หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 1
บทที่ 1
สายลมแห่งวสันตฤดูเปรียบดั่งจิตรกรผู้แต่งแต้มสีสันสดใสให้กับธรรมชาติ ยิ่งมุ่งหน้าลงทิศใต้ หมู่มวลพฤกษานานาพันธุ์ยิ่งเขียวชอุ่มขึ้นตามลำดับ
จวนเจียนเที่ยงวันแล้ว หากแต่ในเพิงน้ำชาโกโรโกโสริมทางกลับมีคนนั่งอยู่ไม่น้อย ผู้ชงชาสูงวัยถือกาทองแดงปากยาวเดินวนไปรอบๆ คอยรินชาเติมให้พวกลูกค้าอย่างรวดเร็วทันใจ
ที่นี่ห่างจากเมืองเป่าหลิงสิบลี้*** เศษ คนที่ออกจากเมืองจะพูดคุยถึงเรื่องน่าสนใจที่เกิดขึ้นในเมืองระยะนี้ ส่วนลูกค้าที่กำลังจะเข้าเมืองก็รับฟังด้วยความสนอกสนใจอย่างยิ่ง
เพลานี้เองคนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นว่าวันนี้มีคุณชายหนุ่มหลายคนมายังเมืองเป่าหลิง ฟังสำเนียงพูดแล้วคล้ายจะมาจากเมืองหลวง แต่ละคนล้วนรูปงามผึ่งผาย หนึ่งในบรรดานั้นยังทัดเทียมได้กับชายงามระดับพานอันและซ่งอวี้****เลยทีเดียว
มีคนพูดอย่างไม่เชื่อถือ “จะเทียบกับบุรุษหน้าหยกสกุลเฉียวแห่งจยาเฟิงได้หรือ”
จยาเฟิงตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองเป่าหลิง นั่งเรือไปต้องใช้เวลาถึงสองสามวัน ทว่ากิตติศัพท์ของบุรุษหน้าหยกสกุลเฉียวยังเลื่องลือมาถึงที่นี่ เพียงพอจะบ่งบอกได้ว่าเป็นผู้มีความโดดเด่นชั้นใดแล้ว
ผู้กล่าววาจาก่อนหน้าดื่มน้ำชาเย็นๆ หลายคำก่อนยิ้มอวดฟันที่ซ้อนเกกันทั้งปาก “ข้าไม่เคยเห็นบุรุษหน้าหยกสกุลเฉียว แต่ถ้าพูดว่าสู้คุณชายที่ข้าเจอในเมืองท่านนั้นได้ล่ะก็…ข้ามิเชื่อหรอก”
พอคำกล่าวนี้ดังขึ้น มีคนไม่น้อยส่งเสียงร้องค้านทันควัน ยังมีคนหลายคนที่เคยเห็นพวกคุณชายในเมืองร่วมวงโต้เถียง
“ท่านลุง ขอชาหนึ่งกา แล้วก็ขนมสองจาน” เสียงเสียงหนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะการถกเถียงของทั้งสองฝ่าย
ทุกคนหันไปตามต้นเสียง มองเห็นบุรุษอายุสามสิบเศษหยุดยืนอยู่ไม่ไกลจากเพิงน้ำชา เขาหมุนกายไปพยุงเด็กสาววัยราวสิบสองสิบสามผู้หนึ่งลงจากหลังลา
ครั้นเห็นทุกคนหันมามองเป็นตาเดียวกัน ก็เอาลาผูกโยงไว้กับต้นไม้ริมถนนแล้วใช้ตัวบังร่างเด็กสาวไว้เกือบมิด เขาพูดเสียงดังแกมหงุดหงิด “ยกน้ำชามาเร็วเข้า บุตรสาวข้าไม่ค่อยสบาย ต้องรีบเข้าเมือง”
“ได้ขอรับ…”
ผู้ชงชากุลีกุจอยกน้ำชาหนึ่งกากับขนมหวานสองจานมาวางบนโต๊ะ
เขาเลื่อนจานขนมไปตรงหน้าเด็กสาว บอกด้วยสุ้มเสียงไม่เบาไม่ดัง “กินสิ”
จากนั้นเขาก็หยิบกาน้ำชาขึ้นดื่มอักๆ หลายอึก
