หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 504 หลังฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เสด็จสวรรคต(1)
หรงจิ่นยิ้มบางกล่าว “ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่ช่วยทำให้ลูกสมหวัง” ระยะทางจากเมืองเผิงถึงเมืองหลวงใช้เวลาเดินทางเพียงสองวัน บัดนี้เฝิงจื่อสุ่ยคุมเมืองเผิงได้แล้ว หลังจากกำลังทหารของเมืองเทียนเชวียออกจากหุบเขามาก็ไม่มีปัญหาน่าเป็นห่วงใดเกิดขึ้น เพียงแค่นอนกลางวันแล้วออกเดินทางตอนกลางคืน ใช้เวลาเพียงสามสี่วันก็เดินทางถึงบริเวณใกล้ๆ เมืองหลวงแล้ว
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ถอนหายใจ มองหรงจังที่อยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มตรัส “เห็นหรือยัง เจ้าสามารถควบคุมเจ้าเด็กนี่ได้หรือ” พอตรัสจบก็ไม่พูดอะไรอีก จากนั้นฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็หยิบพู่กันขึ้นมาเริ่มขีดเขียนลงบนสาสน์สีเหลืองอร่ามนั้น
“เจ้า…สกัดอู๋จี้ไว้นอกเมืองหรือ” หรงจังเอ่ยถามอย่างยากลำบาก เว่ยอู๋จี้นำกองกำลังเสินเช่อซึ่งเป็นไพ่ลับในมือของเขาไปด้วย แต่คิดไม่ถึงว่าจะถูกหรงจิ่นปั่นหัวเอาได้ “ข้าเคยบอกแล้วว่าข้าจะช่วยเจ้า”
หรงจิ่นยิ้มบางกล่าว “ข้าเองก็เคยบอกแล้วว่าไม่จำเป็น และข้าก็ไม่เชื่อด้วย”
ความจริงเชื่อหรือไม่นั้นเป็นเรื่องรอง เขาไม่ต้องการความช่วยเหลือเลยสักนิด
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เขียนสาสน์สั่งเสียเรียบร้อยก่อนมองหรงจิ่นพลางพยักหน้าอย่างพึงพอใจ รับสั่งกับเจี่ยงปินว่า “ไปเรียกพวกเขาเข้ามาเถิด จิ่นเอ๋อร์ เจ้าพอใจหรือไม่”
หรงจิ่นมองพระราชโองการที่กางไว้ตรงหน้าก่อนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ หากตาแก่ดึงดันไม่ยอมเขียนอีกละก็ เขาคงต้องเปลืองแรงจัดการอะไรอีกมาก
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์มองหรงจังบนพื้น ตรัสเสียงเรียบ “องค์ชายสามหรงจังมีเจตนาลอบทำร้ายเรา…เอาตัวออกไปรอลงโทษก่อนแล้วกัน”
หรงจังจ้องสีหน้าซีดเซียวของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์แน่นิ่ง เอ่ยเสียงเย้ยหยัน “เขาไม่มีทางฆ่าข้าหรอก หากท่านไม่เชื่อ เหตุใดถึงไม่ฆ่าข้าเสียตอนนี้เลยเล่า” ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ยิ้มตรัส “เราเคยรับปากว่าจะไม่ฆ่าเจ้าก็จะไม่ฆ่าเจ้า เจ้าคิดว่า…จิ่นเอ๋อร์เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้าจริงๆ หรือ”
หรงจังชะงักไปแต่ไม่นานก็ยิ้มเยาะกล่าว “ท่านไม่อยากยอมรับอย่างนั้นหรือ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็ยิ่งประหลาดเข้าไปใหญ่ “ช่างโง่เขลานัก…เจ้าคิดว่าได้รับจดหมายลายมือของซีเอ๋อร์แล้วจะต้องเป็นของจริงอย่างนั้นหรือ จดหมายฉบับนั้นเราสั่งให้คนเอาไปให้เจ้าเอง หากเจ้าไม่คิดว่าจิ่นเอ๋อร์เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้าละก็ หลายปีมานี้เจ้าคงคิดสังหารเขาทิ้งนานแล้วกระมัง จดหมายฉบับนั้นก็แค่ช่วยทำให้เจ้าคอยแอบคุ้มกันจิ่นเอ๋อร์แทนเราอย่างว่าง่ายก็เท่านั้น เพียงแต่เราคิดไม่ถึงว่าเจ้าจะไร้ประโยชน์ขนาดนี้ แม้แต่เด็กคนเดียวยังดูแลไม่ได้!”
