หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 100
แม้ไม่มีหลักฐานแน่ชัดอันใด ทว่าชั่วพริบตาที่เฉียวเจามองเห็นเจียงหย่วนเฉานั้น ความคิดนี้ก็ผุดขึ้นฉับพลัน
เมื่อนึกไปถึงฐานะของคนผู้นี้ นางก็รีบดึงสายตากลับมาอย่างว่องไว
ความรู้สึกที่ถูกองครักษ์จับตาดูอยู่ไม่ใคร่น่าพิสมัยเท่าใดนักจริงๆ
กระนั้นเฉียวเจายังไม่ทันถอยหลบจากหน้าต่าง ชายหนุ่มตัวสูงตระหง่านบนถนนผู้นั้นก็รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณแล้ว ดวงตาคมปลาบดุจเหยี่ยวมองมาทางหน้าต่างที่นางอยู่แล้วตรึงอยู่ที่ร่างอรชรตรงนั้นนิ่งๆ
เขากับนางประสานสายตากัน คนหนึ่งอยู่ข้างหน้าต่างชั้นบน คนหนึ่งยืนอยู่ริมถนน
เฉียวเจาเลิกคิ้วขึ้น ชิงความได้เปรียบก่อนเสียเลย “พี่เจียง บังเอิญเช่นนี้?”
ความจริงแล้วตัวนางมีอะไรควรค่าให้เขาจับตาดูกันแน่
เจียงหย่วนเฉาตื่นตระหนกไปชั่วอึดใจหนึ่ง
เสี้ยวเวลานี้เขาเข้าใจจิตใจของเจียงเฮ่อได้ทันที
จู่ๆ เป้าหมายที่สะกดรอยตามก็ร้องทักทายอย่างตรงไปตรงมาเฉกนี้ เป็นความรู้สึกที่พิลึกพิลั่นดีแท้
เจียงหย่วนเฉาโตมาจนป่านนี้มิเคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน ถึงกับไม่รู้ว่าสมควรโต้ตอบอย่างไรจึงจะดีไปในชั่วขณะ
สาวน้อยริมหน้าต่างผลิยิ้มละไม กวักมือเรียกเขา “พี่เจียงจะขึ้นมาดื่มน้ำชาหรือไม่เจ้าคะ”
“อื้อ…” เจียงหย่วนเฉาเปล่งเสียงตอบคำหนึ่งโดยไม่ทันคิด
แม่นางน้อยซึ่งแต่งกายเป็นเด็กหนุ่มยิ้มตาพริ้ม กล่าวต่อท้ายอีกคำหนึ่ง “ท่านพ่อก็อยู่ด้วยพอดี”
เท้าข้างที่ก้าวออกไปของเจียงหย่วนเฉาชะงักกึกกลางอากาศ ส่งผลให้เขาเกือบเซล้มลง
แม่นางน้อยผู้นี้คิดจะทำอะไรกัน บิดาของนางอยู่ใกล้ๆ ยังคิดจะเชิญชวนเขาดื่มชา ตามหลักแล้วน่าจะสบช่องบิดามารดาไม่อยู่ค่อยเชิญชวนชายหนุ่มดื่มชาถึงจะปกติมิใช่หรือ
เอ๊ย…ไม่ถูกสิ ไม่ว่าอย่างไรเด็กสาวนางหนึ่งเชิญชวนบุรุษสูงวัยกว่าที่เคยพบหน้ากันครั้งเดียวดื่มชาล้วนไม่ถูกต้อง
เขาอดเพ่งมองสาวน้อยข้างหน้าต่างให้ละเอียดขึ้นไม่ได้
ฉะนั้นแสดงว่าเด็กสาวผู้นี้ต้องเคยเจอเขามาก่อนเป็นแน่กระมัง
หรือว่า…จะแอบหลงรักข้า
พอนึกไปถึงเหตุการณ์วันนั้นที่แม่นางน้อยกระตือรือร้นแนะนำตนเองและซักถามว่าเรือนพำนักเขาอยู่ที่ใด เจียงหย่วนเฉาก็รู้สึกเสียใจภายหลังขึ้นมากะทันหันเสียแล้ว
