หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 490 การมาของมั่วเวิ่นฉิง(2)
หรงจิ่นเดินเข้ามาดึงมู่ชิงอีมาอยู่ข้างกายตัวเอง เลิกคิ้วเอ่ย “เจ้าสำนักมั่วมาในวันนี้มีธุระอะไร”
มั่วเวิ่นฉิงกล่าวด้วยท่าทางนิ่งสงบ “กระหม่อมไม่ใช่เจ้าสำนักเย่าหวังกู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเรียกเช่นนี้ กระหม่อมมาเพราะเรื่องมู่หรงอวี้”
หรงจิ่นกะพริบตา เลิกคิ้วเอ่ย “เจ้ามาช้าไป มู่หรงอวี้ตายแล้ว หากเจ้ามาเพราะมู่หรงอวี้เหตุใดไม่ไปที่ว่าการเฟิ่งเทียนแต่กลับมานั่งอยู่ที่นี่ ไม่แน่อาจจะช่วยชีวิตเขาได้”
มั่วเวิ่นฉิงพยักหน้าเอ่ยเสียงเรียบ “กระหม่อมรู้ว่าเขาตายแล้วเลยมาเพื่อเก็บศพเขา พ่อบุญธรรมช่วยชีวิตกระหม่อมไว้ เลี้ยงกระหม่อมมาจนเติบใหญ่ กระหม่อมช่วยชีวิตเขา คืนเย่าหวังกู่ให้เขา ช่วยเก็บศพแทนเขา”
เมื่อฟังน้ำเสียงแน่วแน่ของใครบางคน ต่อให้เป็นองค์ชายเก้าก็อดมุมปากกระตุกไม่ได้ มั่วเวิ่นฉิงรออยู่ที่นี่เพื่อเก็บศพมู่หรงอวี้อย่างนั้นหรือ หรงจิ่นก็ไม่ได้ใจแคบถึงขั้นไม่ยอมปล่อยร่างที่ไร้วิญญาณไป ยิ่งไปกว่านั้นการที่ทำให้ปรมาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านการใช้พิษต้องขุ่นเคืองเพียงเพราะเรื่องศพนั้นไม่ต่างอะไรกับหาเรื่องใส่ตัว
“ไม่มีปัญหา กลับไปข้าจะให้คนนำร่างของมู่หรงอวี้ส่งออกไปนอกเมืองให้เจ้า แต่…ต้องหลังจากสิบวัน ตอนนี้อากาศไม่ร้อน ทิ้งไว้สักครึ่งเดือนคงไม่มีปัญหาหรอกกระมัง” หรงจิ่นกล่าวพลางเลิกคิ้ว
มั่วเวิ่นฉิงพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ หรือว่าอวี้อ๋องคิดว่าเขาจะดูว่ามู่หรงอวี้ตายจริงหรือไม่ หากยังไม่ตายค่อยช่วยชีวิตอย่างนั้นหรือ ไม่ต้องพูดถึงว่าคนที่ว่าการเฟิ่งเทียนไม่มีทางลงมือฆ่าโดยประมาท ต่อให้มู่หรงอวี้ยังไม่ตายจริงๆ เขาก็ไม่มีทางยื่นมือเข้าไปช่วย เขาเคยพูดแล้วว่าคนอย่างมู่หรงอวี้ไม่มีค่าพอให้เขาลงมือด้วยตัวเอง
“เช่นนั้นก็ดี กระหม่อมยังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำ” มั่วเวิ่นฉิงเอ่ยเสียงเรียบ
ทันใดนั้นมู่ชิงอีก็รู้สึกผิดปกติเล็กน้อย ถามขึ้นอย่างลังเล “มีอะไรจะให้ช่วยอย่างนั้นหรือ” มั่วเวิ่นฉิงมองนาง เอ่ยเสียงเรียบ “ผู้อาวุโสหลิงซูทรยศเย่าหวังกู่ ฆ่านาง!”