ชั่ววินาทีนั้นใบหน้าหล่อเหลาของหรงจังก็บิดเบี้ยวขึ้นมาอีกครั้ง “ท่านมีสิทธิ์อะไรมาตำหนิข้า เจ้าทิ้งเขาไว้ที่ตำหนักเหมยอย่างไม่สนใจใยดีก็มิใช่เพราะสงสัยว่าเขาไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของท่านเหมือนกันมิใช่หรือ”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์นิ่งเงียบ จากนั้นด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังเข้ามาเป็นระลอก ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เผยแววตาเย็นยะเยือก เพียงดีดนิ้วเบาๆ ครั้งเดียวก็มีลมแผ่วเบาพัดผ่านร่างของหรงจังไป จุดประสาทสัมผัสทั้งแปดชาวาบ พลันขยับตัวไม่ได้ไปชั่วขณะ
“พวกลูกถวายบังคมเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”
หรงเซวียนกับหรงเหยี่ยนเดินนำหน้า เหล่าองค์ชายหลานชายต่างเดินเข้ามาในพระตำหนัก ครั้นเห็นฮ่องเต้แคว้นเย่ว์นั่งบนตั่งนุ่มก็ผงะไปอย่างแปลกใจเล็กน้อยก่อนรีบโค้งคุกเข่าทำความเคารพ
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์กระแอมไอเสียงเบา ตรัสเสียงเรียบ “พวกเจ้ามาแล้ว” แต่กลับไม่ได้บอกให้ลุกขึ้น ทุกคนเลยทำได้แค่คุกเข่าต่อไป
แววตาของหรงเหยี่ยนกวาดมองหรงจังที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนักครู่หนึ่ง จากนั้นก็เหลือบมองหรงจิ่นที่ยืนอยู่ข้างฮ่องเต้แคว้นเย่ว์แวบหนึ่ง ขมวดคิ้วแต่กลับไม่ได้พูดอะไร
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์กวาดตามองพวกเขาด้วยสายตาราบเรียบ ด้านนอกปกคลุมไปด้วยละอองฝนดั่งควันจางๆ ถึงแม้บนร่างของพวกเขาจะไม่ได้เปียกปอนมากนัก แต่เสื้อผ้าและเส้นผมเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ตรัสอย่างไม่ใส่ใจ “ดึกดื่นขนาดนี้แล้ว พวกเจ้าช่างกตัญญูนัก”
หรงเหยี่ยนเอ่ยอย่างนอบน้อม “การกตัญญูต่อเสด็จพ่อเป็นสิ่งที่ลูกๆ พึงกระทำ ไม่ทราบว่าพระวรกายของเสด็จพ่อดีขึ้นบ้างหรือไม่”
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์พยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็เอาพระราชโองการในมือส่งให้เจี่ยงปินแล้วตรัสว่า “เราใกล้ลาโลกนี้เต็มทีแล้ว วันหน้าคงบงการอะไรพวกเจ้าไม่ได้อีก พวกเจ้าจัดการกันเองดีๆ แล้วกันั”
เหล่าองค์ชายต่างรีบเอ่ย “เสด็จพ่อต้องอายุยืนยาวอยู่เป็นร้อยปีแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“อายุยืนยาวร้อยปีหรือ” ถึงแม้ทุกคนจะไม่แสดงท่าทีใด แต่สายตากลับเหลือบไปมองพระราชโองการในมือของเจี่ยงปินอย่างอดไม่ได้ ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ยิ้มเย้ยหยันก่อนตรัสว่า “บนโลกนี้มีใครอายุยืนยาวเป็นร้อยปีบ้าง เราอายุเจ็ดสิบปีแล้ว ถือว่าเป็นไม้ใกล้ฝั่งเต็มที ฮ่องเต้ที่จะมาสืบทอดบัลลังก์แคว้นเย่ว์คนต่อไปเราได้เลือกไว้เรียบร้อยแล้ว เราครองราชย์มาสี่สิบปี ถึงแม้จะไม่ได้เป็นฮ่องเต้ที่ดีมากนัก แต่แคว้นเย่ว์ก็ไม่ได้ล่มสลายในมือเรา เรื่องหลังจากนี้เราคงยุ่งไม่ได้แล้ว พวกเจ้าจัดการกันเองเถิด”
นี่เป็นสิ่งที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ภาคภูมิใจ ระยะเวลายี่สิบปีที่ผ่านมาเขาไม่ได้ทำการใหญ่มากมายแต่อาศัยรากฐานยี่สิบปีก่อนมากกว่า ถึงแม้เขาจะเข่นฆ่าขุนนาง ตระกูลทรงอิทธิพล ลดตำแหน่งขุนนางอาลักษณ์ ข่มอำนาจทางการทหาร แต่แคว้นเย่ว์ก็มิได้เสื่อมถอยลงมาก ยังถือว่าเป็นแว่นแคว้นที่ร่ำรวยที่สุดในสามแคว้นภาคกลาง ส่วนวันข้างหน้า…แม้แต่เรื่องขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ยังจัดการได้ไม่หมด ใครจะยุ่งเรื่องหลังความตายได้บ้างเล่า
