หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 102
คนทั้งสามเดินออกจากร้านน้ำชา เสนาบดีซูกล่าวอำลากับพวกเฉียวเจาแล้วนั่งรถม้ากลับไป
หลีกวงเหวินมองดูสีท้องฟ้าแล้วลูบท้องกล่าวขึ้น “เป็นเวลายามนี้โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ชักท้องหิวเสียแล้วสิ เจาเจาหิวหรือไม่”
“เล็กน้อยเจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นท่านพ่อพาเจ้าไปกินอาหารที่ร้านไป่เว่ยเถอะ อยู่ไม่ไกลจากสำนักราชบัณฑิต เป็นร้านเก่าแก่อายุร้อยปีเชียวนะ ร้านนั้นขึ้นชื่อเรื่องเนื้อแพะตุ๋นมากที่สุด”
เฉียวเจาชายตามองรถม้าม่านสีเขียวที่มารออยู่เงียบๆ ใต้ต้นไม้ไม่ไกลนักตั้งแต่เมื่อไรก็สุดรู้แวบหนึ่ง คลี่ยิ้มกล่าวว่า “ท่านพ่อ พวกเรากลับไปกินอาหารที่เรือนกันดีหรือไม่เจ้าคะ ท่านดูสิ ท่านแม่มารออยู่ตรงนั้นแล้ว”
อันที่จริงหลีกวงเหวินเห็นรถม้าคันนั้นแล้วเช่นกัน แต่พอคิดถึงว่าต้องนั่งรถม้าคันเดียวกับเหอซื่อก็รู้สึกอึดอัดไปทั้งเนื้อทั้งตัว เขาได้ยินบุตรสาวถามเช่นนี้ก็ทำท่าอิดเอื้อน “คือว่า…”
เด็กสาวที่ร่างกายยังโตไม่เต็มที่ดึงแขนเสื้อเขา แหงนหน้าขึ้นน้อยๆ พูดน้ำเสียงอ่อนหวานออดอ้อน “ท่านพ่อเจ้าคะ”
สุ้มเสียงเฉพาะตัวของพวกสาวน้อยนั้นจะเล็กใสนิ่มนวล ยามทอดหางเสียงยาวๆ เรียกขานจะละม้ายแปรงขนละเอียดด้ามเล็กปัดที่หัวใจเบาๆ ความรู้สึกของผู้ที่เห็นนางในชั่วขณะนี้ นางไม่ละม้ายต้นสนที่เข้มแข็งหนักแน่นหรือผิวทะเลสาบอันสงบนิ่งอีกต่อไป หากแต่เป็นลูกกวางที่กระโดดโลดเต้นอย่างเริงร่ากลางสายลมวสันตฤดู แสนจะน่ารักน่าเอ็นดูหนักหนา
หลีกวงเหวินกล่าวคำปฏิเสธที่เตรียมไว้ไม่ออกทันใด เขาพูดอย่างเคลิ้มลอย “ตกลง”
สองคนพ่อลูกเดินไปที่รถม้า เหอซื่อเห็นหลีกวงเหวินขึ้นมาด้วยก็ไม่รู้ว่าจะวางมือวางไม้ไว้ตรงที่ใดกะทันหัน นางกัดริมฝีปากอย่างตื่นเต้นเป็นนานครู่ใหญ่ถึงเรียกขานคำหนึ่ง “ท่านพี่…”
หลีกวงเหวินปั้นหน้าตึงตามความเคยชิน แต่นึกไปถึงคำกล่าวของบุตรสาวในวันนี้ เขาลังเลเล็กน้อยก่อนเอ่ยขึ้น “ซื้อของเสร็จแล้วหรือ”
เหอซื่อคิดไม่ถึงว่าหลีกวงเหวินจะเป็นฝ่ายถามตนก่อน นางพลันปลาบปลื้มใจจนตัวลอย บิดผ้าเช็ดหน้าพลางตอบ “ซะ…ซื้อเสร็จแล้วเจ้าค่ะ…”
