หวนคืนชะตาแค้น - ตอนที่ 547 ความจงรักภักดีของหรงเซวียน (1)
หรงจิ่นเลิกคิ้วด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “แม่ทัพใหญ่หนานกงเจวี๋ยรับผิดชอบกองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อนับตั้งแต่บัดนี้ จวงอ๋องซื่อจื่อหรงยางได้รับแต่งตั้งเป็นอานจวิ้นอ๋อง จิ้งหย่วนโหวตงฟังเฟยเพิ่มตำแหน่งเป็นแม่ทัพเปียวฉี ผู้บัญชาการกองทัพเจี้ยนรุ่ย”
“กระหม่อมขอบพระทัยฝ่าบาท” ผู้ที่ได้รับการเรียกชื่อทยอยเดินออกมาขอบพระทัยฮ่องเต้ แน่นอนว่าคนที่คาดไม่ถึงที่สุดคือหรงยาง ตอนนี้คนในราชวงศ์เกือบทั้งหมดต้องประสบกับความเดือดร้อน มีเขาคนเดียวที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นจวิ้นอ๋อง เป็นพระมหากรุณาธิคุณแต่ก็เป็นมันร้อนลวกมือเช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าจวนจวงอ๋องจะจัดการอย่างไรต่อไป
หนานกงเจวี๋ยเองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นเดียวกัน ฮ่องเต้แคว้นเย่ว์ไม่อนุญาตให้เขานำทัพเป็นเวลาหลายปีแล้ว แม้ว่าจะเป็นกองทัพรักษาพระองค์เสินเช่อที่เขาไม่ค่อยคุ้นเคยนัก แต่ด้วยความสามารถของหนานกงเจวี๋ย ไม่ว่ากองทัพใดจะอยู่ในมือของเขา เขาก็จะสามารถสั่งการได้อย่างแน่นอน เงยหน้าสบตากับดวงตาอันสงบนิ่งของหรงจิ่น หนานกงเจวี๋ยพลันรู้สึกว่าเขาเห็นความเย่อหยิ่งโอหังในดวงตาของหรงจิ่น
เห็นได้ชัดว่าหรงจิ่นไม่กลัวที่จะให้หนานกงเจวี๋ยกุมอำนาจทางทหาร เขามั่นใจว่าไม่ว่าหนานกงเจวี๋ยคิดจะทำอันใดเขาก็จะสามารถควบคุมได้
หนานกงเจวี๋ยลอบถอนหายใจ ไม่แปลกใจเลยว่าในที่สุดแล้วจะเป็นคนผู้นี้ที่ได้ขึ้นครองบัลลังก์
“กระหม่อมน้อมรับราชโองการ ขอบพระทัยฝ่าบาท” หนานกงเจวี๋ยถวายบังคม
คืนนี้เกิดเรื่องขึ้นตั้งมากมายแต่ราษฎรทั่วไปที่อยู่นอกเมืองกลับไม่รู้รายละเอียดมากนัก ซ้ำบรรดาขุนนางชั้นสูงในเมืองทั้งหมดล้วนระมัดระวังคำพูดเป็นอย่างมาก รู้เพียงว่าลูกหลานไม่กี่คนในราชวงศ์หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ขุนนางใหญ่ในราชสำนักหลายคนถูกบุกค้นจวนและฆ่าล้างโคตร และคนส่วนใหญ่ถูกลดตำแหน่ง เมื่อตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่งถูกปล่อยว่าง ขุนนางระดับล่างต่างก็ตาลุกเป็นไฟ กระตือรือร้นที่จะไคว่คว้าตำแหน่งนั้น
มีเพียงผู้ที่อยู่ในคืนนั้นและข้าหลวงที่ว่าการเฟิ่งเทียนเท่านั้นที่รู้ว่าในคืนนั้นเลือดเกือบจะนองไปทั่วพื้นที่ด้านหน้าทั้งหมดของที่ว่าการเฟิ่งเทียนแล้ว
ยามที่หรงจิ่นกลับมาถึงวังหลวง ท้องฟ้าทางทิศตะวันออกก็เริ่มสว่างแล้ว ทั้งๆ ที่พึ่งจะจัดการกับขยะกลุ่มนั้นที่ไม่รู้วิธีปฏิบัติตัวและรักษาตัวเองให้รอดปลอดภัย แต่องค์ชายเก้าก็ยังคงอารมณ์ไม่ดี
ทันทีที่กลับมาถึงพระตำหนักหันจัง หรงจิ่นก็เตะกระถางกำยานที่ขวางทางอยู่ตรงหน้า เอ่ยถามอย่างเยือกเย็น “เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ชายชุดเทาผู้หนึ่งคุกเข่าอยู่ด้านหลัง เอ่ยตอบเสียงเบา “เมื่อสองชั่วยามที่แล้วมีคนบุกเข้าไปในคุกหลวงแล้วนำตัวองค์ชายสวินอ๋องไปพ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิ่นเงียบไปนาน น่าแปลกใจที่ไม่ได้โวยวายอะไร หลังจากผ่านไปนานจึงได้กัดฟันเอ่ยเสียงเบาว่า “เว่ย อู๋ จี้!”