“เจาเจา คุยอยู่กับใครรึ” บุรุษผู้หนึ่งโผล่หน้ามาจากข้างหน้าต่าง
ใต้แสงตะวันงามตา ประกายแดดสีทองอาบไล้ดวงหน้าหล่อเหลาเหนือใครของคนผู้นั้น ราวกับมีรัศมีเรืองรองแผ่ออกมารอบกาย บันดาลให้คะเนอายุไม่ออกไปในชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง
จวบจนแม่นางน้อยผู้นั้นกล่าวพร้อมรอยยิ้มอย่างเปิดเผย “ท่านพ่อ เป็นพี่ชายท่านหนึ่งที่ข้าได้รู้จักโดยบังเอิญเจ้าค่ะ”
เจียงหย่วนเฉาถึงตั้งสติได้ตอนนี้ ที่แท้นี่คืออาลักษณ์หลี บิดาของแม่นางน้อย
เพลานี้เขาพลันรู้สึกว่าที่แม่นางน้อยเรียกเขาว่า ‘ท่านอา’ ไม่หยุดปากครานั้นเป็นเรื่องปกติเหลือเกิน มีบิดาที่ดูจะอายุมากกว่าไม่กี่ปีเยี่ยงนี้ ไม่เรียกเขาว่า ‘ท่านอา’ แล้วจะเรียกอะไรเล่า
หลีกวงเหวินตวัดสายตามองเจียงหย่วนเฉาแล้วยื่นมือตบศีรษะบุตรสาวเบาๆ “อย่าเรียกคนแปลกหน้าว่าพี่ชายส่งเดช”
เขาคิดๆ แล้วกล่าวเสริมขึ้น “แล้วก็เรียกท่านอาส่งเดชไม่ได้ด้วยนะ”
เรียก ‘พี่ชาย’ ก็กลัวบุตรสาวเสียเปรียบ เรียก ‘ท่านอา’ ดูเหมือนเขาจะเสียเปรียบ
หลีกวงเหวินมองเจียงหย่วนเฉาด้วยสายตาคล้ายพินิจพิจารณา
เจียงหย่วนเฉายกยิ้มมุมปากอย่างฝืดเฝื่อน กล่าวทักทายแล้วหมุนกายสาวเท้ายาวๆ ก้าวฉับๆ จากไป
เขาเดินไปเรื่อยๆ จนถึงจุดที่สายตาของสองคนนั้นมองไม่เห็นแล้วถึงหยุดฝีเท้า ระบายลมหายใจเฮือกหนึ่งอย่างหมดท่า
แสงแดดของต้นฤดูร้อนอุ่นสบาย ชายหนุ่มยืนพิงใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งให้มันบดบังเรือนกายไว้มากกว่าครึ่ง หากสายตาไม่คลาดคลาจากร้านน้ำชาอู่เว่ย
ผ่านไปไม่นานนักก็เห็นหลีกวงเหวินก้าวออกจากประตู ส่วนแม่นางน้อยที่แต่งกายเป็นเด็กหนุ่มติดตามอยู่ข้างกายเขาอย่างสงบเสงี่ยมเรียบร้อย
แต่หลีกวงเหวินกลับทำหน้าอิดเอื้อนไม่เต็มที่ เบนหน้าไปพูดอะไรกับบุตรสาวก็สุดรู้
บุตรสาวในชุดเด็กหนุ่มหยักยิ้มบางๆ กล่าวตอบสองสามคำ ผู้เป็นบิดาก็หัวเราะขลุกขลักชอบใจ
เจียงหย่วนเฉามองจนตาลอยไปชั่วครู่
ต่อจากนั้นเขามองเห็นชายชราวัยราวหกสิบปีผู้หนึ่งย่างเท้าเนิบนาบเอื่อยเฉื่อยมาถึงร้านน้ำชาอู่เว่ย หลีกวงเหวินยืนทื่ออยู่ที่เดิม เด็กหนุ่มด้านข้างก็รุนหลังบิดาออกไป
เสี้ยวขณะนั้นเจียงหย่วนเฉาเปล่งเสียงหัวร่อแผ่วๆ หลังจากเขาหยุดหัวเราะแล้วก็มองที่ชายชราด้วยแววตาเข้มขึ้น
เป็นซูเหอเสนาบดีกรมพิธีการเองหรือนี่!