ครอบครัวสามัญชนมักไม่พิถีพิถันนัก เด็กสาวขี่ลาเดินทางจึงเป็นเรื่องปกติอย่างมาก ทุกคนดึงสายตากลับ มีเพียงพวกตาไวไม่กี่คนที่ตะลึงในความงามของเด็กสาวจนเหลียวมองซ้ำๆ อย่างอดใจไม่อยู่
เขาแค่นเสียงฮึดังๆ หลายที ท่าทางไม่พึงใจที่ผู้อื่นมองบุตรสาวตนอย่างชัดเจนเช่นนี้
บุรุษผู้นั้นมีเรือนกายสูงใหญ่บึกบึน ดูท่าทางมิใช่ผู้ที่จะตอแยได้ คนที่นั่งดื่มน้ำชาในเพิงโกโรโกโสแห่งนี้ล้วนเป็นชาวบ้านธรรมดาๆ ย่อมไม่อยากก่อเรื่อง พวกเขาเลิกสนใจทางนี้หันกลับไปคุยหัวข้อสนทนาเมื่อครู่ต่อ
“ข้าว่านะคุณชายที่เข้าเมืองมาท่านนั้นเทียบบุรุษหน้าหยกสกุลเฉียวมิได้แน่นอน ถึงเมืองหลวงจะดี แต่ไหนเลยจะสู้ความงดงามตามธรรมชาติของชาวเราแถบนี้ได้ โดยเฉพาะอำเภอจยาเฟิงถิ่นคนงามที่เลื่องลือไปทั่วทุกหนแห่งไม่ว่าไกลใกล้”
เด็กสาวที่สำรวมเรียบร้อยตั้งแต่เข้ามานั่งในเพิงน้ำชาอดเงยหน้าขึ้นมองคนพูดแวบหนึ่งไม่ได้
“อะไรกัน ไฉนข้าได้ยินว่าบุรุษหน้าหยกสกุลเฉียวผู้นั้นก็มาจากเมืองหลวงเช่นกัน”
“บุรุษหน้าหยกสกุลเฉียวมาจากเมืองหลวงมิใช่เรื่องเท็จ แต่เขาเป็นชาวจยาเฟิงขนานแท้ เมื่อหลายปีก่อนตอนอาจารย์เฉียวสิ้นบุญ เขาติดตามครอบครัวกลับบ้านเดิมมาไว้ทุกข์ให้ท่านปู่”
“เอ๊ะ?! ที่แท้บุรุษหน้าหยกสกุลเฉียวเป็นหลานของอาจารย์เฉียวหรือ”
ยามเอ่ยถึง ‘บุรุษหน้าหยกสกุลเฉียว’ คนท้องถิ่นจะต่อท้ายคำหนึ่งว่า ‘แห่งจยาเฟิง’
แต่หากกล่าวถึงอาจารย์เฉียว เช่นนั้นคนทั้งปฐพีล้วนนึกถึงคนผู้เดียวกันคือ ท่านเฉียวจัว อดีตหัวหน้าสำนักศึกษาหลวง จอมปราชญ์นามกระเดื่องทั่วหล้าผู้ถูกขนานนามว่าเป็นคนเก่งอันดับหนึ่งของแผ่นดิน
เพียงเสียดายว่าอาจารย์เฉียวล่วงลับไปเมื่อสองปีก่อนแล้ว
เสียงทอดถอนใจดังระงมขึ้นในเพิงน้ำชา
เด็กสาวหลุบตาซ่อนแววตาที่ผิดแปลกไป หูของนางไม่ได้ยินเสียงพวกนั้นแล้ว
ตอนนางลืมตาฟื้นคืนชีพ ก็เปลี่ยนจากเฉียวเจาหลานสาวของอาจารย์เฉียวและภรรยาของแม่ทัพเป่ยเจิงเซ่าหมิงยวนกลายเป็นหลีเจาเด็กสาวอายุสิบสามปีไปแล้ว มิหนำซ้ำยังตกอยู่ในมือของโจรค้าทาส นางคิดไม่ถึงว่าไปๆ มาๆ ตนกำลังจะกลับถึงบ้านเกิดของตนเองแล้วหรือนี่
ท่านปู่… เฉียวเจารำพึงในใจ
หลังจากออกเรือนไปอยู่เมืองหลวง นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตนจะได้มาอยู่ใกล้ๆ กับสถานที่ที่คะนึงหาทุกขณะจิตจนเก็บไปฝันทั้งกลางวันกลางคืนนับครั้งไม่ถ้วนในอีกฐานะหนึ่งด้วยวิธีการเฉกนี้
จยาเฟิง…ที่นั่นเป็นที่ฝังร่างของท่านปู่ซึ่งนางเคารพรักมากที่สุด และยังมีญาติพี่น้องสายเลือดเดียวกันที่กลับจากเมืองหลวงพำนักอาศัยอยู่