เฉียวเจานั่งหลบเข้ามุมอย่างรู้จังหวะ นางนิ่งมองอยู่ด้านข้างเงียบๆ ถอนใจแผ่วเบาเฮือกหนึ่ง
อยากจะให้ความสัมพันธ์ของบิดามารดาคู่นี้ดีขึ้น เป็นภารกิจที่หนักอึ้งและหนทางยังอีกยาวไกลโดยแท้
ม่านสนธยาคลี่คลุมสี่ทิศ รถม้าเริ่มเคลื่อนตัวเนิบนาบ ไม่นานนักก็เพิ่มความเร็วขึ้นจนแล่นลับตาไปตรงสุดปลายถนนศิลาเขียว
จวบจนเวลานี้ เจียงหย่วนเฉาที่ตามออกมาจากร้านน้ำชาตั้งแต่เมื่อใดก็สุดรู้ถึงปรากฏกายขึ้น เขาทอดสายตามองไกลไปยังทิศทางที่รถม้าจากไปแล้วหยักยิ้ม
เป็นครอบครัวที่อบอุ่นกลมเกลียวจริงๆ นะ
เขาปรับสีหน้านิ่งสนิทดังเก่าแล้วหันหลังเดินย้อนกลับไปอย่างเร่งรีบ พบกับเจียงเฮ่อที่สวนทางมา
เจียงเฮ่อหาได้มีท่าทีสำนึกตนสักนิดว่าเพิ่งถูกดุด่าไป ชูของกินในมือขึ้นกล่าวว่า “ใต้เท้า ข้าซื้อไก่ย่างมาสองตัว จะไปดื่มสุรากันสักจอกหรือไม่ขอรับ”
เจียงหย่วนเฉาสองจิตสองใจเล็กน้อยก็ตอบด้วยรอยยิ้มเอื่อยๆ “ได้”
เขาไม่อยากกลับจวนของท่านพ่อบุญธรรมเร็วนัก จวนท่านผู้บัญชาการใหญ่จะดีปานใด ถึงที่สุดแล้วก็มิใช่เรือนของเขาเจียงหย่วนเฉา
ยิ่งกว่านั้น…พอคิดไปถึงน้องสาวบุญธรรมที่หมู่นี้ตามติดเขาแจ เจียงหย่วนเฉาก็โคลงศีรษะอย่างปวดเศียรเวียนเกล้ามากพอดู
เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มแรกรุ่นวัยสิบกว่าขวบ พอจะรู้จิตใจของนางได้รางๆ ทว่าเขาเห็นนางเป็นน้องสาวบุญธรรมมาแต่ไหนแต่ไร ความรู้สึกเหล่านั้นของนางมีแต่จะทำให้เขากระอักกระอ่วนใจเหลือทน
ถึงกระนั้นจากคำพูดหยั่งเชิงทีละเล็กละน้อยของท่านพ่อบุญธรรม ท่านดูจะเห็นดีเห็นงามด้วย ซึ่งมันทำให้เขาตกที่นั่งลำบากมากขึ้นอย่างไร้ข้อกังขา
“ใต้เท้า คุณหนูหลีท่านนั้นมาที่ร้านน้ำชาอู่เว่ยด้วยเหตุใดหรือขอรับ” เจียงเฮ่อฉีกน่องไก่ยื่นส่งให้
เจียงหย่วนเฉาดึงความคิดคืนมาแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ต้องยุ่ง”
แม่นางน้อยมาทำอะไรน่ะหรือ เขาลอบสังเกตการณ์อยู่เกือบครึ่งค่อนวันแล้วก็ยังงุนงงอยู่บ้าง
หลีกวงเหวินพาบุตรสาวที่แต่งกายเป็นบุรุษมาพบซูเหอเสนาบดีกรมพิธีการควบตำแหน่งหัวหน้าสำนักราชบัณฑิตเพื่อเดินหมาก? จะต้องมีเรื่องอื่นอีกแน่แต่ใช้การเดินหมากเป็นฉากบังหน้า บิดาที่สมองปกติคนใดก็ตามไม่มีทางพาบุตรสาวออกมาด้วยเหตุนี้
มีแผนร้าย!