มู่ชิงอีลูบหน้าผาก ไม่ใช่เรื่องดีจริงๆ ด้วย แต่ว่า…หากเพียงแค่ฆ่าหลิงซู…นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ “คาดว่าเจ้าสำนักมั่วจะเข้าใจสถานการณ์ในเมืองหลวงดี คุณชายเว่ยกับชิงอีมีมิตรภาพต่อกันเล็กน้อย ขอเจ้าสำนักมั่วอย่าได้ขุ่นเคือง”
“ตามสบาย ข้ากับชิงชิงไม่ได้เกี่ยวข้องกับสตรีผู้นั้น เชิญเจ้าสำนักกลับได้ ข้าไม่ขอส่ง” หรงจิ่นเอ่ยอย่างเกียจคร้าน
มั่วเวิ่นฉิงพยักหน้า เหลือบมองมู่ชิงอีเอ่ย “คนที่เจ้าบอกว่าต้องการขอให้ข้าช่วยคราวที่แล้ว ข้าเจอแล้ว”
มู่ชิงอีตกตะลึง “ท่านเจอพวกเขาแล้วหรือ พวกเขาสบายดีหรือไม่”
มั่วเวิ่นฉิงเอ่ยตอบ “ข้าพบกับพวกเขาตอนที่ไปเก็บสมุนไพรที่เผ่าปู้อี๋ ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังหาของบางอย่าง”
“เผ่าปู้อี๋?” มู่ชิงอีมุ่นคิ้ว นางไม่เคยพบคนของเผ่าปู้อี๋ แต่ในหนังสือโบราณมีบันทึกไว้ เผ่าปู้อี๋อาศัยอยู่ในภาคใต้ที่ร้อนระอุ ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาลึก ไม่ไปมาหาสู่กับคนภายนอก พี่ใหญ่กับพี่ชายไปหาของอะไรในสถานที่เช่นนั้นกัน
“พวกเขา…” มู่ชิงอีกังวลเล็กน้อย พี่ใหญ่เป็นนักปราชญ์ ส่วนพี่ชายก็ถูกยาพิษ
มั่วเวิ่นฉิงเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าเคยดูให้มู่หรงซีแล้ว พิษในตัวของเขาแทบจะไม่เหลือแล้ว เหลือเพียงแค่ของสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะสามารถกำจัดพิษได้ทั้งหมด แม้ว่าเขาจะมีพิษอยู่ในตัวมาเป็นเวลานาน ย่อมส่งผลต่ออายุขัยของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หากรู้จักดูแลรักษาก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะมีอายุขัยเกินกำหนด ข้าเองก็มาเมืองหลวงเพราะสิ่งนี้”
หรงจิ่นขมวดคิ้ว “เจ้าต้องการอะไร ข้าจะส่งคนไปหา”
“ยาชะล้างหยก” มั่วเวิ่นฉิงกล่าว
มู่ชิงอีใจเต้นระส่ำ “ยาชะล้างหยกเป็นอันตรายต่อร่างกาย ซ้ำยัง…” มั่วเวิ่นฉิงเหลือบมองหรงจิ่นด้วยความประหลาดใจ ราวกับคิดไม่ถึงว่ามู่ชิงอีจะรู้เรื่องนี้ อย่าว่าแต่คนธรรมดาทั่วไปไม่รู้จักยาชะล้างหยกเลย แม้แต่องค์ชายในตระกูลราชวงศ์ก็อาจจะไม่ได้รู้เรื่องนี้ทุกคน หากไม่ใช่เพราะหรงจิ่นทานยานี้ในตอนนั้น แม้แต่เขาก็อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำ
มั่วเวิ่นฉิงเลิกคิ้วเล็กน้อย ราวกับดูถูกเหยียดหยามเป็นอย่างมาก “หากยาชะล้างหยกอยู่ในมือของผู้อื่นย่อมเป็นอันตรายต่อคน” หมายความว่าผลของยาจะแตกต่างกันมากหากอยู่ในมือของเขา เมื่อเห็นว่ามู่ชิงอีขมวดคิ้วแต่ไม่พูดอะไร มั่วเวิ่นฉิงก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะอธิบายเสียงเรียบ “แต่เดิมยาชะล้างหยกได้รับการพัฒนาโดยเจ้าสำนักเย่าหวังกู่รุ่นแรก แต่เมื่อสืบทอดไปถึงรุ่นที่สี่ตำรับยาก็ถูกคนขโมยไป เผยแพร่ไปยังราชวงศ์ ยาชะล้างหยกเป็นอันตรายต่อร่างกายและเป็นอันตรายต่อยุทธภพ ดังนั้นจึงมีบันทึกในเย่าหวังกู่ไม่มากนัก ต่อมาในเย่าหวังกู่ก็ไม่มีแล้ว”
“เป็นอันตรายต่อยุทธภพ หมายความว่าอย่างไร” มู่ชิงอีถามอย่างใคร่รู้
มั่วเวิ่นฉิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “ในยาชะล้างหยกมียาที่ต้องใช้เลือดของเด็กที่เกิดในปีหยินเดือนหยินวันหยิน ดังนั้นจึงไม่ง่ายที่จะกลั่นออกมา แต่เท่าที่ข้ารู้ เมื่อสิบเก้าปีที่แล้วราชวงศ์แคว้นเย่ว์เคยกลั่นได้หนึ่งขวด ทั้งหมดคงจะมีประมาณสี่เม็ด”
สีหน้าหรงจิ่นดูเคร่งขรึมเล็กน้อย กล่าวเสียงทุ้มต่ำ “ข้ารู้แล้ว หากข้าได้มาแล้วจะมอบให้เจ้า”