เหตุใดเสนาบดีซูถึงปรากฏตัวขึ้นที่นี่ได้
จริงสิ เสนาบดีซูยังควบตำแหน่งหัวหน้าสำนักราชบัณฑิต หลีกวงเหวินเป็นอาลักษณ์ของที่นั่น พวกเขาพบเจอกันที่ร้านน้ำชาใกล้ๆ สำนักราชบัณฑิตก็ไม่นับว่าน่าแปลกใจ ทว่า…
เจียงหย่วนเฉาหันสายตากลับไปที่เฉียวเจาอีกครา ทว่าเพราะอะไรหลีกวงเหวินถึงพาบุตรสาวมาด้วย
นี่มิชอบด้วยเหตุผล!
หรือว่า…
ขายบุตรสาวเพื่อลาภยศ?
เขามองเห็นเด็กหนุ่มแสดงคารวะต่อเสนาบดีซูอย่างไม่โอหังไม่เจียมตน ใบหน้ามีรอยยิ้มน้อยๆ อย่างผ่อนคลายแจ่มใส
เจียงหย่วนเฉาโคลงศีรษะ ปัดความคิดเหลวไหลนี้ทิ้งไป เขาเห็นคนทั้งสามกลับเข้าไปข้างในแล้วจึงนิ่งใคร่ครวญ ก่อนจะก้าวขาเดินไปทางร้านน้ำชาอู่เว่ย
เสนาบดีซูตามหลีกวงเหวินเข้าไปในห้องส่วนตัว ถึงค่อยพินิจดูเฉียวเจาดีๆ
เห็นเด็กหนุ่มมีรูปหน้างามละมุนละไม หากแต่ท่วงทีกิริยาผึ่งผายมาดมั่น ปราศจากท่าทางแช่มช้อยเฉกอิสตรีแม้แต่น้อยนิดแล้วลอบตระหนกตกใจ เขากล่าวยืนยัน “อาลักษณ์หลี นี่เป็นบุตรสาวท่านจริงๆ หรือ”
หลีกวงเหวินทำหน้าภาคภูมิใจ “แน่นอนขอรับ บุตรสาวผู้อื่นจะตามข้าออกมาได้ที่ใดกัน”
เฉียวเจานิ่งเงียบหลุบตาลง ท่านพ่อที่เคารพพูดได้มีเหตุผลจริงๆ นางถึงกับไร้วาจาโต้แย้งได้
เสนาบดีซูดึงสายตากลับ พยักหน้ากล่าวว่า “เช่นนั้นก็ดี คุณหนูหลี พวกเราเริ่มต้นเถอะ”
เฉียวเจาแย้มยิ้มอย่างเปิดเผย “เชิญท่านหัวหน้าสำนักเจ้าค่ะ”
เสนาบดีซูได้ยินแล้วชายตามองหลีกวงเหวินปราดหนึ่ง รำพึงในใจว่า เจ้าตัวอัปมงคลผู้นี้ยังรู้ว่าข้าเป็นหัวหน้าสำนักหรือนี่ หาได้ยาก หาได้ยากจริงๆ!