ถึงแม้ว่าคุกเชื้อพระวงศ์จะไม่ได้รับการป้องกันอย่างแน่นหนาเท่าคุกเทียนสวรรค์ แต่ก็ไม่ใช่ว่าใครคิดที่จะบุกก็บุกเข้าไปได้ตามต้องการ ก็มีเพียงยอดฝีมือชั้นสูงอย่างเว่ยอู้จี้เท่านั้นที่สามารถเข้าออกได้อย่างไร้ร่องรอย อย่างไรเสียในตอนนั้นเว่ยอู๋จี้ก็สามารถเข้าวังหลวงไปถึงตำหนักเหมยได้ด้วยตัวคนเดียว
เยี่ยมจริงๆ!
ประกายเย็นวาบพาดผ่านดวงตาของหรงจิ่น ข้าอยากจะรู้ว่าเจ้าแน่ใจแล้วใช่หรือไม่ที่จะเป็นปฏิปักษ์กับข้า
“ออกไปเถิด” หรงจิ่นเอ่ยเสียงเรียบ
ชายชุดเทาเงยหน้าด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย การที่หรงจิ่นปล่อยเรื่องนี้ไปอย่างง่ายดายทำให้เขาปรับตัวไม่ทัน เมื่อเห็นเช่นนั้นหรงจิ่นก็มีสีหน้าไม่พอใจ กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ออกไป!”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” เมื่อได้สติกลับมา ชายชุดเทาก็ตกใจจนเหงื่อเย็นซึมไปทั่วทั้งตัว การที่ฝ่าบาทไม่ถือสาเอาความนับว่าเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างมาก แต่ตนกลับมึนงง คงจะเบื่อที่ตัวเองอายุยืนเกินไปกระมัง
เมื่อเห็นผู้ใต้บังคับบัญชารีบถอยออกไปอย่างรวดเร็ว หรงจิ่นก็สบถเบาๆ แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
ทุกคนกลัวเขาอย่างนั้นหรือ กลัวเขาก็ดีแล้ว เมื่อไรที่คนในราชสำนักเหล่านั้นก็กลัวเขาด้วยเช่นกัน เขาถึงจะหยุด…
ประชุมราชสำนักในเช้าวันนี้ดูเงียบสงบเป็นพิเศษ หรงจิ่นนั่งอย่างเอื่อยเฉื่อยบนบัลลังก์มังกรตัวใหญ่ มองดูเหล่าขุนนางด้านล่างที่เชื่อฟังยำเกรงด้วยความพึงพอใจ ในใจแอบยกยิ้ม คนเหล่านี้ไว้หน้าแล้วกลับทำตัวเหิมเกริม ต้องให้จัดการอย่างโหดเหี้ยมจึงจะรู้ว่าอะไรคือความสงบสุข
หรงจิ่นยังไม่ได้ขึ้นครองบัลลังก์อย่างเป็นทางการ เดิมทีไม่ต้องประชุมราชสำนักช่วงเช้า เพียงแต่เมื่อเย็นวานนี้ราชทูตของแคว้นหวาพึ่งมาถึงเมืองหลวง และเพราะเหตุการณ์กินเวลาเมื่อวานนี้หรงจิ่นเลยยังไม่ได้ต้อนรับพวกเขา ดังนั้นจึงต้องชดเชยในตอนเช้า
เหตุการณ์ที่ลานที่ว่าการเฟิ่งเทียนเมื่อคืนนี้ทำให้หลายคนนอนไม่หลับ ตอนนี้ดูแล้วในพระตำหนักมีขุนนางชั้นสูงคนสำคัญลดลงไปไม่น้อย แม้ว่าคนที่เหลือจะพยายามทำตัวให้กระตือรือร้นแต่กลับไม่สามารถซ่อนจากสายตาที่เฉียบคมขององค์ชายเก้าไปได้ ตรงกันข้าม ขุนนางระดับล่างส่วนใหญ่ดูเหมือนจะเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
ทุกคนเข้าใจหลักการหนึ่งราชวงศ์หนึ่งข้าราชบริพารเป็นอย่างดี แต่คนที่ยิ่งตำแหน่งและอำนาจสูงก็ยิ่งยากที่จะเปลี่ยนฝ่าย ตรงกันข้ามกับขุนนางระดับล่างเหล่านี้ แม้ว่าเดิมทีจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่ก็ไม่ได้ถลำลึกมากเกินไป หากคิดจะเปลี่ยนฝ่ายย่อมเป็นเรื่องง่ายดาย เพียงแค่เมื่อคืนวานคืนเดียว ลูกหลานเชื้อพระวงศ์เจ็ดแปดคน องค์ชายสองพระองค์ แล้วยังมีขุนนางคนสำคัญในราชสำนักถูกกำจัดไป การต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์ในครั้งนี้ ใครแพ้ใครชนะทุกคนต่างเห็นอย่างชัดเจน ตำแหน่งว่างเหล่านั้นย่อมต้องได้รับการเติมเต็ม หมายความว่าโอกาสของพวกเขามาถึงแล้ว จะไม่ให้ดีใจได้อย่างไร
