน้องแล้วนางก็นับว่าเป็นคนเดียวที่มีความสัมพันธ์กับตระกูลกู้”
“ตระกูลกู้…เจ้า…เจ้าคืออวิ๋นเกอจริงๆ หรือ เหตุใดเจ้า…” มู่หรงอวี้จ้องมองนางด้วยความมึนงง
มู่ชิงอียิ้มเอ่ย “หากข้าตายแล้ว ท่านจะมีวันนี้ได้อย่างไร ไม่สิ…ต้องบอกว่าหากข้าไม่ตาย ท่านจะมีวันนี้ได้อย่างไร สถานะมู่ชิงอี...ใช้ประโยชน์ได้มากกว่าสถานะของกู้อวิ๋นเกอไม่ใช่หรือ”
“เจ้ากลับมาเพื่อแก้แค้นข้าหรือ” หรงอวี้ถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าคืออวิ๋นเกอจริงน่ะหรือ…”
มู่ชิงอีถือจอกสุราพลางก้าวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ามาส่งท่านจากไป ดื่มสุราจอกนี้ นับจากนี้ไปความแค้นของท่านกับข้านับว่าหายกัน”
มู่หรงอวี้เหม่อมองไปยังสตรีน่าทึ่งที่อยู่ตรงหน้า ภาพค่อยๆ ทับซ้อนกับกู้อวิ๋นเกอในความทรงจำของเขา เดิมทีมู่ชิงอีก็มีความคล้ายคลึงกับกู้อวิ๋นเกออยู่แล้ว เขาจำได้ว่าบางครั้งที่เห็นมู่ชิงอีก็มักจะรู้สึกคุ้นเคย เกรงว่าในตอนนั้นไม่ได้รู้สึกคุ้นเคยเพียงแค่รูปลักษณ์ของมู่ชิงอี แต่เป็นเพราะยังมีท่าทีของกู้อวิ๋นเกออีกด้วย
มองดูหญิงสาวที่กำลังแย้มยิ้มถือจอกสุราอยู่ตรงหน้า…ตอนยังหนุ่มเขาเคยจินตนาการว่าเมื่อเขากับอวิ๋นเกอแต่งงานกัน ในคืนเข้าหอนางจะสวมชุดแต่งงานสีแดง ยกจอกสุราคำนับตัวเอง ‘เมื่อดื่มสุราจอกนี้แล้ว นับตั้งแต่นี้ไปขอให้ท่านกับข้าแก่เฒ่าไปด้วยกัน’
มู่หรงอวี้ยื่นมือไปหยิบจอกสุราในมือมู่ชิงอี แต่เมื่อกำลังจะถึงมือนางเขากลับพุ่งเข้าไปคว้าตัวมู่ชิงอีเอาไว้
ฉึก! แสงสีเงินพุ่งออกมาจากปลายนิ้วของมู่ชิงอี และในขณะเดียวกันสุราในจอกก็สาดลงบนใบหน้าของมู่หรงอวี้ ดูเหมือนว่าความพยายามอย่างเต็มที่ของมู่หรงอวี้จะไร้ประโยชน์ หลังจากที่เขาหลีกเลี่ยงอาวุธลับแล้วจึงได้หันกลับไปมองอีกครั้ง มู่ชิงอีได้ถอยไปอยู่ในที่ที่เขาไม่สามารถเอื้อมถึงได้ จ้องมองเขาด้วยรอยยิ้มเย็นชา
“อวิ๋นเกอ…เจ้าเกลียดข้าขนาดนั้นเชียวหรือ” มู่หรงอวี้มองนางแล้วเอ่ยถาม
มู่ชิงอียิ้มเย็นชาเอ่ย “ข้าไม่แค้นท่าน แค่อยากให้ท่านตายก็เท่านั้น มู่หรงอวี้ ในเมื่อข้ายังมีชีวิตอยู่ ท่านจะไม่ตายได้อย่างไร หากท่านไม่ตาย บรรพบุรุษและคนในตระกูลข้าจะไปสู่สุคติได้อย่างไร”
“ไม่ อวิ๋นเกอ ข้าสำนึกผิดแล้ว…เจ้ายกโทษให้ข้าด้วยเถิด” มู่หรงอวี้จับลูกกรงเหล็กเอ่ยขอร้องวิงวอน มู่ชิงอีส่ายหน้าอย่างผิดหวังเล็กน้อย “ตระกูลกู้ต้องตกอยู่ในมือคนอย่างท่าน ช่างน่าอายจริงๆ ท่านกลัวตายหรือ ท่านรู้ได้อย่างไรว่าผู้อื่นไม่กลัวตาย คนตระกูลกู้ตายกันหมดแล้ว ท่านยังจะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไมเล่า ไม่สู้ให้ท่านไปพบหน้าคนตระกูลกู้สักคน”
“ซิวจู๋ เข้ามา”
เซี่ยซิวจู๋ผลักประตูเข้ามา ใบหน้าเย็นชาที่ไม่ได้สวมหน้ากากทำให้มู่หรงอวี้มองออกทันที “เนี่ยอวิ๋น เหตุใดเจ้ามาอยู่ที่นี่”
เซี่ยซิวจู๋เอ่ยเสียงเรียบ “ตามพระราชกฤษฎีกาของฝ่าบาท คนบาปที่ทรยศชาติไม่อาจอภัยได้ ประหารชีวิตสถานเดียว!”
