หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บททีี่ 329
บทที่ 329
“น่ากลัวมากเจ้าค่ะ แต่เป็นห่วงความปลอดภัยของท่านมากกว่า” เฉียวเจากล่าวอย่างเปิดเผย
ถึงตอนนี้นางยังจดจำความรู้สึกขนลุกเกรียวยามรับรู้ว่ามีคนอยู่เบื้องหลัง และความสิ้นหวังขณะตกอยู่ในกำมือคนร้ายได้อย่างแจ่มชัด
“สีกาต้องมาพลอยเดือดร้อนไปด้วย ยังดีที่สีกาไม่เป็นไร”
“ซือไท่…”
อู๋เหมยซือไท่ดึงสายตากลับไปมองผนังสีขาวราวหิมะ “อาตมารู้ว่าสีกามีคำถามมากมาย แต่เรื่องพวกนี้มิใช่เรื่องที่แม่นางน้อยอย่างสีกาพึงยุ่งเกี่ยว เด็กดี หลังลงเขาแล้วจงลืมมันไปเสียให้หมด”
“ความหมายของซือไท่คือ…” เฉียวเจาสะดุดใจวูบ
อู๋เหมยซือไท่คลายยิ้ม แววตาของนางสงบนิ่ง “อารามซูอิ่งเหลือแค่อาตมากับจิ้งซี อาตมาไม่คิดจะรั้งอยู่ที่นี่อีก วันหน้าสีกาไม่จำเป็นต้องมาแล้ว”
เฉียวเจาหลากใจอยู่บ้าง นางนิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนถาม “เช่นนั้นหลังจากนี้ใครจะคัดลอกพระธรรมเป็นเพื่อนซือไท่ล่ะเจ้าคะ”
ไม่กี่เดือนสั้นๆ ที่นางอยู่ร่วมกับอู๋เหมยซือไท่ในห้องทำสมาธิเล็กๆ ห้องนั้น อู๋เหมยซือไท่ท่องพระธรรม ส่วนนางคัดลอกพระธรรม เวลาครึ่งค่อนวันก็ล่วงผ่านไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว การได้คัดลอกพระธรรมโดยไม่ว่อกแว่กฟุ้งซ่านทุกๆ เจ็ดวัน มิใช่ช่วยให้จิตใจที่ว้าวุ่นทุรนทุรายสงบลงได้หรอกหรือ
หากพูดว่าเริ่มแรกเฉียวเจาเข้าไปใกล้ชิดอู๋เหมยซือไท่อย่างมีแผนการ ทว่าบัดนี้นางอาลัยอาวรณ์อีกฝ่ายอยู่หลายส่วนจากใจจริง
“เด็กโง่ ตลอดหลายปีก่อนหน้านี้ก็ไม่มีคนคัดลอกพระธรรมเป็นเพื่อนอาตมา พบพรากจากกันล้วนเป็นวาสนา ไม่จำเป็นต้องเก็บใส่ใจเกินไป”
“แล้ววันหน้าข้าจะได้พบกับซือไท่อีกหรือไม่เจ้าคะ” เฉียวเจาถาม
นางรู้สึกไม่วายว่าอู๋เหมยซือไท่ตัดสินใจไปจากอารามซูอิ่งอย่างเด็ดเดี่ยวเกินไป ดูไม่ง่ายดายเฉกที่เห็นผิวเผิน
“บางทีอาจได้พบ บางทีอาจไม่ได้พบ ผู้ใดจะล่วงรู้เล่า อาตมาหิวแล้ว สีกาไปต้มโจ๊กมาให้อาตมากินสักชามเถอะ”
เฉียวเจาหยิบสร้อยลูกประคำไม้กฤษณาออกมา “ซือไท่ สร้อยลูกประคำของท่านเจ้าค่ะ”
อู๋เหมยซือไท่ไม่รับไว้ “สร้อยลูกประคำเส้นนี้อาตมาขอมอบให้สีกา หวังว่ามันจะคุ้มครองสีกาให้ปลอดภัย”