ทั้งสองนั่งประจันหน้ากัน เฉียวเจาเป็นฝ่ายหยิบหมากดำ นางกล่าวยิ้มๆ “เชิญท่านก่อนเจ้าค่ะ”
เสนาบดีซูคีบเม็ดหมากขาววาวใส รอยยิ้มของเขาแฝงนัยลึกล้ำอยู่หลายส่วน
ผู้ดวลหมากกัน ฝ่ายอาวุโสถือหมากขาวเดินก่อน ยอดฝีมือถือหมากขาวลงทีหลัง
แม่นางน้อยผู้นี้ให้เขาถือหมากขาวเดินก่อน นั่นคือแค่ยอมรับว่าเขามีฐานะสูงกว่า แต่มั่นใจในตนเองว่าฝีมือไม่ด้อยไปกว่าเขา
เป็นเด็กสาวที่น่าสนใจจริงๆ ต้องขอทดสอบฝีมือของนางดูสักหน่อย…
เสนาบดีซูคิดคำนึงเช่นนี้พลางวางเม็ดหมากสองเม็ดตรงจุดดาว* อย่างไม่เร็วไม่ช้า
เฉียวเจาคีบเม็ดหมากดำไว้ ขบคิดอึดใจหนึ่งแล้ววางหมาก
หนึ่งชั่วยามให้หลัง…
สายตาของเสนาบดีซูจ้องเขม็งที่กระดานหมาก เขากล่าวเสียงพึมพำ “เป็นเทพผ่านหรือนี่!”
คำเรียกว่า ‘เทพผ่าน’ นี้หมายถึงเสมอกันนั่นเอง
อย่าลืมว่ากระดานหมากดุจสมรภูมิ โอกาสที่ผลจะออกมาเสมอกันนั้นพบได้น้อยอย่างยิ่งยวด หรืออย่างน้อยเสนาบดีซูไม่เคยพบเจอมานานหลายปีแล้ว
เขาเพ่งสายตามองเฉียวเจาที่มีสีหน้าสงบนิ่งแล้วพูดเสียงขรึม “อีกกระดานหนึ่ง”
ครึ่งชั่วยามเศษต่อมา…
เสนาบดีซูตะลึงงันไปโดยสิ้นเชิง “เทพผ่าน เป็นเทพผ่านอีกแล้ว”
ปรากฏผลเสมอติดๆ กันสองครั้ง หรือว่าเป็นความบังเอิญ
เขามองสาวน้อยเบื้องหน้าที่แต่งกายเป็นเด็กหนุ่มอย่างไม่ละสายตา ดวงตาเปล่งประกายระยิบระยับ มือใหญ่โบกทีหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “อีกกระดาน!”
หลีกวงเหวินซึ่งยืนอยู่ด้านข้างนั้นตื่นเต้นยิ่งกว่า เขาตบเท้าแขนเก้าอี้พร้อมพูด “อีกกระดานๆ”
เสนาบดีซูเหลือบเปลือกตาขึ้นมองเขาแวบหนึ่ง ทำหน้าตึงเอ่ยว่า “ผู้ชมหมากไม่พูด!”
ตื่นเต้นอะไรหนักหนา ไม่รู้จักรินน้ำชาให้ข้าหรืออย่างไร
“เชิญท่านหัวหน้าสำนักเจ้าค่ะ” เฉียวเจากล่าวประโยคนี้เป็นหนที่สาม แต่ครั้งนี้ในใจอีกฝ่ายต่างไปจากเดิมอยู่มาก
นัยน์ตาของเสนาบดีซูทอแววลึกล้ำ เขาพยักหน้าแล้วเป็นฝ่ายวางหมากก่อน “มา!”
ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยามเศษ…
เมื่อปรากฏผลเสมอกันเป็นกระดานที่สาม เสนาบดีซูไม่อาจสงวนท่าทีของผู้เป็นขุนนางคนสำคัญของแผ่นดินไว้ได้อีกต่อไป เขาจ้องมองเฉียวเจาด้วยประกายตาวาววับพลางไต่ถาม “แม่นางน้อย เจ้าทำได้อย่างไร”
เดิมทีผลเสมอกันของการเดินหมากก็หาพบได้ยากอยู่แล้ว เช่นนั้นหากตั้งใจทำให้เสมอกันเล่า เสนาบดีซูแทบไม่อยากคิดให้ลึกลงไปอีกขั้นเลยทีเดียว
มันบ่งบอกให้รู้เพียงประการเดียวว่าเด็กสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผู้นี้มีระดับฝีมือล้ำหน้าเขา
* จุดดาว เป็นจุดสีดำบอกตำแหน่งบนกระดานหมากล้อม มีทั้งหมด 9 จุด