หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 512 เรื่องเก่าๆ ในราชวงศ์(1)
หรงซิงเงียบไป หรงเหยี่ยนยิ้มพลางเอ่ยเสียงเรียบ “คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าพวกเราพี่น้องต่อสู้กันมาหลายปี แต่สุดท้ายกลับถูกน้องเก้าแย่งไปได้ง่ายๆ พวกเราประมาทเกินไปแล้ว”
หรงซิงแค่นเสียงเอ่ย “บอกได้ยากว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร”
หรงเหยี่ยนพยักหน้า ยิ้มอย่างเย็นชา “ใช่แล้ว ต่อไปจะเป็นอย่างไร…ยากที่จะบอกได้”
การต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์ที่คาดว่าจะเต็มไปด้วยคาวเลือดพึ่งจะพังทลายลงอย่างไร้ความหมาย แต่บรรดาองค์ชายที่ก้าวเท้าอย่างช้าๆ พลางจ้องมองไปที่กองทัพอวี่หลินและกองทัพทหารองครักษ์ในราชวัง ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรอีก แต่อย่างไรก็ตามกลับเป็นการบอกได้ว่าเส้นทางของหรงจิ่นหลังจากขึ้นครองบัลลังก์จะไม่มีวันสงบสุข
ตำหนักเหมยในเวลานี้ องค์ชายเก้ากำลังมองไปที่มู่ชิงอีด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเสียใจ “ชิงชิง เจ้าคิดว่าเหตุใดพวกเขาจึงไม่เอะอะโวยวาย”
หากมีคนอย่างหรงซิงมากกว่านี้จะดีแค่ไหน หากยังคงเอะอะโวยวายกันต่อไป เขาก็จะสามารถฆ่าพวกเขาได้อย่างสมเหตุสมผล เหตุใดจึงไม่โวยวายกัน ไอ้พวกคนขี้ขลาด!
บรรดาคนที่อยู่รอบๆ สีหน้ากระอักกระอ่วน พากันมองมู่ชิงอีด้วยความสงสัย องค์ชายเก้าคงไม่ได้มีอะไรผิดปกติจริงๆ ใช่หรือไม่ ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นยังไม่ดีอีกหรือ ถ้าวันที่ฮ่องเต้องค์ก่อนสวรรคตเป็นวันเดียวกันกับวันที่ทั้งวังเต็มไปด้วยเลือด ชื่อเสียงขององค์ชายเก้าในหนังสือประวัติศาสตร์…ก็คงเป็นทรราชคนหนึ่งมิใช่หรือ
มู่ชิงอีส่ายหน้าอย่างระอาใจ
ยังคงเป็นตงฟังซวี่ที่กล้าหาญมากที่สุด ยิ้มเอ่ย “ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะข้าที่มีอำนาจหรอกหรือ จึงได้จัดการกองทัพอวี่หลินได้อย่างเหมาะสม หรงซิงและคนเหล่านั้นจะสามารถสร้างเรื่องอะไรขึ้นมาได้อีก”
หากไม่มีกองทัพทหารม้า พูดอะไรไปก็เปล่าประโยชน์ ทหารม้าที่อยู่ใกล้เมืองหลวงก็มีอยู่แค่นั้น กองทหารองครักษ์ก็ไม่ฟังคำสั่งใคร กองทัพอวี่หลินก็เป็นกลุ่มเด็กหนุ่มที่มาจากครอบครัวคนชั้นสูงและไม่มีใครสามารถควบคุมได้อย่างสมบูรณ์แบบ กองทัพเจี้ยนรุ่ยถูกปิดกั้นอยู่นอกเมือง กองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อกับกองทัพประจำการเมืองหลวงก็อยู่ในมือกู้หลิวอวิ๋น คนอื่นจะยังเล่นตุกติกอะไรได้อีก เพียงแค่อาศัยกองกำลังทหารในจวนส่วนตัวขององค์ชายแต่ละคน? ต่อให้แต่ละจวนขององค์ชายรวมกำลังกันขึ้นมาก็มีเพียงไม่กี่พันคน ยังไม่พอที่จะฝ่ากองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อกับกองทัพประจำเมืองหลวงได้ ยิ่งกว่านั้น แม้จะบอกว่าเป็นกองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อ แต่ตงฟังซวี่จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าส่วนใหญ่คนในนั้นล้วนเป็นปรมาจารย์ที่ไม่ทราบที่มาชัดเจน เพียงแต่ไม่รู้ว่าพี่เก้าไปหาคนเหล่านี้มาจากไหน
