หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 0 บทนำ
บทนำ
เมฆดำลอยต่ำ ธงทิวปลิวไสว
เมืองเยี่ยนซึ่งตั้งตระหง่านอยู่กลางดินแดนหิมะถูกกองทหารแคว้นต้าเหลียงปิดล้อมไว้ทุกด้านละม้ายเกาะร้างโดดเดี่ยวตัดขาดจากโลกภายนอก
แม่ทัพหนุ่มผู้บัญชาการรบสวมชุดเกราะเงิน เสื้อคลุมไหล่สีแดงสดโบกสะบัดอยู่เบื้องหลัง เขาชูมือพลางเปล่งคำสองคำด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบยิ่งกว่าน้ำแข็ง
“ตีเมือง!”
พอถ้อยคำนี้ดังขึ้น เสียงกู่ร้องพร้อมรบก็ดังกระหึ่มก้องฟ้าในฉับพลัน
เหนือกำแพงเมืองที่เจียนพังทลายรอมร่อแต่แรกบังเกิดความชุลมุนระลอกหนึ่ง ตามมาด้วยเสียงตะโกนห้วนกระด้างของนายทัพเป่ยฉีดังลอยมา
“แม่ทัพเซ่า เจ้าดูก่อนว่านี่เป็นใครแล้วค่อยออกคำสั่งตีเมืองก็ยังไม่สาย”
สิ้นเสียงเขา สตรีนางหนึ่งถูกกุมตัวมายืนบนกำแพงเมือง
เรือนผมสีดำสนิทดุจขนนกกาของนางเหน็บไว้หลังหูอวดรูปหน้าผุดผาดเกลี้ยงเกลา ลมเหนือพัดบาดผิวแก้มนวลเนียน เป็นเหตุให้ริมฝีปากและใบหน้ายิ่งแดงมากขึ้น ประหนึ่งดอกพุดตานถูกผนึกไว้ในน้ำแข็งหนาวเหน็บ มาตรว่าจะดูบริสุทธิ์ผุดผ่อง หากกลับงามบาดตาเป็นพิเศษ
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบทันใด
สีหน้าแววตาของแม่ทัพหนุ่มหล่อเหลาในชุดเกราะเงินไม่มีร่องรอยหวั่นไหวแม้สักนิด เขาชูมือขึ้นเป็นคำรบที่สอง…
ทัพใหญ่ตรงเชิงกำแพงรุกคืบเข้าไปใกล้อีกก้าวหนึ่งอย่างหมายมั่นเอาชัย สร้างแรงบีบคั้นคุกคามคนบนกำแพงเมืองให้อกสั่นขวัญแขวน
นายทัพเป่ยฉีกระชากตัวสตรีนางนั้นมาแล้วผลักไปด้านหน้าตนเอง กล่าวตะคอกด้วยความโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง “แม่ทัพเซ่า เจ้าจงดูให้ชัดๆ นี่เป็นภรรยาของเจ้านะ ขอแค่เจ้าถอยทัพ ข้ารับรองว่านางจะปลอดภัยไม่เป็นอันตรายใดๆ ไม่เช่นนั้นล่ะก็ ภรรยาของเจ้าคงต้องจบชีวิตแล้ว”
แม่ทัพหนุ่มนิ่งงันไป
ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้หนึ่งข้างกายเขาเอ่ยกระซิบ “ท่านแม่ทัพ นั่นเป็นฮูหยินของท่านจริงๆ ขอรับ”
แม่ทัพหนุ่มดึงสายบังเหียนพลางเพ่งมองสตรีบนกำแพงเมืองปราดหนึ่ง ที่แท้นี่คือภรรยาของเขานั่นเอง