ครั้นมองไปที่ชายหนุ่มรูปงามที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุด สวมชุดขาวปักลายเมฆสีเงินคลุมด้วยผ้าโปร่งอีกชั้น ในสายตาของทุกคนพลันเต็มไปด้วยความอิจฉา ในราชสำนักการเลือกติดตามเจ้านายที่ถูกต้องก็จะสามารถทะยานขึ้นฟ้าได้ภายในก้าวเดียว เห็นได้ชัดว่าอัครมหาเสนาบดีหนุ่มผู้นี้เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด เมื่อครึ่งปีก่อน ตอนมาถึงแค้นเย่ว์เขาเป็นเพียงคุณชายที่ไร้ที่พึ่งพิง แต่ครึ่งปีต่อมาเขากลายเป็นอัครมหาเสนาบดีที่ยืนอยู่เหนือราชสำนักอย่างภาคภูมิ หากพูดถึงการเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว เกรงว่าในอดีตหรือปัจจุบันก็ไม่มีใครเหนือกว่ากู้หลิวอวิ๋นผู้นี้
พอมองไปยังหรงยาง ตงฟังเฟย ตงฟังซวี่ ปู้อวี้ถังและคนอื่นๆ ที่ติดตามอยู่ด้านหลัง ตำแหน่งพวกเขาก้าวกระโดดไปหลายระดับ ไม่ต้องพูดถึงตงฟังเฟยกับหนานกงเจวี๋ย แต่ตงฟังซวี่ที่เมื่อไม่กี่เดือนก่อนเป็นเพียงคุณชายผู้ร่ำรวยไม่เอาไหนในเมืองหลวง ตอนนี้กลับกลายเป็นผู้บัญชาการกองทัพอวี่หลินที่ได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้มากที่สุด จู่ๆ หลายคนก็ตระหนักได้ว่าฮ่องเต้องค์ใหม่มีนิสัยแปลกๆ เป็นเรื่องจริงที่เขาโหดร้ายและไร้ความปรานี แต่…ดูเหมือนจะไม่ได้ไร้ความเมตตาไปเสียทีเดียว ก่อนอื่นจะต้องจงรักภักดีต่อฮ่องเต้องค์ใหม่เสียก่อน ทันใดนั้นจิตใจของผู้คนจำนวนไม่น้อยพลันพลิกผันอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้คนที่ยืนอยู่ด้านล่างเช่นเดียวกันยังมีบรรดาสายเลือดราชวงศ์แซ่หรงที่สีหน้าดูย่ำแย่เป็นพิเศษ หลังจากเมื่อคืนนี้ การสูญเสียในราชวงศ์นับว่ารุนแรงมาก เพียงแค่หรงเหยี่ยนคนเดียวก็สูญเสียหรงซิงที่จงรักภักดีต่อเขามากที่สุดกับบุตรชายคนรองหรงฮ่าว เว้นแต่หรงเซวียนที่เฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ ส่วนองค์ชายคนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกเจ็บปวดไม่ว่าพวกเขาจะมีส่วนร่วมหรือไม่ก็ตาม ที่สำคัญที่สุดก็คือหลังจากเมื่อวานที่หรงจิ่นเชือดไก่ให้ลิงดู ในราชสำนักหากไม่ใช่กลุ่มข้าราชบริพารที่ผูกพันกันจริงๆ จนแยกจากกันไม่ได้ ก็มีไม่กี่คนที่จะกล้าโวยวายตามพวกเขา อย่างไรเสีย…เดิมทีก็ต้องใช้สมองในการคำนวณกำไรขาดทุน ตอนนี้ดูเหมือนว่าคนที่อยู่ข้างบนจะไม่ใช่คนที่รับมือได้ง่าย
แต่หากปล่อยไปเช่นนี้ หลังจากเกิดเรื่องขึ้นเมื่อคืนนี้…ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขากับหรงจิ่นจะจับมือกันสร้างสันติภาพอีกครั้ง ต่อให้พวกเขายอมปล่อยวางปมในใจแล้วยอมจำนนต่อหรงจิ่นอย่างจริงใจ หรงจิ่นก็ไม่มีทางไว้ใจพวกเขาอีกแล้ว
“คณะราชทูตแคว้นหวาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!”
ด้านนอกพระตำหนักมีเสียงรายงานแหลมสูงดังขึ้น หรงจิ่นกล่าวอย่างเกียจคร้าน “เชิญเข้ามา”
ไม่นานมู่หรงเค่อกับจ้าวจื่ออวี้ก็เดินเรียงกันเข้ามา ครั้นเห็นผู้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดในบรรดาข้าราชบริพาร ซึ่งก็คือมู่ชิงอีที่โดดเด่นที่สุดก็อดจ้องมองไม่ได้ โค้งคำนับพลางกล่าวว่า “ฝูอ๋องมู่หรงเค่อจากแคว้นหวาถวายบังคมฮ่องเต้แคว้นเย่ว์”