หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 501 คืนฝนตกในเมืองหลวง(1)
มู่ชิงอีพยักหน้าเล็กน้อย มู่ชิงอีพอจะเข้าใจความหมายที่เว่ยอู๋จี้สื่อ เด็กน้อยอายุเพิ่งแปดขวบคนหนึ่งกล้าทำเรื่องที่ผู้ใหญ่มากมายไม่กล้าทำโดยไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าตกใจมากจริงๆ เพราะเขาไม่มีความคิดเรื่องผิดชอบชั่วดี ไม่มีความเกลียดแค้น โมโหและไร้ความสุข แน่นอนว่าไม่มีความรู้สึกผิดบาปในการฆ่าคนด้วย หากไม่ระวังดีๆ หรงจิ่นมีโอกาสกลายเป็นอาวุธฆ่าใครต่อใครโดยไม่เข้าใจอะไรคนหนึ่งได้เลย
“สวินอ๋องคิดว่าหรงจิ่น...ดังนั้นวิธีการแสดงความรักของเขาก็คือสอนเขาฆ่าคนเช่นไรอย่างนั้นหรือ” หากกล่าวว่าเด็กน้อยอายุหกขวบคนหนึ่งรู้วิธีการฆ่าผู้ใหญ่ได้ตั้งแต่แรกเริ่ม มู่ชิงอีไม่มีทางเชื่อแน่นอน ยกเว้นว่าจะมีคนคอยแอบชักนำอย่างลับๆ
เว่ยอู๋จี้ส่ายศีรษะกล่าว “ไม่หรอก ท่านพ่อคิดว่าสิ่งที่ให้อวี้อ๋องไปคือการสอนให้เขาเอาตัวรอด สุขุมเยือกเย็น อีกทั้งตำแหน่งฮ่องเต้อันสูงส่งด้วย”
“ผิดมหันต์” มู่ชิงอีกล่าวเสียงเรียบ
เว่ยอู๋จี้มุ่นคิ้วยิ้มบางเอ่ย “ก็ผิดไปบ้างจริงๆ แหละ” เพียงแต่น่าเสียดายที่ท่านพ่อจะทำอย่างไรกับลูกของเขา กลับไม่ใช่เรื่องที่คนเป็นลูกบุญธรรมอย่างตนจะเปลี่ยนแปลงได้
ขณะที่มู่ชิงอีกับเว่ยอู๋จี้กำลังสนทนากัน เซี่ยซิวจู๋กับหนานกงเจวี๋ยก็ยิ่งต่อสู้กันอย่างดุเดือด ดาบยาวในมือหนานกงเจวี๋ยฟาดฟันเต็มแรงโดยไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้นได้ ส่วนหอกยาวในมือเซี่ยซิวจู๋เองก็กวัดแกว่งไปมาอย่างคล่องแคล่ว แสงสีเงินส่องประกายรอบทิศ ถึงแม้วิทยายุทธของหนานกงเจวี๋ยจะเหนือชั้นกว่าเว่ยอู๋จี้และเซี่ยซิวจู๋บ้าง แต่ก็ไม่ได้เหนือชั้นถึงขั้นไม่เหน็ดเหนื่อยหรือข่มพวกเขาสองคนได้ ยิ่งไปกว่านั้นเขาอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว แรงกายและสมาธิย่อมเทียบชั้นกับคนวัยหนุ่มไม่ได้ เมื่อครู่ก็เพิ่งสู้กับเว่ยอู๋จี้ไปยกหนึ่ง ดังนั้นเซี่ยซิวจู๋จึงค่อยๆ ตีตื้นเขาขึ้นมาได้ กระทั่งสถานการณ์การต่อสู้เริ่มสูสีกันแล้ว
เว่ยอู๋จี้ที่ยืนอยู่ข้างมู่ชิงอีกวาดตามองการต่อสู้ระหว่างพวกเขาทั้งสอง เอ่ยชื่นชมว่า “คนติดตามคุณชายกู้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ แม้แต่ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแคว้นหวายังยอมติดตามรับใช้คุณชายด้วย ข้านับถือนัก”
ก่อนหน้านี้เว่ยอู๋จี้ยังไม่รู้ตัวตนของเซี่ยซิวจู๋ แต่พอเซี่ยซิวจู๋ทุ่มสุดแรงเพื่อรับมือกับหนานกงเจวี๋ย หากเว่ยอู๋จี้ยังเดาตัวตนของเขาไม่ออกก็น่าแปลกแล้ว…เนี่ยอวิ๋นหอกสีเงินจอมเย็นชา ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งแคว้นหวา คิดไม่ถึงว่าเขาจะโผล่มาแคว้นเย่ว์อย่างเงียบเชียบ แถมยังเป็นองครักษ์ติดตามของมู่ชิงอีอีกต่างหาก เว่ยอู๋จี้นึกย้อนถึงตอนอยู่ในวังหลวงแคว้นหวาเนี่ยอวิ๋นก็เป็นองครักษ์ติดตามขององค์หญิงหมิงเจ๋อเช่นกัน มู่ชิงอีผู้นี้มีความสามารถดึงดูดผู้คนให้เข้าใกล้นางได้ถึงเพียงนี้เลยหรือ