“ขอบคุณซือไท่มากเจ้าค่ะ” เฉียวเจารู้ว่าอู๋เหมยซือไท่ไม่ชมชอบการบ่ายเบี่ยงยักไปยักมา จึงรับไว้แล้วถอยออกจากห้อง
เซ่าหมิงยวนรออยู่นอกประตู
“ท่านเจ้าอาวาส ซือไท่ให้ข้าต้มโจ๊กให้ ไม่ทราบว่าเรือนครัวอยู่ที่ใดเจ้าคะ”
“จิ้งซวี พาคุณหนูหลีไปเรือนครัว”
เซ่าหมิงยวนติดตามไป “คุณหนูหลี ข้าไปพร้อมกับท่าน”
ยามนี้เรือนครัวของวัดต้าฝูว่างเปล่าไร้ผู้คน เฉียวเจานั่งเหม่ออยู่บนม้านั่งตัวเล็กด้านข้างระหว่างรอต้มโจ๊กจนได้ที่
“ซือไท่ไม่บอกอะไรเลยใช่หรือไม่”
“ใช่” เฉียวเจาดึงตัวเองออกจากภวังค์ นางเขี่ยฟืนในเตาพลางเอ่ยเสียงเบา “ซือไท่จะไปจากอารามซูอิ่ง ฉะนั้นวันหน้าข้าไม่ต้องมาแล้วเจ้าค่ะ”
“ไม่มาก็ดีเหมือนกัน”
เฉียวเจาชะงักมือ พลางหันไปมองเขา
เซ่าหมิงยวนรับไม้เขี่ยไฟจากมือนาง เขากล่าวเอื่อยๆ “เรื่องหนนี้อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้น”
“เหตุไฉนแม่ทัพเซ่าคิดเช่นนี้”
ชายหนุ่มหยักยิ้ม “คงเป็นสัญชาตญาณกระมัง ต้นไม้อยากสงบนิ่งทว่าสายลมไม่หยุดพัด พรานป่าผู้นั้นกับภิกษุคงอวิ๋นแฝงกายมานานถึงเพียงนั้น กลุ่มอำนาจเบื้องหลังพวกเขายังไม่ได้สิ่งของที่ต้องการ จะยอมรามือแต่โดยดีหรือไร”
“นั่นสิ” เฉียวเจาถอนใจ
เมื่อครู่อยู่ต่อหน้าอู๋เหมยซือไท่ นางมิได้ซักถามด้วยซ้ำว่าของที่คนร้ายสองคนนั้นเสาะหาอยู่คืออะไร เพราะนางรู้ว่าถึงถามไป อีกฝ่ายก็คงไม่บอก
“สำหรับพวกอู๋เหมยซือไท่ เรื่องนี้เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น แต่สำหรับคุณหนูหลีกลับยุติลงเท่านี้ เช่นนี้ใช่ว่าจะไม่เป็นเรื่องดี”
“อื้อ” เฉียวเจาพยักหน้า
อันความอยากรู้อยากเห็นนั้นล้วนมีกันอยู่ทุกผู้ทุกนาม ทว่าโดยมากแล้วจำเป็นต้องควบคุมมันไว้ให้ได้
“คุณหนูหลี อันที่จริงท่านสามารถใคร่ครวญเรื่องสอนการฝังเข็มขับพิษให้คนสนิทของข้านะ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไม่ต้องรบกวนให้ท่านมาทุกวัน ข้ารับรองว่าคนสนิทของข้าหากฝึกเป็นแล้วจะไม่ถ่ายทอดให้ใครทั้งนั้น”
เฉียวเจาเหล่มองบุรุษข้างกายปราดหนึ่ง นางแทบแค่นหัวร่อออกมา
พูดวกวนอยู่ตั้งนาน จุดสำคัญอยู่ตรงนี้นี่เอง เขายังไม่ล้มเลิกความตั้งใจให้คนเรียนฝังเข็มกับนาง!
