หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 544 เลือดย้อมที่ว่าการเฟิ่งเทียน (2)
หรงจิ่นค่อยๆ เดินกลับไปนั่งที่เดิม กล่าวอย่างเย็นชา “ข้าเห็นว่า…น้องสิบไม่รู้จักกฎเกณฑ์ ดังนั้นจึงได้ลงมือสั่งสอนเขา มีอะไรผิดอย่างนั้นหรือ”
หรงเหยี่ยนสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะหันกลับมาเอ่ย “เสด็จลุง เสด็จอา พี่สอง พวกท่านโปรดรักษาความยุติธรรมด้วย”
หรงมู่หลี่กับหรงมู่เฟิงที่เฝ้ามองอยู่ห่างๆ มองหน้ากัน ทั้งคู่พลันถอนหายใจ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าหรงมู่เทียนที่รับมือได้ยากในตอนนั้น หรงจิ่นที่ครองบัลลังก์ในตอนนี้จะรับมือได้ยากกว่าอีก อย่างน้อยตอนที่หรงมู่เทียนทำเรื่องเหลวไหลก็ไม่เคยลงมือทำร้ายใครด้วยตัวเองเช่นวันนี้
หรงมู่หลี่ก้าวออกมาด้วยความสั่นเทา ยกมือคำนับหรงจิ่นเอ่ย “กราบทูลฝ่าบาท…สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นความผิดของหรงฮ่าวและคนอื่นๆ ก็จริง แต่ขอให้ฝ่าบาทเห็นแก่ที่ฮ่องเต้องค์ก่อนที่พึ่งจะสิ้นพระชนม์ กระดูกยังไม่ทันเย็น โปรดไว้ชีวิตพวกเขาด้วยเถิด”
หรงจิ่นหันไปมองมู่ชิงอี “จื่อชิงเจ้าว่าอย่างไร”
มู่ชิงอีเงยหน้ามองหรงจิ่นแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มแผ่วเบา “กระหม่อมเชื่อว่าฝ่าบาทย่อมมีคำตัดสินของพระองค์เอง”
หรงจิ่นพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ยิ้มเอ่ย “จื่อชิงเป็นขุนนางดีเด่นของข้า เป็นหัวหน้าขุนนางทั้งหมดในแคว้นเย่ว์ ข้าย่อมไม่สามารถไม่ให้ความยุติธรรมต่อข้าราชบริพารได้ โบราณกล่าวไว้ว่า…องค์ชายกระทำผิดย่อมได้รับโทษเช่นเดียวกับราษฎรทั่วไป เสด็จลุง เกรงว่าเรื่องนี้ข้าจะไม่สามารถรับปากท่านได้ แต่…โทษที่หรงซิงล่วงเกินข้าต่อหน้าข้าหลวง เห็นแก่หน้าเสด็จลุง ข้าจะละโทษให้”
ทุกคนพากันพูดไม่ออก มองไปยังหรงซิงที่กำลังหายใจรวยรินในอ้อมแขนขององค์ชายแปดอย่างเงียบเชียบ เหลือเพียงแค่ครึ่งชีวิตแล้ว ฝ่าบาทยังจะต้องการอะไรอีก
หรงมู่หลี่ผงะไปครู่หนึ่ง ราวกับว่าคิดไม่ถึงว่าหรงจิ่นจะไม่เห็นแก่หน้าเขาเช่นนี้ เพียงแต่เมื่อมองไปที่ใบหน้างดงามและหยิ่งยโสของหรงจิ่นอีกครั้ง ก็เหมือนจะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว เพียงแต่หากลูกหลานเชื้อพระวงศ์เหล่านี้ถูกฆ่าตาย ถือเป็นสิ่งที่เกินขอบเขตกว่าที่ราชวงศ์จะทนได้ แม้แต่ในตอนนั้นฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ก็ยังไม่เคยถึงขั้นฆ่าองค์ชายและลูกหลานเชื้อพระวงศ์จำนวนมากในคราเดียว
หรงมู่หลี่ถอนหายใจกล่าว “ขอฝ่าบาทโปรดเห็นใจปล่อยเด็กเหล่านี้ไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิ่นจ้องมองผู้คนด้านล่างด้วยสีหน้าเย็นชา หลังจากผ่านไปนานจึงเอ่ยเสียงเรียบว่า “ขอโทษเสด็จลุงด้วย แต่เรื่องในวันนี้…ปล่อยไปเช่นนี้ไม่ได้”
“เสด็จลุง ท่านไม่ต้องเกลี้ยกล่อมเขาแล้ว เขาตั้งใจไว้แล้วว่าจะฆ่าพวกเราบรรดาองค์ชายและหลานๆ” องค์ชายหกที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นเสียงดัง
ขุนนางคนอื่นๆ พากันก้มหน้ากระซิบกระซาบ แม้ว่าการลอบสังหารอัครมหาเสนาบดีจะไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่การลงโทษทัณฑ์เลาะกระดูกสายเลือดเชื้อพระวงศ์ถึงเจ็ดแปดคนในคราเดียว ใครๆ ก็ดูออกว่าจุดประสงค์ของฝ่าบาทไม่ใช่เพียงเพราะอัครมหาเสนาบดีกู้ถูกลอบสังหารอย่างแน่นอน หรือว่าเป็นอย่างที่องค์ชายหกกล่าวจริงๆ ฝ่าบาทต้องการสังหารลูกหลานของฮ่องเต้องค์ก่อนทั้งหมด