นับวันดูแล้วตอนนี้พวกท่านพ่อคงออกทุกข์แล้ว
เฉียวเจาลอบกำมือเป็นหมัด ชำเลืองตามองบุรุษที่ดื่มน้ำชาพรวดๆ ปราดหนึ่งโดยไม่ให้ส่อพิรุธ
ในความทรงจำที่หลงเหลือในหัวสมอง ตั้งแต่สาวน้อยหลีเจาตกอยู่ในมือคนผู้นี้เคยพยายามหลบหนีหลายครั้งหลายหน ทว่าไม่มีคราใดไม่ลงท้ายด้วยความล้มเหลว
ครั้งที่ระทึกใจที่สุดนั้น แม่นางน้อยฉวยจังหวะหนีพ้นมาได้ นางวิ่งไปร้องไห้ตะโกนไปว่าถูกคนผู้นี้ล่อลวงไปขาย ดึงคนที่ผ่านไปผ่านมาให้หยุดมุงดูได้ไม่น้อย
พอบุรุษผู้นี้ไล่ตามทัน เขาก็ปาดน้ำตาพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงหวังดี
‘ลูกพ่อ พ่อรู้ว่าเจ้าเกลียดพ่อที่ขัดขวางไม่ให้เจ้าหนีตามหวังเอ้อร์หนิวที่อยู่ข้างบ้าน แต่ถึงถูกเจ้าเกลียดสักปานใด ข้าก็ไม่อาจมองดูเจ้าหลงเดินทางผิดได้! หยุดก่อเรื่องเสียที ตามพ่อกลับเรือนดีๆ เถอะนะ แม่เจ้าร้องไห้จนจะตาบอดอยู่แล้ว…’
จากนั้นต่อให้นางร้องไห้โวยวายจนเสียงแหบเสียงแห้งก็ไม่อาจเหนี่ยวรั้งคนที่มุงดูไว้ได้อีก
เขาสั่งสอนนางอย่างหนักยกหนึ่งในที่ลับตาคน และยิ่งจับตาดูนางอย่างไม่ให้คลาดสายตานับตั้งแต่นั้น ส่วนที่ได้รับอิสระเล็กๆ น้อยๆ ในตอนนี้เป็นผลมาจากสองวันนี้เฉียวเจาซึ่งวิญญาณเข้าสวมร่างเด็กสาวแทนทำตัวดีเป็นพิเศษ
“ไปเถอะ” โจรค้าทาสวางเงินอีแปะสองสามเหรียญแล้วลุกขึ้นยืน
เฉียวเจากุลีกุจอลุกขึ้นเดินตามเขาออกไปโดยไม่เหลียวซ้ายแลขวา
ความเคลื่อนไหวทางนี้ทำให้นางตกเป็นเป้าสายตาอีกหน
เด็กสาวเยื้องย่างอย่างแช่มช้อย เผยกิริยางามสง่าออกมาโดยไม่ตั้งใจเป็นเหตุให้เขาขมวดคิ้วอย่างสุดระงับ
สินค้ารอบนี้เป็นของดีที่สุดที่เขาได้มาไว้ในมือตลอดหลายปีนี้ กระนั้นก็ดีเกินไปอยู่สักหน่อย ลำพังแค่ท่าเดินตามสบายเช่นนี้ยังสะดุดตาถึงเพียงนี้แล้ว
ไฉนเมื่อสองวันก่อนถึงไม่รู้สึกนะ
เขาถอนใจเฮือกหนึ่ง ลอบตกลงปลงใจว่าประเดี๋ยวหลังเข้าเมืองแล้วเปลี่ยนเป็นนั่งรถม้าจะดีกว่า
หนึ่งชั่วยาม* ให้หลัง
เฉียวเจานั่งอยู่บนหลังลา แหงนคอมองตัวอักษรคำว่า ‘เป่าหลิง’ บนประตูเมืองอย่างเหม่อลอยอยู่บ้าง
นางเคยมาเมืองเป่าหลิงแล้ว
ท่านปู่เฉียวจัวเป็นผู้รักอิสระไม่ชอบอยู่ใต้กฎเกณฑ์ ท่านเหนื่อยหน่ายกับการเป็นขุนนางมานานแล้ว หลังลาออกจากราชการก็พาท่านย่ากับนางออกท่องไปทั่วหล้าตามใจปรารถนา ต่อมาสุขภาพอ่อนแอลงถึงกลับมาเก็บตัวอยู่ที่เมืองจยาเฟิงอย่างสันโดษ
นางเคยเดินทางมาที่เมืองเป่าหลิงสองครั้งเพราะอาการป่วยของท่านปู่