ราวกับรับรู้ถึงสายตาของชายหนุ่ม สตรีบนกำแพงเมืองกลอกตาเล็กน้อยไปมองสบนัยน์ตาเขาจากระยะไกล
ทิศเหนือถูกชาวฉีโจมตีรุกรานบ่อยๆ ตอนนี้ยังถึงขั้นยึดเมืองไป กว่าจะมาถึงศึกกอบกู้ดินแดนในวันนี้ เหล่าทหารต้องเสียเลือดเสียเนื้อไปมากเท่าใดก็สุดรู้ แล้วจะหยุดฝีเท้าลงเพื่อนางผู้เดียวได้เยี่ยงไร
แม้นนางเป็นสตรี กระนั้นเรื่องสำนึกในหน้าที่ต่อแผ่นดินเช่นนี้ นางยังคงมีอยู่
แล้วแม่ทัพหนุ่มที่ชาวฉีได้ยินชื่อเป็นต้องขวัญหนีดีฝ่อ หรือก็คือสามีของนางที่เพิ่งได้เห็นหน้าชัดถนัดตาในวันนี้เป็นคราแรกผู้นั้น ย่อมไม่มีทางละทิ้งโอกาสชิงอาณาเขตคืนเพราะนาง
หญิงสาวอ้าปากออก ทว่าอากาศหนาวเกินไป อีกทั้งไม่ได้ปริปากเป็นเวลานาน ส่งผลให้นางเปล่งเสียงพูดไม่ออกสักคำในชั่วขณะ
ความคิดนี้ผุดวาบขึ้นในหัวนางไม่ทันไร ลูกธนูคมกริบดอกหนึ่งจากที่ไกลก็พุ่งเข้ามาใกล้แล้วขยายใหญ่ขึ้นเบื้องหน้าสายตา ตามติดมาด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรงแล่นปราดจากจุดเดียวลุกลามไปทั่วร่าง
นางก้มหน้าลงตามสัญชาตญาณก็มองเห็นเลือดไหลทะลักจากหน้าอก กระไออุ่นที่แผ่ซ่านจากโลหิตสลายหายไปกับลมหนาวอย่างรวดเร็ว
คนบ้า ไม่ให้โอกาสข้าได้กล่าววาจาแสดงความองอาจห้าวหาญแม้สักคำ…
เสี้ยวขณะที่เผชิญกับความตายนั้น หญิงสาวคิดคำนึงอย่างคับแค้นใจ
“ท่านแม่ทัพ!”
ผู้ใต้บังคับบัญชาข้างกายแม่ทัพหนุ่มร้องตะโกนคำหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่
แม่ทัพหนุ่มลดคันธนูลงด้วยสีหน้าเรียบเฉย หลุบเปลือกตาลงซ่อนความรู้สึกผิดในแววตาขณะเปล่งสองคำเดิมที่พูดไปก่อนหน้านี้ด้วยสุ้มเสียงเย็นชา “ตีเมือง!”
ต้นฤดูใบไม้ผลิของรัชศกหมิงคังปีที่ยี่สิบห้า แคว้นต้าเหลียงชิงเมืองเยี่ยนคืนมาได้ เซ่าหมิงยวน แม่ทัพเป่ยเจิง* บุตรชายคนรองของจิ้งอันโหวได้รับแต่งตั้งเป็นกวนจวินโหวกรีธาทัพกลับเมืองหลวงพร้อมชัยชนะ
ขณะที่เฉียวซื่อ** ภรรยาของเขากลับต้องพลีชีพเพื่อแผ่นดินทิ้งรอยเลือดไว้บนกำแพงเมืองเยี่ยนตลอดกาล
* เป่ยเจิง หมายถึงพิชิตอุดร
** ธรรมเนียมการเรียกขานสตรีที่แต่งงานแล้วของจีนจะใช้คำว่า ซื่อ (แปลว่า นามสกุล) ต่อท้ายนามสกุลเดิมของสตรี บางครั้งอาจเพิ่มนามสกุลของสามีไว้หน้าสุดเพื่อระบุให้ชัดเจนขึ้น