หรงจิ่นชำเลืองมองตงฟังซวี่อย่างอารมณ์เสีย กล่าวอย่างไม่พอใจว่า “เหตุใดเจ้าต้องมาเร็วขนาดนี้” ด้วยวรยุทธ์ของเขา การที่คนเหล่านั้นคิดจะฆ่าเขาก็นับว่าเป็นการฝันกลางวัน รอจนกว่าพวกเขาจะลงมือจริงๆ แล้วค่อยมาจะไม่ดีกว่าหรือ
ตงฟังซวี่ก้มหน้าลงทันที เขาอยู่ข้างนอก จะรู้ว่าด้านในเกิดอะไรขึ้นได้อย่างไรหากพี่เก้าถูกฆ่าตายขึ้นมา เขาก็ต้องฆ่าตัวตายตามเพื่อรับโทษ
เมื่อเห็นท่าทางน่าสงสารของตงฟังซวี่ มู่ชิงอีก็อดยิ้มไม่ได้ กล่าวว่า “เอาเถิด องค์ชายเก้า ท่านคิดมากเกินไปแล้ว” เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสามารถฆ่าบรรดาองค์ชายและพระราชนัดดาทั้งหมดได้ในคราวเดียว หากยอมให้หรงจิ่นทำสำเร็จขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าอนาคตในแคว้นเย่ว์คงจะจบสิ้นแล้ว
หรงจิ่นสบถเบาๆ เอ่ยเสียงเรียบ “ด้านนอกเป็นอย่างไรบ้าง”
ปู้อวี้ถังยิ้มเอ่ย “ฝ่าบาทวางใจได้ หลังจากที่หนานกงเจวี๋ยกลับมาถึงเมืองเมื่อเช้านี้ก็อยู่แต่ในจวนไม่ได้ออกไปไหน กองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อกับกองทัพเจี้ยนรุ่ยก็นับว่าค่อนข้างสงบ กองทัพประจำเมืองหลวงก็มีคุณชายเซี่ยเป็นคนรับผิดชอบ ทุกอย่างเป็นไปอย่างเรียบร้อย ไม่ได้มีความวุ่นวายเกิดขึ้นแต่อย่างใด”
ปู้อวี้ถังรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองก็ยังไม่ได้สติกลับมา ดูเหมือนว่าคืนนี้จะผ่านไปอย่างราบรื่น เดิมทีที่คิดว่าจะมีการแย่งชิงบัลลังก์และการนองเลือดในราชสำนักกลับไม่ได้เกิดขึ้น องค์ชายเก้าได้ขึ้นครองบัลลังก์ง่ายดายขนาดนี้เชียวหรือ แต่เมื่อคิดอย่างรอบคอบก็จะสามารถเข้าใจได้ว่าองค์ชายเก้ากับคุณชายกู้ทุ่มเทความพยายามมากมายแค่ไหน ทุกๆ สถานการณ์ได้ทำการคำนวณอย่างแม่นยำ ปู้อวี้ถังรู้ว่าต่อให้ผ่านไปอีกยี่สิบปีตัวเองก็คงทำไม่ได้เช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงมองชายทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าเขาซึ่งมีอายุเฉลี่ยน้อยกว่าสิบแปดปีด้วยความเคารพและเกรงขามมากกว่าเดิม
หรงจิ่นพยักหน้าอย่างพอใจ “ไม่มีเรื่องอะไรก็ดีแล้ว หากมีคนคิดจะก่อเรื่อง…เทียนซู ไคหยาง ไม่ต้องเกรงใจ!”
“พ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย!” เทียนซูกับไคหยางมองหน้ากัน ตอบรับด้วยความเคารพ ตอนที่เจ้าเมืองพึ่งเข้ามาปกครองเมืองเทียนเชวียเขาเป็นเพียงเด็กชายอายุสิบสองปี ไม่มีใครคิดว่าในเวลาเพียงไม่กี่ปีเขาจะกลายเป็นฮ่องเต้ ต่อไปเมืองเทียนเชวียของพวกเขาก็ไม่ต้องซ่อนตัวอยู่ในความมืดอีกต่อไปแล้ว
“ตงฟังซวี่” หรงจิ่นมองไปที่ตงฟังซวี่ผู้โง่เขลาที่กำลังยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า “จิ้งหย่วนโหว…อยู่ว่างๆ ที่เรือนมามากพอแล้วกระมัง”
ตงฟังซวี่ตกตะลึง กะพริบตาพลางมองไปที่ฮ่องเต้องค์ใหม่ของตนด้วยรอยยิ้ม “ท่านหมายความว่า?”