เมืองยังคงเป็นเมืองเดิม ทว่านางกลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ชั่วขณะนี้นางผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยในที่สุดหลังระวังเนื้อระวังตัวมาหลายวัน รอยยิ้มเยาะตนเองก็ผุดขึ้นตรงมุมปากวูบหนึ่ง
โจรค้าทาสพาเฉียวเจาเข้าเมืองแล้วเสาะหาที่ขายเจ้าลาขนรุงรังตัวนั้น ขณะเดินไปตามถนนที่พลุกพล่านวุ่นวาย เขาหวั่นใจว่าแม่นางน้อยที่เพิ่งสงบเสงี่ยมได้สองวันจะก่อความวุ่นวายขึ้นอีก จึงพูดกล่อมเสียงเบา “เจ้าเป็นเด็กดีว่าง่ายๆ แล้วข้าจะพาไปกินอาหารในหอสุราดีๆ อีกสักครู่ค่อยเช่ารถม้าสักคัน เจ้าจะได้ไม่ต้องตากลมตากแดด”
“ยังจะไปที่ใดอีกหรือ” เฉียวเจาซึ่งเงียบขรึมไม่ค่อยพูดจามาโดยตลอดจู่ๆ ก็เอ่ยปากขึ้น
เด็กสาวสบตากับเขา นัยน์ตาทั้งคู่สุกใสแวววาวละม้ายผิวน้ำแต้มริ้วคลื่นอ่อนพลิ้วที่สุดยามสายลมแผ่วเบาโชยผ่านในวสันตฤดู
เขากล่าวตอบราวกับมีผีสางเทวดาดลใจ “หยางโจว”
ครั้นโจรค้าทาสดึงสติคืนมาได้ก็นึกขัดเคืองอยู่บ้าง แต่เขาปลอบใจตนเองทันทีว่า แม่นางน้อยรู้แล้วจะเป็นอะไรไป ผ่านเมืองเป่าหลิงนี้ไปเพียงไม่นานก็ถึงเมืองหยางโจวแล้ว
เฉียวเจาใจหล่นดังตุบ ทว่าสีหน้ายังไม่แปรเปลี่ยน นางลอบอุทานว่า หยางโจวหรือนี่ ไม่ได้การแล้ว
จากที่นี่เดินทางไปหยางโจวต้องใช้อีกเส้นทางหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ห่างจากอำเภอจยาเฟิงบ้านเกิดของนางไกลออกไปทุกทีๆ รอเมื่อถึงแปลกที่แปลกถิ่น ต่อให้หลบหนีได้ ก็หวั่นเกรงว่าเด็กสาวที่วัยสิบสองสิบสามออกจากรังหมาป่าไม่ทันไรก็หลุดเข้าถ้ำเสืออีกนะสิ
เฉียวเจายังคิดไม่ออกว่าจะแสดงตัวกับญาติพี่น้องในสภาพนี้เช่นไรดี แต่อย่างน้อยนางรู้ว่าพวกท่านพ่อล้วนเป็นวิญญูชนผู้เที่ยงธรรม ย่อมต้องไม่ประสงค์ร้ายต่อเด็กสาวที่ประสบเคราะห์ภัยอยู่แน่
ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะกลับเรือน เช่นนั้นต้องหนีตอนอยู่เมืองเป่าหลิงให้ได้
*** ลี้ (หลี่) หมายถึงหน่วยมาตราวัดของจีน เทียบได้กับระยะทางประมาณ 500 เมตร
**** พานอันและซ่งอวี้ ได้รับการยกย่องเป็นบุรุษรูปงามในประวัติศาสตร์จีน ซ่งอวี้เป็นศิษย์ของกวีรักชาติชวีหยวนและเป็นราชเลขาธิการของฉู่ไหวอ๋องในสมัยจั้นกั๋ว ส่วนพานอัน มีชื่อเดิมว่าพานเยวี่ย เป็นนักวรรณคดีหนุ่มรูปงามในสมัยจิ้นตะวันตก
* ชั่วยาม เป็นหน่วยเวลาโบราณของจีน หนึ่งชั่วยามเท่ากับสองชั่วโมง ครึ่งชั่วยามจึงเท่ากับหนึ่งชั่วโมง