มั่วเวิ่นฉิงพยักหน้า เมื่อเห็นว่าไม่มีเรื่องอะไรแล้วก็หันหลังแล้วเดินออกไป
พระตำหนักชิงเหอแห่งวังหลวง ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์พึ่งกลับมาถึงพระตำหนักล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่ม เจี่ยงปินที่อยู่ข้างหลังตกใจรีบก้าวเข้าไปพยุง “ฝ่าบาท…ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม…กระหม่อมไปตามหมอหลวงมาดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์นั่งบนเตียงนุ่ม ตรัสพลางส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ในใจเรารู้ขอบเขตดี”
“แต่ว่า…” เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์สีไม่สู้ดี เจี่ยงปินก็รู้สึกตกใจกลัว ความจริงตั้งแต่ปีที่แล้วพระวรกายของฝ่าบาทก็เริ่มแย่ลง เพียงแต่ปกปิดมาโดยตลอดก็เท่านั้น ตัวฝ่าบาทเองก็เป็นผู้รู้วรยุทธย่อมรู้สภาพร่างกายของตัวเองดี
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เอนกายลงบนเตียงนุ่ม หลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้าเล็กน้อย โบกมือให้เจี่ยงปินถอยออกไป แม้ว่าเจี่ยงปินจะเป็นกังวลแต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งจึงทำได้เพียงถอยออกไปด้วยอาการตัวสั่นเทา
พระตำหนักที่สวยงามตระการตาตกอยู่ในความเงียบงัน มีเพียงควันไม้กฤษณาในกระถางธูปลอยอยู่ในอากาศ ฮ่องแต้แคว้นเย่ว์รู้ดีว่าพระวรกายของตัวเองอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว แต่…ลูกทรพีเหล่านั้นกลับไม่มีใครเป็นโล้เป็นพายสักคน เดิมทีคิดว่าเจ้าสี่นับว่าเป็นคนดี แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะใช้ไม่ได้ เจ้าสอง…ก็หนีไม่พ้นเรื่องการตายของหรงหวง ตระกูลหนานกงมีอิทธิพลในกองทัพมากเกินไป หากให้เจ้าสองขึ้นครองบัลลังก์…หรือว่าต้องเลือกในบรรดาน้องเล็ก แต่ในบรรดาน้องเล็กเหล่านั้นเกรงว่าจะควบคุมเจ้าสี่กับเจ้าสองแล้วก็เจ้าสาม…หรงจังไม่ได้! ถูกสายตาพยัคฆ์จับจ้องทุกที่ทุกเวลา…นอกเสียจากถ้าฆ่าพี่ใหญ่เหล่านั้นจนหมด! ใบหน้าชราวัยของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เผยให้เห็นไอสังหาร
แล้ว…แล้วยังมีเจ้าเก้าของเขา…หลายวันมานี้เจ้าเก้านับว่าพัฒนาขึ้น ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ขมวดคิ้ว สีหน้าเผยให้เห็นความเสียใจจางๆ
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ลืมตาขึ้น มือเหี่ยวย่นของเขาค่อยๆ หยิบขวดเครื่องเคลือบสีเขียวออกมาจากแขนเสื้อ เขย่าเม็ดยาออกมา กลิ่นหอมจางๆ ลอยวนอยู่ที่ปลายจมูก เม็ดยาสีขาวนวลดูสะอาดบริสุทธิ์ ยาที่ได้รับการกลั่นจากเลือดเด็กทารกอย่างเลือดเย็นกลับเป็นสีขาว ทำให้ผู้คนอดทึ่งกับความสามารถของเย่าหวังกู่ไม่ได้
มองดูเม็ดยาในมือ ดวงตาของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เผยให้เห็นแววตาของการต่อสู้ดิ้นรน ตั้งแต่ปีที่แล้วร่างกายของเขาเริ่มทรุดตัวลงทีละน้อย ดังนั้นเขาจึงเร่งรีบที่จะตามหาหญ้าเซียนเก้าเมฆา แต่…การที่กินยาชะล้างหยกก็อาจทำให้เขาสามารถยืดเวลาได้อีกช่วงระยะหนึ่ง แต่ไม่มีทางเกินหนึ่งปี สิ่งที่สำคัญที่สุดนั้นคืออาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นในหนึ่งปีมานี้ทำให้คนหยิ่งทะนงตนอย่างฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ไม่สามารถทนได้ แทนที่จะอยู่อย่างทรมานเช่นนี้ เขายอมตายจะดีกว่า!