“ดังนั้นแม่ทัพเซ่าคิดจะถีบหัวเรือส่งใช่หรือไม่” แม่นางเฉียวถามเสียงเย็นๆ
ราตรีนั้นเจ้าคนบ้าผู้นี้ใช้ข้าเป็นผ้าห่มทั้งคืน ตอนนี้มาพูดเช่นนี้กับข้ารึ
“เปล่า คุณหนูหลีเข้าใจผิดแล้ว ข้าเพียงรู้สึกว่าสร้างความวุ่นวายให้ท่านเกินไป”
“ข้าไม่รังเกียจความวุ่นวาย” แม่นางเฉียวพูดสวนกลับทันที
เซ่าหมิงยวนอ้าปากออก สุดท้ายไม่รู้ว่าสมควรอธิบายเช่นไรจริงๆ เขาจึงไม่ปริปากเสียเลย
“โจ๊กเสร็จแล้ว” เฉียวเจาลุกขึ้นตักโจ๊กออกจากหม้อ นางเหลือชามหนึ่งไว้บนโต๊ะในครัว ตอนจะยกโจ๊กออกไป นางหันหน้ามาบอก “แม่ทัพเซ่ากินโจ๊กชามนั้นเถอะ ประเดี๋ยวข้ายกโจ๊กไปส่งแล้วจะกลับกระท่อมไปฝังเข็มให้ท่าน”
เซ่าหมิงยวนเพ่งสายตามองโจ๊กที่ส่งควันฉุยอย่างใจลอยครู่หนึ่งถึงยกขึ้นกินคำใหญ่ จากนั้นกัดฟันทนจนดวงหน้าหล่อเหลาแดงก่ำ
ลวกปากแทบพอง!
คดีฆาตกรรมในอารามซูอิ่งปิดฉากลงด้วยการปิดปากเงียบของอู๋เหมยซือไท่
เฉียวเจากลับไปที่กระท่อมไม้ไผ่กับเซ่าหมิงยวน นางฝังเข็มให้เขาแล้วอ่อนล้าจนทนไม่ไหวในที่สุด “ข้าไปนอนสักหน่อย หากมีเรื่องใดแม่ทัพเซ่าก็เรียกข้านะ”
“ได้” รอนางออกไปแล้ว เซ่าหมิงยวนนอนพักราวหนึ่งชั่วยามก็ตื่นขึ้น เขาเปิดประตูเดินออกไป
นกพิราบสีเทาตัวหนึ่งบินลงมาอยู่ตรงข้างเท้า
เขาหยิบแผ่นกระดาษที่ติดอยู่บนตัวมันมาคลี่ออกอ่าน ก่อนจะขยำจนแหลกละเอียดโปรยทิ้งไปในสายลม
ด้านเฉียวเจาหลับรวดเดียวจนเที่ยงวันถึงตื่นนอน ตอนนางเดินโผเผออกมาข้างนอกอย่างมึนศีรษะ คนที่อยู่นอกกระท่อมก็หมุนกายมา
“แม่ทัพเซ่าไม่ได้นอนพักผ่อนหรือเจ้าคะ”
เมื่อคืนนับเป็นราตรีที่น่าขวัญหนีดีหาย ขณะนี้เกรงว่าเหล่าภิกษุของวัดต้าฝูคงต่างนอนหลับชดเชยกันอยู่
“ได้นอนแล้ว” เซ่าหมิงยวนชี้อ่างไม้ซึ่งวางอยู่บนหินก้อนยักษ์ “รองจากบ่อน้ำพุ คุณหนูหลีล้างหน้าสิ”
“เอ่อ…ขอบคุณเจ้าค่ะ” เฉียวเจาแปลกใจอยู่บ้างแต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า นางก้มลงวักน้ำล้างหน้า ความรู้สึกตัวลอยหวิวๆ และศีรษะหนักๆ ก็หายเป็นปลิดทิ้ง สดชื่นกระฉับกระเฉงขึ้นทันใด
เซ่าหมิงยวนยื่นน้ำชาถ้วยหนึ่งให้
นางช้อนตาขึ้นมองเขา