หลังจากอยู่ภายใต้การปกครองที่โหดเหี้ยมของฮ่องเต้แคว้นเย่ว์มากว่ายี่สิบปี บรรดาบุคคลสำคัญชั้นสูงของแคว้นเย่ว์จึงไม่ต้องการฮ่องเต้องค์อื่นที่เลือดเย็นและโหดเหี้ยมกว่าฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ จิตใจผู้คนพลันสับสนอลหม่านในทันที
ยากนักที่หรงจิ่นจะดึงความอดทนอันน้อยนิดมาฟังบรรดาองค์ชายที่อยู่ด้านล่างที่เริ่มกล่าวโทษเขา และภายใต้คำยุยงขององค์ชายหก แม้แต่บรรดาขุนนางและบุคคลสำคัญของราชสำนักซึ่งเดิมทีค่อนข้างรักความสันติก็เริ่มส่งเสียงกระซิบกระซาบ เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของเขาลำเอียงไปทางองค์ชายเหล่านี้ หรงจิ่นแสยะยิ้มในใจ จ้องมององค์ชายหกที่ก่อความวุ่นวายอย่างมีความสุขด้วยสายตาเย็นชา ในที่สุดก็ทนไม่ได้แล้วใช่หรือไม่
“ท่านพ่อ…” หรงยางที่อยู่ข้างหรงเซวียนพยุงบิดาพลางมององค์ชายหกด้วยความเป็นกังวล แล้วกล่าวขึ้นมาเบาๆ เขารู้มาตลอดว่าองค์ชายหกอยู่ฝ่ายเดียวกับพวกตน เมื่อเห็นพฤติกรรมขององค์ชายหกในตอนนี้จึงอดขมวดคิ้วไม่ได้
หรงเซวียนมององค์ชายหกด้วยสีหน้าเฉยเมย กล่าวเสียงเรียบ “ไม่ต้องสนใจเขา ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ” อย่างไรเสียองค์ชายหกกับเขาก็ไม่ใช่พี่น้องร่วมมารดา เดิมทีเขาแข็งแกร่งพอที่จะควบคุมองค์ชายหกได้ แต่หลังจากที่เขาถูกวางยาพิษและสูญเสียโอกาสในการยึดครองบัลลังก์ ท่าทีขององค์ชายหกก็เปลี่ยนไปในทันที ก่อนหน้านี้ยังกล่าวเป็นนัยๆ ว่า หวังว่าจวนจวงอ๋องจะสนับสนุนเขา แต่หลังจากที่ถูกปฏิเสธ ท่าทีขององค์ชายหกก็เริ่มแปรเปลี่ยน ซ้ำยังแอบส่งสัญญาณผูกมิตรกับหรงเหยี่ยน ตอนนี้กลับออกมาก่อกวนสถานการณ์ในเวลานี้…ดูเหมือนว่าน้องหกของเขาผู้นี้ก็วางแผนที่จะเดิมพันอย่างนั้นหรือ ตนเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าหลายปีมานี้น้องหกได้เรียนรู้ทักษะอะไรมาบ้าง
“ขอฝ่าบาทโปรดเมตตาด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” หลังจากถูกบรรดาองค์ชายปั่นหัว ข้าราชบริพารชั้นสูงมากมายก็ทยอยกันมาคุกเข่าขอความเมตตา บรรดาหลานๆ ที่ตกใจกลัวจนเหม่อลอยก็เริ่มได้สติกลับมา อาศัยโอกาสนี้ร้องไห้เสียงดัง สถานการณ์เช่นนี้หากบอกว่าเป็นการขอความเมตตาไม่สู้บอกว่าเป็นการบีบบังคับจะดูเหมาะสมกว่า ต่อให้หรงจิ่นจะโหดเหี้ยมแค่ไหนก็ไม่สามารถฆ่าทุกคนได้ทั้งหมด หรงเซวียนเลิกคิ้วด้วยความสงสัย อยากรู้ว่าน้องเก้าผู้นี้จะรับมืออย่างไร
“หากข้าไม่เมตตาเล่า พวกเจ้าจะทำอย่างไร” หรงจิ่นที่นั่งพิงเก้าอี้อยู่ด้านบนบันไดถามเสียงเรียบ
ทุกคนแทบหายใจไม่ออก องค์ชายหกกัดฟันเอ่ย “ฝ่าบาทยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ก็ไร้คุณธรรม รักการฆ่าคนเป็นนิสัย ไม่สมกับบัลลังก์ที่ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงมอบให้ ขอฝ่าบาทโปรดอภัยที่กระหม่อมไม่สามารถเคารพพระราชโองการของเสด็จพ่อได้ คาดว่าเสด็จพ่อเองก็คงไม่โทษพวกเราเช่นกัน”
หรงจิ่นจับจ้ององค์ชายหกอยู่นาน ในที่สุดก็หัวเราะออกมาเบาๆ “ในที่สุดก็พูดออกมาแล้วหรือ พวกเจ้าก็คิดเช่นนี้อย่างนั้นหรือ”