มู่ชิงอียิ้มบางเอ่ย “ซิวจู๋ เรื่องนี้ต้องมอบหมายให้ท่านแล้ว”
เซี่ยซิวจู๋พยักหน้า “ข้าขอขอบคุณคุณหนู” มู่ชิงอีโบกมือ หันหลังแล้วเดินออกไปอย่างช้าๆ
“ไม่ อวิ๋นเกอ! เจ้าอย่าไป! อวิ๋นเกอ…” มู่หรงอวี้ร้องเรียกด้วยความหวาดกลัว เซี่ยซิวจู่ขมวดคิ้วมุ่นแต่กลับไม่ได้ถามอะไร เพียงแค่มองบุรุษสีหน้าหวาดระแวงที่อยู่ตรงหน้าอย่างเงียบเชียบ
เมื่อออกมาแล้วมู่ชิงอีก็สูดลมหายใจเข้าลึก พลันรู้สึกโล่งใจขึ้นเป็นอย่างมาก ราวกับว่ารู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อยขึ้นมาทันที นอกจากฮ่องเต้แคว้นหวาแล้ว…คนที่ทำร้ายตระกูลกู้ในตอนนั้น ในที่สุดก็ตายกันหมดแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้ลงมือจัดการมู่หรงอวี้ด้วยตัวเอง แต่มู่ชิงอีรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้นั้นไม่สำคัญแล้ว สิ่งที่สำคัญก็คือ นับแต่นี้เป็นต้นไป บนโลกนี้ไม่มีมู่หรงอวี้แล้ว และนาง…ยังค้นพบความหมายของการดำรงชีวิตอยู่ที่แตกต่างไปจากความเกลียดชัง
“ชิงชิง” หรงจิ่นก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็ว หยิบเสื้อคลุมมาคลุมตัวและศีรษะให้นาง “อากาศเปลี่ยนแล้ว ระวังจะเป็นหวัดเอาได้”
มู่ชิงอียิ้มอย่างระอาใจ “ไปกันเถิด พวกเรากลับกันเถิด”
เมื่อกลับมาถึงตระกูลกู้ ในจวนกลับมีคนที่คาดไม่ถึงกำลังรอพวกเขาอยู่ มู่ชิงอีมองไปยังบุรุษสีหน้าเย็นชาสวมชุดขาวราวหิมะนั่งอยู่ใต้ต้นเหมยที่ลาน อดแสดงสีหน้าประหลาดใจไม่ได้ แต่หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็เริ่มรู้สึกเข้าใจขึ้นมา
“มั่วเวิ่นฉิง” มู่ชิงอีก้าวไปข้างหน้าอย่างสงบนิ่ง บุรุษชุดขาวยืนขึ้นพลางพยักหน้าเบาๆ เป็นมั่วเวิ่นฉิงที่ไม่ได้พบกันเป็นเวลานาน
แม้ว่ามู่ชิงอีจะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่มั่วเวิ่นฉิงสามารถมาหาถึงที่จวนได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าตกใจขนาดนั้น เจ้าสำนักเย่าหวังกู่มักจะมีวิธีการบางอย่างที่แตกต่างจากผู้อื่น ดังนั้นในเวลานี้เมื่อมั่วเวิ่นฉิงเห็นนางกับหรงจิ่นยืนอยู่ด้วยกันก็ไม่ได้มีสีหน้าประหลาดใจแม้แต่น้อย
“มู่ชิงอี” มั่วเวิ่นฉิงพยักหน้าเอ่ย “ไม่เจอกันนาน”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วยิ้มเอ่ย “ข้าประหลาดใจมากที่เจ้าสำนักมั่วปรากฏตัวที่นี่” มั่วเวิ่นฉิงมองสำรวจนาง แล้วส่ายหน้าไปมา “แปลงโฉมก็สามารถถูกมองออกได้ เจ้าเป็นสตรี แปลงโฉมเป็นบุรุษยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีข้อบกพร่อง”
มู่ชิงอีรู้สึกยอมจำนน ทำได้เพียงแอบชื่นชมวิชาแพทย์ขั้นสูงของมั่วเวิ่นฉิง เกรงว่าเมื่อเทียบกับหลิงซูและหมอที่มีชื่อเสียงเหล่านั้น ความสามารถของมั่วเวิ่นฉิงนั้นสูงมากกว่าเท่าตัว อย่าลืมว่าแม้แต่เซี่ยซิวจู๋ผู้เชี่ยวชาญด้านกำลังภายในที่มีดวงเฉียบแหลมยังรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของนางจากการจับชีพจร แต่มั่วเวิ่นฉิงกลับสามารถสรุปได้เพียงแค่มองแวบเดียว
“เจ้าสำนักมั่วมาถึงเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อไร” มู่ชิงอีถามด้วยความสงสัย มั่วเวิ่นฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ “ข้ามาถึงเมืองหลวงตอนที่เทศกาลตรุษจีนเพิ่งจะสิ้นสุดลง”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” ไม่แปลกเลยที่มั่วเวิ่นฉิงสามารถหานางเจอได้อย่างรวดเร็วและรู้ตัวตนที่แท้จริงของนาง เกรงว่าเขาจะได้เห็นเรื่องวุ่นวายทั้งหมดของเมืองหลวงในหลายวันมานี้ เพียงแต่ว่ามั่วเวิ่นฉิงมีนิสัยเย็นชา ไม่สนใจเรื่องเหล่านี้แม้แต่น้อย