“เว่ยอู๋จี้ชมกันเกินไปแล้ว” มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเรียบโดยไม่ได้ยอมรับและปฏิเสธแต่อย่างไร เนี่ยอวิ๋นขึ้นชื่อเรื่องกระบวนท่าหอก ถึงแม้ในหลายๆ ครั้งเขาจะใช้ดาบ แต่หากปะทะกับยอดฝีมืออย่างหนานกงเจวี๋ยแล้วยังต้องปกปิดความสามารถไว้ก็เท่ากับเป็นการรนหาที่ตาย
เว่ยอู๋จี้ถอนหายใจกล่าว “ดูท่าทางไม่ต้องให้ข้าลงมือแล้วกระมัง”
วิทยายุทธของหนานกงเจวี๋ยไม่ได้เหนือชั้นกว่าพวกเขามากเท่าไรนัก ก่อนหน้านี้เขากับหนานกงเจวี๋ยสู้กันไปยกหนึ่งทำเอาเขาเสียแรงไปพอสมควร ตอนนี้เซียซิวจู๋สู้กับเขาย่อมไม่มีปัญหาใด
จากนั้นความได้เปรียบเรื่องอายุน้อยก็ประจักษ์ให้เห็น ความเร็วของหนานกงเจวี๋ยเริ่มลดลง ทว่าหอกสีเงินของเซี่ยซิวจู๋กลับยังคงรวดเร็วว่องไวเช่นเดิม แน่นอนว่าด้วยสายตาของมู่ชิงอีคงดูไม่ออก นางเลยทำได้แค่ตัดสินสถานการณ์การต่อสู้ผ่านท่าทีของเว่ยอู๋จี้เท่านั้น
ผ่านไปครู่ใหญ่ หลังจากพวกเขาทั้งสองต่างต่อสู้กันอย่างดุเดือดก็ผละออกจากกันอย่างรวดเร็ว เซี่ยซิวจู๋เซถอยไปด้านหลังหลายก้าวจนกระทั่งตั้งท่าได้ จากนั้นก็เหวี่ยงหอกในมือพุ่งไปหาหนานกงเจวี๋ย ไม่รู้ว่าปลายหอกสีเงินเปล่งแสงเจิดจ้าถูกย้อมสีเลือดตั้งแต่เมื่อไร หนานกงเจวี๋ยที่อยู่อีกฝั่งกลับไม่ได้ถอยหลัง เท้าทั้งสองข้างตกลงหลุมความลึกราวสองนิ้วพร้อมเลือดที่ไหลรินตรงริมฝีปาก เสื้อตรงหน้าอกมีเลือดไหลซึมเปื้อนให้เห็นภายใต้แสงจันทร์
“แค่กๆ…ข้าแพ้แล้ว” หนานกงเจวี๋ยไอสองทีเสียงเบาพลันเอ่ยเสียงแหบพร่าเล็กน้อย เส้นผมสีขาวบนศีรษะในเดิมทีราวกับถูกแปรเปลี่ยนเป็นหิมะขาวภายใต้แสงจันทร์ในชั่วขณะ กระทั่งดูชราลงมากอย่างเห็นได้ชัด ความสวยยังมีวันโรยรา ชื่อเสียงยังมีวันดับหาย นี่เป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดใจที่สุดบนโลกนี้แล้ว หนานกงเจวี๋ยแผ่อิทธิพลและมีวิทธยายุทธเหนือใครมาครึ่งชีวิต ทว่าบัดนี้กลับพ่ายแพ้ให้กับบุรุษหนุ่มที่ก่อนหน้านี้ไร้แม้กระทั่งชื่อเสียง ณ นอกเมืองหลวงในค่ำคืนฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้ เขาจะไม่รู้สึกเจ็บใจได้อย่างไร
เซี่ยซิวจู๋ประสานมือด้วยท่าทีนิ่งขรึม “ท่านแม่ทัพมีวิทยายุทธแกร่งกล้า ข้านับถือนัก”
เซี่ยซิวจู๋รู้แก่ใจดีว่าหากไม่ใช่เพราะหนานกงเจวี๋ยสู้กับเว่ยอู๋จี้ไปยกหนึ่งแล้ว ใช่ว่าเขาจะเอาชนะหนานกงเจวี๋ยได้ อีกทั้งศึกในคืนนี้มีประโยชน์ต่อการฝึกฝนวิทยายุทธของเขาไม่น้อย ไม่ว่าจะพูดจากแง่มุมใดเซี่ยซิวจู๋ก็เคารพผู้เฒ่าตรงหน้าอย่างมาก