หรงจิ่นกล่าวขึ้น “คงต้องรบกวนพี่เขยไปช่วยข้าจัดการค่ายเจี้ยนรุ่ย คงไม่เป็นการลำบากหรอกกระมัง” ตระกูลตงฟังเป็นตระกูลแม่ทัพ บรรพบุรุษมีพื้นหลังที่ลึกซึ้งกว่าตระกูลหนานกง ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลว่าเหตุใดตระกูลตงฟังจึงได้รับแต่งตั้งเป็นท่านโหวแต่ตระกูลหนานกงกลับมีหนานกงเจวี๋ยเพียงคนเดียว เพียงแต่ว่าตระกูลตงฟังโชคร้าย ตั้งแต่ตอนที่ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ยังไม่ได้ขึ้นครองบัลลังก์ก็ถูกฮ่องเต้กดขี่มาจนถึงปัจจุบัน และบรรดาลูกหลานรุ่นหลังก็แทบจะไม่เป็นโล้เป็นพาย
ตงฟังซวี่รีบกล่าวว่า “ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา…เพียงแต่ว่าท่านไม่กังวลเรื่อง…เรื่องบิดาของข้า…?”ตงฟังซวี่มีสัมพันธ์ที่ดีกับหรงจิ่น แต่จิ้งหย่วนโหวตงฟังเฟยไม่ได้มีมิตรภาพกับหรงจิ่น
หรงจิ่นเหล่มองเขาพลางยิ้มแล้วกล่าวว่า “ก็ยังมีเจ้าไม่ใช่หรือ บอกพ่อเจ้าว่าหากทำไม่ดี...ข้าจะแล่เนื้อเจ้าทีละชิ้น!”
ตงฟังซวี่ตัวสั่น สิ่งที่ดูดีมักมีพิษ เป็นจื่อชิงที่ดีกับเขาที่สุด คุณชายตงฟังที่ส่งสายตาน่าสงสารให้มู่ชิงอีไม่ได้สังเกตุใบหน้าเคร่งขรึมขององค์ชายเก้าและลืมไปว่าคุณชายกู้ที่ดีที่สุดในหัวใจของเขาเมื่อคืนนี้ได้ควบคุมกองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อและกองทัพประจำเมืองหลวง ซ้ำยังฆ่านายพลที่มีตำแหน่งขุนนางเทียบเท่ากันกับนางโดยไม่กะพริบตา
ณ จวนจิ้งหย่วนโหว
ตงฟังซวี่กลับมาถึงจวนในเวลาดึกมากแล้ว แต่โคมไฟในห้องโถงใหญ่จวนจิ้งหย่วนโหวยังคงสว่างไสว ทันที่ที่ตงฟังซวี่เดินเข้ามาองค์หญิงใหญ่ก็รีบมาต้อนรับ จับมือบุตรชายพลางถามโน่นถามนี่ จิ้งหย่วนโหวตงฟังเฟยที่นั่งอยู่ด้านข้าง แม้ว่าจะไม่พูดอะไร แต่ก็เห็นได้ว่าแววตากังวลที่มองบุตรชายแฝงไว้ด้วยความเป็นห่วง จิ้งหย่วนโหวอยู่ห่างจากราชสำนักมาหลายปี แม้ว่าจะแต่งงานกับองค์หญิงใหญ่แต่กลับไม่ได้รู้ข่าวสารมากนัก กล่าวง่ายๆ ก็คือพวกเขาแทบจะไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ในราชสำนักเลย และคราวนี้ก็ไม่ได้ถูกบังคับให้ไว้อาลัยในวังติดต่อกันเป็นเวลาหลายวันโดยไม่ให้ออกไปไหน
ตงฟังซวี่จับมือมารดาที่กำลังสำรวจดูว่าบุตรชายเป็นอะไรหรือไม่ด้วยความกังวล “ท่านแม่! ท่านดูสิ ข้าสบายดี เหมือนคนได้รับบาดเจ็บเสียที่ไหนกัน ใช่ว่าท่านไม่รู้ว่าในวังไม่ได้มีการใช้กำลังแต่อย่างใด จะได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร” เสียแรงที่เขาเตรียมการอย่างกระตือรือร้น แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น อย่าว่าแต่อวี้อ๋องไม่พอใจเลย แม้แต่เขาเองก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย
องค์หญิงใหญ่ถอนหายใจเอ่ย “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว…ไม่เป็นอะไรแน่นะ”
“ไม่เป็นไรจริงๆ!” ตงฟังซวี่หยุดไปครู่หนึ่ง มองไปที่บิดาพลางกะพริบตาเอ่ย “ไม่สิ มีเรื่องเล็กน้อย…”
ตงฟังเฟยขมวดคิ้วถาม “มีอะไร”
ตงฟังซวี่โยนป้ายคำสั่งให้บิดา “สิ่งนี้”
ตงฟังเฟยรับมาดู อดสูดหายใจเข้าไม่ได้ “ป้ายคำสั่ง กองทัพเจี้ยนรุ่ย? ”
ตงฟังซวี่พยักหน้าเอ่ย “ฝ่าบาทต้องการให้ท่านพ่อดูแลกองทัพเจี้ยนรุ่ย ต้องจัดการกองทัพเจี้ยนรุ่ยให้เรียบร้อยภายในหนึ่งเดือน มิเช่นนั้น…พระองค์จะแล่เนื้อบุตรชายท่านทีละชิ้น”