หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 543 เลือดย้อมที่ว่าการเฟิ่งเทียน (1)
“กระหม่อม…กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม มิบังอาจจริงๆ พวกเจ้าย่อมไม่กล้าคัดค้านพระราชโองการของเสด็จพ่ออย่างโจ่งแจ้ง เพียงแค่คิดที่จะแอบลงมือฆ่าข้าใช่หรือไม่ น่าเสียดาย…” หรงจิ่นยิ้มมุมปาก “ในโลกนี้ใช่ว่าจะไม่มีคนที่ฆ่าข้าได้ แต่ไม่มีทางเป็นเศษขยะอย่างพวกเจ้าแน่นอน เข้าใจหรือไม่”
รูปลักษณ์งดงามไร้ที่ติราวเทวดาบนสรวงสวรรค์ คำพูดเย็นชาที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากบางทำให้คนไม่สามารถคัดค้านได้ แม้แต่หรงซิงผู้ดื้อรั้นและไม่ให้ความเคารพหรงจิ่นมากที่สุดก็ยังทำได้เพียงคุกเข่าลงอย่างเชื่อฟัง จ้องมองพื้นที่อยู่ตรงหน้าอย่างจนปัญญา
เมื่อมองไปยังกลุ่มคนที่คุกเข่าอย่างเงียบๆ ตรงหน้า หรงจิ่นก็พยักหน้าด้วยความพอใจเอ่ย “ดีมาก ดูเหมือนว่าทุกคนไม่มีความคิดเห็นอะไรแล้ว ลอบสังหารอัครมหาเสนาบดีคนปัจจุบันมีโทษทัณฑ์เลาะกระดูก เจ้ากรมอาญา ให้คนดำเนินการประหารชีวิตเถิด”
เจ้ากรมอาญาทรุดลงกับพื้น ใบหน้าซีดเซียว เหงื่อไหลดั่งสายฝน ท่าทางดูอนาถยิ่งกว่าตัวเองถูกลงทัณฑ์เลาะกระดูกเองเสียอีก องค์ชายกับลูกหลานหกเจ็ดคนจะถูกประหารชีวิตด้วยโทษทัณฑ์เลาะกระดูกเช่นนี้หรือ อย่าว่าแต่แคว้นเย่ว์เลย คงไม่เคยมีอาณาจักรอื่นใดในโลกที่ประสบกับเรื่องน่าสลดใจเช่นนี้
“ฝ่า…บาท…” เจ้ากรมอาญากล่าวอย่างตัวสั่นเทา
“หืม? เจ้าจะพูดอะไร” หรงจิ่นถามอย่างอดทน
“คุณชายทุกท่าน…เป็นเชื้อพระวงศ์ ซึ่งตามกฎแล้วสามารถลดโทษได้พ่ะย่ะค่ะ” เจ้ากรมอาญาตอบน้ำเสียงสั่นเครือ ไม่ใช่ว่าเขาต้องการขอความเมตตาแทนคนเหล่านี้ ตอนนี้เขาแค่ต้องการหาทางรอด หากเขาไม่พูด พอเรื่องผ่านไปแล้วมีคนเอาเรื่องนี้มาพูดอีกก็ถือว่าเป็นความผิดของเขาในฐานะเจ้ากรมอาญาเช่นกัน
“กฏ?” หรงจิ่นเลิกคิ้ว “ทำไมข้าไม่เห็นรู้ว่ามีกฎเช่นนี้ด้วย”
“นี่…นี่คือสิ่งที่ถูกบันทึกไว้อย่างชัดเจนในกฏของแคว้นเย่ว์พ่ะย่ะค่ะ” เจ้ากรมอาญากล่าวพลางปาดเหงื่อ
“หมายความว่าไม่สามารถลงโทษทัณฑ์เลาะกระดูกได้?” หรงจิ่นกล่าว
ต้องไม่ได้น่ะสิ ทุกคนที่นั่งแอบปาดเหงื่อ
องค์ชายเก้ารู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นฮ่องเต้ที่เห็นใจผู้อื่น พยักหน้าเอ่ย “เอาล่ะ ช่างเถิด”
ทุกคนต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นหรงจิ่นก็กล่าวต่อไปว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ตัดเอว”
สีหน้าทุกคนพลันเหยเก จะตัดเอวหรือโทษทัณฑ์เลาะกระดูกก็บอกได้ยากว่าแบบไหนเจ็บปวดมากกว่ากัน ตัดเอวไม่ได้หมายความว่าฟันลงไปทีเดียวแล้วจบ ว่ากันว่าคนที่ถูกตัดเอวจะร้องคร่ำครวญอย่างทรมานมากที่สุดสามวันสามคืนก่อนจะตาย แม้แต่คนที่ยืนดู กลับไปก็ยังต้องฝันร้ายอยู่หลายเดือน
“หรงจิ่น พอได้หรือยัง!” ในที่สุดก็มีคนอดรนทนไม่ไหว หรงซิงลุกขึ้นมาอย่างกะทันหันพลางตะโกนด้วยความโกรธ
หรงจิ่นเชิดคาง มองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เจ้ามีความเห็น?”