“ชงด้วยน้ำพุต้มเดือดแล้ว”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ” เฉียวเจากล่าวขอบคุณเป็นคำรบที่สอง
ชายหนุ่มนั่งลงพร้อมเอ่ย “ข้าได้รับข่าวจากนอกภูเขาอีกแล้ว”
นางอยู่นิ่งๆ กุมถ้วยน้ำชาไว้ในมือ
เซ่าหมิงยวนลดสุ้มเสียงลงเบามาก “ข้าให้ผู้ใต้บังคับบัญชาสืบว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นในรัชศกหมิงคังปีที่ห้า”
หญิงสาวใจเต้นผิดจังหวะวูบหนึ่ง
รัชศกหมิงคังปีที่ห้า…
นางนึกว่าเขาจะรอออกไปก่อนค่อยสืบสาวราวเรื่อง ไม่คิดว่าจะเริ่มลงมือแล้ว
“ในรัชศกหมิงคังปีที่ห้าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นสองเรื่อง” ไม่รอเฉียวเจาเอ่ยถาม เขาเริ่มเล่าให้ฟังเสียงเบาๆ “เรื่องแรกคือแม่ทัพเป่ยเจิงเจิ้นหย่วนโหวโดนตัดสินประหารชีวิตทั้งตระกูลเพราะสมคบข้าศึก”
เฉียวเจาฟังแล้วหนาวสะท้านในอกอย่างไร้สาเหตุ นางไต่ถามขึ้น “เรื่องที่สองล่ะเจ้าคะ”
“เรื่องที่สองเกิดขึ้นก่อนเจิ้นหย่วนโหวถูกตัดสินว่าสมคบข้าศึก ตอนต้นรัชศกหมิงคังปีที่ห้าซู่อ๋องก่อกบฏ”
“ซู่อ๋อง?” เฉียวเจาหยุดตรึกตรองเล็กน้อยแล้วกล่าวพึมพำ “กบฏหลิ่งหนาน?”
เซ่าหมิงยวนเลิกคิ้วขึ้น “คุณหนูหลีรู้เรื่องกบฏหลิ่งหนานเช่นกันหรือ”
ตลอดยี่สิบปีหลังเกิดกบฏหลิ่งหนาน แทบไม่มีคนเอ่ยถึงเหตุการณ์ระส่ำระสายในบ้านเมืองที่ดำเนินอยู่ไม่ถึงสามเดือนนั่น เขาเองเพิ่งจดจำได้รางๆ เพราะเห็นข่าวที่นกพิราบสื่อสารนำมา กลับลืมเลือนไปว่าความทรงจำอันรางเลือนในหัวนี้อ่านมาจากหนังสือเล่มใดหรือได้ยินใครเอ่ยถึงโดยไม่ตั้งใจกันแน่
“เคยอ่านเกร็ดนอกพงศาวดารเล่มหนึ่ง ในนั้นมีประโยคหนึ่งกล่าวถึงเป็นนัยๆ”
“แม้ว่าปีนั้นอู๋เหมยซือไท่ลงเขาไปไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องใหญ่เช่นนี้ แต่รัชศกหมิงคังปีที่ห้าเป็นปีที่พิเศษมากจริงๆ”
“แม่ทัพเซ่าคิดจะสืบต่อไปหรือไม่เจ้าคะ”
เซ่าหมิงยวนยกยิ้ม “สืบดูก่อนเถอะ จริงสิ อีกสองสามวันเส้นทางภูเขาจะใช้การได้แล้ว”
“หวังว่าทางจะเปิดเร็วขึ้น คนในเรือนคงร้อนใจกันแย่แล้ว”
หลายวันต่อมา เมื่อเสียงไชโยโห่ร้องดังขึ้นระลอกหนึ่ง ถนนบนเขาก็กลับมาสัญจรขึ้นลงได้ในที่สุด