บรรดาองค์ชายเพียงแต่เงียบไม่ได้กล่าวอะไร คนเหล่านี้ที่กำลังจะถูกหรงจิ่นฆ่าล้วนเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นการครองบัลลังก์ของหรงจิ่นก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการ
บางทีความเงียบก็คือการยอมรับอย่างหนึ่ง
“ยังมีใครอีกบ้างที่คิดว่าสิ่งที่องค์ชายหกพูดนั้นมีเหตุผล ลุกขึ้นให้ข้าดูสักหน่อย” หรงจิ่นเอ่ยเสียงเรียบ
นอกห้องโถงใหญ่พลันปกคลุมไปด้วยความเงียบ ทุกคนต่างมองหน้ากันแต่กลับไม่มีใครลุกออกมาแม้แต่คนเดียว องค์ชายหกเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกกระวนกระวายใจ กล่าวเสียงดังว่า “ขุนนางทั้งหลายไม่ต้องกลัวเขา กองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อได้ล้อมที่นี่ไว้แล้ว วันนี้ข้าและบรรดาพี่น้องจะล้มล้างขุนนางชั่วข้างกายฮ่องเต้ เพื่อปลอบประโลมดวงวิญญาณของเสด็จพ่อบนสวรรค์!”
องค์ชายหกโบกมือ ปรากฏว่ามีทหารชุดเกราะจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากความมืดมิด ปิดล้อมที่ว่าการเฟิ่งเทียนไว้ทั้งหมด
หรงจิ่นยิ้มมุมปากอย่างรู้สึกสนุก ช่างน่าสนใจจริงๆ พี่หกของเขาผู้นี้ก็นับว่าเป็นคนฉลาด อีกทั้งยังรู้จักชักจูงองค์ชายทั้งหมด แต่ว่านี่ยังไม่พอ!
“กำจัดขุนนางชั่วข้างกายฮ่องเต้” หรงจิ่นยิ้มเอ่ย “เมื่อครู่ยังขอให้ข้าปล่อยคนเหล่านี้ไป ตอนนี้จู่ๆ เหตุใดจึงได้กลายเป็นกำจัดขุนนางชั่วข้างกายฮ่องเต้ไปเสียได้ หรือว่า…พี่หก ใครอนุญาตให้ท่านระดมกำลังกองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อโดยพลการ”
องค์ชายหกยกยิ้มอย่างได้ใจ “น้องเก้า เจ้าคิดว่าทหารกองทัพรักษาพระองค์เสินเช่ออยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้าจริงๆ น่ะหรือ ช่างบังเอิญเสียจริงที่ผู้บัญชาการกองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อเป็นคนของข้า เดิมทีคิดว่าไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะใช้ได้จังหวะเหมาะสมพอดี ใช่หรือไม่” เดิมทีองค์ชายหกติดตามหรงเซวียนมาตลอด กองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อที่แอบซ่อนอยู่ภายใต้ความแข็งแกร่งของตระกูลหนานกงไม่ได้ใช้งาน เขาเองก็ไม่เคยคิดที่จะใช้มันอย่างง่ายดาย เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าหรงเซวียนจะไร้ประโยชน์เช่นนี้ แต่ว่าตอนนี้กลับเป็นเรื่องดี ทำให้เขาได้ใช้ประโยชน์จากมัน
หรงจิ่นหรี่ตาลง กล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “พี่หกจะเอาอย่างไร” องค์ชายหกกล่าวว่า “ข้าก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะฝ่าฝืนพระราชโองการของฮ่องเต้องค์ก่อน เพียงแค่น้องเก้าฆ่ากู้หลิวอวิ๋นคนทรยศผู้นี้ เจ้าก็จะยังคงได้เป็นฮ่องเต้ต่อไป”
สายตาที่หรี่ลงเผยให้เห็นแววตาสีแดงก่ำอยู่ครู่หนึ่ง หรงจิ่นค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา “กล้าไม่เบา”
มีกองทัพรักษาพระองค์เสินเช่ออยู่ในมือ องค์ชายหกไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร ต่อให้มีกองทัพอวี่หลินกับกองทัพประจำการเมืองหลวง แต่หรงจิ่นก็ยังไม่สามารถควบคุมความจงรักภักดีของทั้งสองกองกำลังนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้มีทหารม้าปิดล้อมที่ว่าการเฟิ่งเทียนถึงสองหมื่นนาย กว่าจะรอให้กองทัพอวี่หลินกับกองทัพประจำการเมืองหลวงบุกเข้ามาก็สายเกินไปแล้ว จะว่าไปแล้วบรรดาทหารม้าเหล่านี้ก็เป็นหรงจิ่นที่เป็นคนนำเข้ามาเอง