หรงซิงกล่าวอย่างเดือดดาล “แน่นอนว่ามีความเห็น พวกเขาเป็นถึงลูกหลานเชื้อพระวงศ์! แต่กลับจะฆ่าพวกเขาเพื่อข้าราชบริพารคนเดียว กระดูกของเสด็จพ่อยังไม่ทันเย็นก็จะฆ่าองค์ชายและหลานๆ แล้ว จะให้วิญญาณเสด็จพ่อที่อยู่บนสวรรค์ไปสู่สุขคติได้อย่างไร”
ตุบ! สายลมพัดผ่าน หรงซิงที่เดิมทีท่าทางหยิ่งผยองได้กระเด็นออกไปข้างหลัง ตกลงบนพื้นหินด้านหลังอย่างแรง หรงจิ่นไม่ได้ขยับเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าเขาแค่โบกมืออย่างไม่ใส่ใจ แต่หรงซิงกลับล้มแรงกว่าหรงฮ่าวเมื่อครู่นี้เสียอีก คนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ต่างก็ได้ยินเสียงกระดูกอย่างชัดเจน
หรงซิงล้มลงกับพื้น อดร้องคร่ำครวญไม่ได้ อาการเจ็บปวดที่ไหล่และหน้าอกอย่างรุนแรงบอกได้ว่าไหล่ขวากับซี่โครงหักแล้ว
“หรงจิ่น เจ้า…” เลือดพุ่งออกมาจากปากของหรงซิงจนพื้นหินตรงหน้าเขาเต็มไปด้วยสีแดงฉาน
“หรงซิง หากเจ้าอยากตายข้าก็จะสนองให้!” เสียงของหรงจิ่นทำให้ทุกคนที่ได้ยินรู้สึกราวกับอยู่ในฤดูหนาวที่เยือกเย็น อดสั่นสะท้านในใจไม่ได้ ในขณะนั้นเงามืดก็วาบไปที่ประตู ตำแหน่งที่เดิมทีหรงจิ่นนั่งอยู่กลายเป็นความว่างเปล่า ในขณะที่ทุกคนกำลังตกใจ หรงจิ่นได้พุ่งไปอยู่ตรงหน้าหรงซิง หรงซิงที่ล้มอยู่กับพื้นถูกเขาดึงขึ้นมา ปลายนิ้วเย็นเฉียบกำอยู่บนลูกกระเดือกของหรงซิง
“ฝ่าบาท โปรดอภัยให้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” ทุกคนที่อยู่รอบๆ ต่างตกตะลึง หรงเหยี่ยนตะโกนขึ้นเสียงดัง
หรงจิ่นแค่นเสียงเย็นชา จับจ้องหรงซิงด้วยสีหน้าเรียบเฉยพลางเอ่ยถาม “เจ้าอยากตายใช่หรือไม่”
“ปล่อย…ปล่อยข้า…” เป็นครั้งแรกในชีวิตที่หรงซิงได้สัมผัสกับความตายที่กำลังเคลือบคลานเข้ามาอย่างแท้จริง ณ เวลานี้ในสายตาของหรงซิง หรงจิ่นนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าวิญญาณชั่วร้ายในนรกเสียอีก หรงจิ่นเพียงแค่นเสียงเบาๆ แต่กลับดังก้องอยู่ในหัวของเขา อกของเขาพลันปวดร้าวขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“ฝ่าบาท โปรดคิดให้ดีก่อนพ่ะย่ะค่ะ” มู่ชิงอีที่เงียบมาตลอด จู่ๆ ก็ยืนขึ้นแล้วเอ่ยอย่างใจเย็น
หรงจิ่นเลิกคิ้วเล็กน้อย ปล่อยหรงซิงอย่างไม่ใส่ใจ เมื่อหรงซิงทำผิดพลาดแล้วเขาให้คนจัดการหรงซิง คนนอกก็จะพูดเพียงว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์เข้มงวด ไร้ความเมตตา แต่หากตอนนี้เขาลงมือฆ่าหรงซิงด้วยตัวเอง เกรงว่าจะกลายเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ที่โหดร้ายและกระหายเลือด ฆ่าคนจนเป็นนิสัย ใช่ว่าหรงจิ่นไม่เข้าใจสิ่งมากมายเหล่านี้ เพียงแต่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ให้ความสนใจสิ่งเหล่านี้มาก่อนก็เท่านั้น