ไม่รู้ว่าดาบยาวในมือของเว่ยอู๋จี้หายไปแล้วถูกแทนที่ด้วยพัดสีดำทองตั้งแต่เมื่อไร เดินมาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ทัพ ในเมื่อรู้แพ้ชนะแล้ว ไม่ทราบว่าท่านจะนำกองทัพเจี้ยนรุ่ยกลับไปตามคำสัญญาหรือไม่ ”
หนานกงเจวี๋ยแค่นเสียงเย็นชาเอ่ย “ข้าเป็นคนกลับกลอกเสียที่ไหนกัน ว่าแต่…คนที่เอาชนะข้าได้ในคืนนี้ไม่ใช่คุณชายเว่ย หรือคุณชายเว่ยอยากสู้กับข้าอีกสักรอบเล่า”
เว่ยอู๋จี้ผงะไป จากนั้นก็ลูบจมูกยิ้มเจื่อน “มิบังอาจ ข้าไม่อยากล่วงเกินท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพโปรดเมตตาด้วยเถิด”
หนานกงเจวี๋ยมองบุรุษหนุ่มตรงหน้า จากนั้นก็ทำได้แค่ถอนหายใจอุทานว่าคนใหม่มาแทนที่คนเก่าแล้ว เด็กรุ่นใหม่ตอนนี้ไม่ธรรมดา ยามที่ตนวัยเยาว์อายุราวๆ นี้ยังไม่มีฝีมือเก่งกาจขนาดนี้เลย ชั่ววินาทีนั้นภายในใจของหนานกงเจวี๋ยก็แปรเปลี่ยนเป็นความโมโห รู้สึกสูญสิ้นความสนใจเรื่องในเมืองหลวงขึ้นมา
ครั้นเห็นร่างเงาของหนานกงเจวี๋ยค่อยๆ เดินลับหายไปกลางความมืด เว่ยอู๋จี้ก็หันไปมองมู่ชิงอีพลางประสานมือยิ้มกล่าว “คุณชายกู้ ขอบคุณเรื่องคืนนี้มาก”
มู่ชิงอีก้มหน้ายิ้มบาง “ไม่เป็นไร ข้าก็ไม่ได้มาเพื่อช่วยคุณชายเว่ยเสียทีเดียว หากท่านพูดขอบคุณเช่นนี้ ข้าจะรับไว้ได้เช่นไร”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเว่ยอู๋จี้ตึงเล็กน้อย “เช่นนั้น…คุณชายกู้หมายความว่าอย่างไร”
มู่ชิงอีเลิกคิ้วยิ้มเอ่ย “ท่านแม่ทัพหนานกงพาทัพไปแล้ว คุณชายวางแผนจะจัดการกับกองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อสามหมื่นนายกับคนของหันเสวี่ยโหลวต่อไปเช่นใดหรือ”
เว่ยอู๋จี้มองมู่ชิงอีด้วยท่าทีระแวงกล่าว “คุณชายกู้มีข้อเสนอแนะใด”
มู่ชิงอียิ้มกล่าว “ไม่เช่นนั้น…ให้ข้ายืมใช้สักหน่อยเป็นอย่างไรเล่า”
เว่ยอู๋จี้ผงะไป มู่ชิงอีมาเพื่อแย่งอำนาจทหารของเขาหรือ ไม่นานพอได้สติกลับมาก็ยิ้มเอ่ย “คุณชายกู้พูดเรื่องน่าขันแล้ว กองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อ...ใช่ว่าบทจะยืมก็ยืมกันง่ายๆ”
มู่ชิงอียิ้มกล่าว “กองทัพเจี้ยนรุ่ยยอมฟังคนแต่ไม่ยอมฟังหัวหน้า ท่านแม่ทัพหนานกงอาศัยอำนาจทางการทหารโยกย้ายได้ แต่กองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อฟังตามคำสั่งไม่ใช่คน รบกวนคุณชายเว่ยเอาตราทหารในมือให้ข้ายืมสักหน่อยเถิด”
“หากข้าไม่รับปาก คุณชายกู้ก็จะแย่งหรือ” สายตาหลักแหลมของเว่ยอู๋จี้กวาดมองมู่ชิงอี ทว่ามู่ชิงอีกลับยืนใต้ร่มกระดาษลายละอองฝนอันโดดเด่นอย่างไม่ใส่ใจ ถึงแม้ค่ำคืนนี้หยาดฝนจะโปรยปรายแต่นางยังคงงามสง่าดั่งคุณชายตระกูลสูงศักดิ์ที่ได้รับการสั่งสอนมาอย่างดี นางมองเว่ยอู๋จี้ด้วยท่าทีเสียดายกล่าว “ทุกคนต่างเป็นปัญญาชน ข้าไม่อยากทำเรื่องหยาบคายกับคุณชายเว่ยหรอก”