ครั้นตรัสเสร็จฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็ขมวดคิ้ว กลิ่นคาวเลือดจางๆ แผ่ปกคลุมไปทั่วพระตำหนัก ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ยกมือขึ้น เลือดสดในปากกระเด็นลอดผ่านหว่างนิ้วไหลริน สีหน้ายิ่งดูซีดเซียวชราลงอย่างรวดเร็ว
“เสด็จพ่อ!” ทุกคนต่างตกอกตกใจ เมื่อครู่เห็นฮ่องเต้แคว้นเย่ว์นั่งอยู่บนตั่งนุ่มยังมีคนแอบกระวนกระวายใจ คิดไม่ถึงว่าแค่พูดไม่กี่ประโยคก็เกือบเป็นลมล้มลงไปเสียได้
หรงจิ่นที่ยืนอยู่ด้านข้างมุ่นคิ้วพลางยกมือประคองเขาไว้ ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ผ่อนลมหายใจก่อนตรัสเสียงเรียบ “รู้จักประคองเราด้วยหรือ ถือว่าเราก็ไม่ได้เลี้ยงเจ้ามาเสียเปล่าตั้งหลายปี”
หรงจิ่นแค่นเสียงเบาใส่แต่ไม่พูดอะไร
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์กวาดตามองเหล่าองค์ชายตรงนั้นอย่างหงุดหงิดเอ่ยตรัส “ประคองเราไปนอนพักข้างใน โวยวายจนเรารำคาญ”
ทันใดนั้นเสียงร้องไห้ดังระงมก็หยุดลงทันที ภายในพระตำหนักตกอยู่ในความเงียบไปชั่วขณะ ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จับแขนของหรงจิ่นแล้วหยัดตัวลุกขึ้นก่อนเดินไปทางเตียงหลังฉากกั้นลม แต่ไหนแต่ไรมาหรงจิ่นปรนนิบัติใครไม่เป็น ถึงแม้ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จะป่วยจนใกล้สิ้นใจเต็มที แต่เขาก็ยังประคองเดินไม่ได้เรื่อง หรงเหยี่ยนที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นชั่งใจครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นเข้าไปช่วยประคองอีกฝั่งพาฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เดินเข้าห้องไป
ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์มองเขาแวบหนึ่งโดยไม่ได้ปฏิเสธอะไร
หลังจากเข้าห้องไปก็ล้มตัวลงนอน ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ตรัสว่า “จิ่นเอ๋อร์อยู่ก่อน เจ้าออกไปเถิด”
หรงเหยี่ยนมองหรงจิ่นที่เผยสีหน้าเรียบเฉย ถึงแม้จะรู้สึกไม่พอใจบ้างแต่ก็ทำได้แค่เดินออกไปอย่างจำใจ ความจริงที่นี่เป็นตำหนักหลังของพระตำหนักชิงเหอ เป็นห้องบรรทมในยามปกติของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ เตียงกับนอกห้องมีแค่ฉากภาพภูเขาแม่น้ำกั้นไว้เท่านั้น คนด้านนอกจึงเห็นคนด้านในอย่างชัดเจนเช่นกัน ครั้นได้ยินเสียงด้านในเช่นนั้นก็อดคิดไม่ได้ว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์จะพูดความลับอะไรที่ไม่อยากให้พวกเขารู้หรือเปล่า
แต่เพราะความสนิทสนมและท่าทีโปรดปรานที่มีต่อหรงจิ่นของเสด็จพ่อเลยทำให้หรงเหยี่ยนพลอยอดคิดในแง่ดีไม่ได้
พอออกมาจากฉากกั้นลมก็ประสานกับสายตาที่กำลังขบคิดของหรงเซวียนเข้าพอดี เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งสองคนคิดไปในทางเดียวกัน หรงเหยี่ยนเดินเข้าไปนั่งคุกเข่าลงข้างหรงเซวียน ทว่าก่อนคุกเข่ากลับส่งสายตาให้หรงซิงที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ด้านหลัง หรงซิงพยักหน้าแล้วเหลือบมองพี่น้องซ้ายขวาก่อนเคลื่อนตัวไปด้านหลังอย่างเงียบเชียบ จากนั้นก็เดินออกไปขณะที่สายตาของทุกคนกำลังจับจ้องไปทางด้านหลังฉากกั้นลมนั้น
องค์ชายแปดและองค์ชายสิบเอ็ดที่เดิมทีคุกเข่าอยู่ข้างกายเขาต่างสบตากัน ทว่ากลับไม่พูดอะไรราวกับมองไม่เห็นก็มิปาน
บรรยากาศภายในพระตำหนักอึมครึมจนน่าประหลาด กระทั่งน่าอึดอัดจนชวนให้หายใจไม่ออก