หรงซิงถูกโยนทิ้ง บรรดาองค์ชายที่อยู่ด้านข้างรีบถลาเข้าไปรับ เมื่อมองดูหรงซิงในตอนนี้ ไหล่ขวาของเขายื่นออกมาอย่างแปลกประหลาด อกของเขาจมลงไป เห็นได้ชัดว่ากระดูกซี่โครงหัก สีหน้าซีดขาว ซ้ำเมื่อครู่พึ่งจะกระอักเลือดสีแดงเปรอะเปื้อนไปทั่วเสื้อ ทุกคนต่างก็ตื่นตระหนกตกใจ
สีหน้าบรรดาองค์ชายทั้งหมดที่มองหรงจิ่นเป็นความโกรธที่แฝงไว้ด้วยความกลัวและความอดกลั้น จุดจบของหรงซิงทำให้พวกเขารู้สึกสลดใจเหมือนคนหัวอกเดียวกัน มีเพียงหรงเซวียนเท่านั้นที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนและเฝ้าดูอย่างสงบที่สุดแล้ว
เดิมทีตอนที่เห็นหรงจิ่นเป็นเช่นนี้ หรงเซวียนก็คิดที่จะเดินเข้าไป อย่างไรเสียก็เป็นพี่น้องกัน หากปล่อยให้หรงจิ่นฆ่าหรงซิงที่นี่โดยที่พวกเขาไม่พูดอะไรสักคำก็จะทำให้เกิดคำวิพากวิจารณ์ แต่ขณะที่หรงเซวียนกำลังจะเดินเข้าไปก็ถูกหนานกงเจวี๋ยที่ยืนอยู่ข้างๆ แอบดึงไว้
หรงเซวียนหันกลับไปมองน้าชายของตัวเองด้วยความประหลาดใจ หนานกงเจวี๋ยสีหน้าเคร่งขรึม พลางมองไปยังหรงจิ่นที่กำลังบีบคอหรงซิงด้วยสายตาที่ซับซ้อน กล่าวเสียงเบาว่า “อย่าเข้าใกล้ฝ่าบาท อันตราย”
“ทำไมเล่า” หรงเซวียนเลิกคิ้ว
หนานกงเจวี๋ยถอนหายใจพลางกล่าวเสียงเบา “ระดับวรยุทธ์ของฝ่าบาท…ไม่ด้อยไปกว่าข้าอย่างแน่นอน” ตอนนี้คิดดูแล้วคนที่ไปยั่วยุองค์ชายเก้าในตอนนั้นต้องดวงแข็งมากแค่ไหน อย่าลืมว่าด้วยระดับวรยุทธ์ของเขา การฆ่าคนคนหนึ่งนั้นสามารถทำได้อย่างเงียบเชียบ
หรงเซวียนได้ฟังดังนั้นก็อึ้งตะลึง เป็นไปได้อย่างไร
วรยุทธ์ไม่ด้อยไปกว่าหนานกงเจวี๋ย ในใต้หล้าก็มีอยู่ไม่กี่คน พวกเขาล้วนรู้ว่าวรยุทธ์ของหรงจิ่นนั้นไม่เลว แต่พวกเขากลับคิดไม่ถึงว่าจะสูงถึงเพียงนี้ แต่หรงเซวียนรู้ดีว่าหนานกงเจวี๋ยไม่มีทางหลอกตัวเองอย่างแน่นอน หมายความว่า…การวางยาลากหรงจิ่นลงจากบัลลังก์ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ระดับวรยุทธ์จะสูงหรือต่ำไม่สามารถตัดสินความเป็นเจ้าของบัลลังก์ได้ แต่ว่า…ระดับวรยุทธ์ของผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์สามารถกำหนดได้ว่าบัลลังก์ของเขาผู้นั้นจะมั่นคงหรือไม่ อย่างน้อยก็เป็นไปไม่ได้ที่จะใช้ไม้แข็ง การแอบลอบสังหารก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่
หรงเซวียนมองหรงเหยี่ยนและหรงซิงด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่สายตากลับแฝงไว้ด้วยความสงสาร
เมื่อเห็นว่าหรงซิงที่เมื่อครู่นี้ยังสามารถกระโดดโลดเต้นได้เหลือชีวิตเพียงเส้นบางๆ เท่านั้น หรงเหยี่ยนก็อดกลั้นแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ฝ่าบาท ต่อให้น้องสิบล่วงเกินฝ่าบาท ฝ่าบาทเพียงแค่สั่งสอนเล็กน้อยก็พอแล้ว ลงมือหนักเช่นนี้…”