เจียงเฮ่อเห็นผู้เป็นนายไม่รับน่องไก่ไว้ เขาดึงมือคืนแล้วเอาน่องไก่มากัดเข้าปากคำหนึ่ง เอ่ยถามเสียงอู้อี้ “หลังจากนี้ข้าไม่ต้องจับตาดูคุณหนูหลีแล้วจริงๆ หรือขอรับ”
“จับตาดูต่อไปเถอะ แต่วันหน้าห้ามปรากฏตัวต่อหน้านาง”
ทีแรกเขาเห็นว่าไม่จำเป็นต้องจับตาดูแม่นางน้อยผู้นั้นแล้ว แต่ตอนนี้มีเสนาบดีกรมพิธีการที่เจียนจะเป็นหนึ่งในคณะขุนนางผู้บริหารแผ่นดินในเวลาอันใกล้นี้เข้ามาพัวพันด้วย เช่นนั้นก็ต่างออกไปแล้ว
เจียงเฮ่อมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น “ใต้เท้าวางใจได้ ข้ารับรองว่าวันหน้าจะไม่ถูกคุณหนูหลีจับได้อีกเด็ดขาดขอรับ”
เจียงหย่วนเฉาพยักหน้าแล้วสาวเท้าก้าวใหญ่เข้าสู่แสงสายัณห์
เสนาบดีซูออกจากร้านน้ำชาแล้วนั่งรถม้าตรงกลับไปยังจวนเสนาบดี
ทันทีที่เขาก้าวเข้าเรือนก็โดนจางซื่อภรรยาคู่ยากบ่นว่า “เหตุใดวันนี้เลิกราชการเย็นย่ำปานนี้ ถ้ามีธุระก็ไม่รู้จักส่งคนกลับมาบอกกล่าวสักคำ ข้าวปลาอาหารเย็นชืดหมดแล้ว”
ชายชราชำเลืองมองซูลั่วอีหลานสาวที่นั่งอยู่เป็นเพื่อนข้างกายจางซื่อ ยิ้มพรายกล่าวขึ้น “อาหารเย็นแล้วอุ่นใหม่ก็สิ้นเรื่อง ฮูหยินไม่รู้หรอกว่าวันนี้ตอนข้าเดินหมากได้พบกับยอดฝีมือผู้หนึ่ง”
“เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน ท่านพี่ได้พบกับยอดฝีมือเชิงหมากผู้หนึ่งจะมีอะไรน่าประหลาดใจ” จางซื่อพูดอย่างไม่ใส่ใจ
นางรู้ระดับฝีมือของสามีดี เดิมทีก็จัดอยู่ในชั้นสามัญเท่านั้น ถ้ามิใช่พวกที่อยู่ในสำนักราชบัณฑิตออมมือให้ ยังไม่รู้ว่าวันๆ ต้องคับอกคับใจกี่หนต่อกี่หน คราวนี้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาไม่รู้กาลเทศะคนใดที่แสดงฝีมือแท้จริงล่ะ
อ้อ จริงสิ นางได้ยินได้ฟังว่าที่นั่นมีอาลักษณ์แซ่หลีผู้หนึ่งที่ไม่ค่อยมีหัวคิดสักเท่าใด อย่าบอกว่าเดินหมากกับเขานะ
ไม่ถูกสิ เมื่อวานก็เพราะเดินหมากกับอาลักษณ์หลีผู้นั้น ตาเฒ่ากลับเรือนมายังโกรธจนหนวดกระดิก ด่าทอคนผู้นั้นยกใหญ่อยู่เลย
เสนาบดีซูปรายตามองภรรยาอย่างเอื่อยเฉื่อยพลางกล่าว “ตั้งใจทำให้เสมอกันได้สามกระดาน นับเป็นยอดฝีมือหรือไม่”
จางซื่อได้ยินแล้วตกตะลึง ด้านหลานสาวซูลั่วอีถึงกับลืมคีบอาหาร
“ท่านปู่ ตั้งใจทำให้เสมอกันสามกระดานหมายความว่าอะไรเจ้าคะ” ซูลั่วอีวางตะเกียบลงเสียเลย นางมองท่านปู่ด้วยแววตาวาววับ
“ความหมายตรงตามตัวอักษร ท่านปู่เดินหมากกับนางติดๆ กันสามกระดานล้วนเสมอกัน นี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญกระมัง”
“ไม่มีทางเป็นความบังเอิญเจ้าค่ะ” ซูลั่วอีพูดอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เสนาบดีซูลูบเครา “ดังนั้นท่านปู่ได้พบกับยอดฝีมือผู้หนึ่งแล้ว”
“มิใช่แค่ยอดฝีมือนะเจ้าคะ คนอย่างนี้พึงเรียกขานว่ามือหนึ่งในแผ่นดิน ท่านปู่ คนที่เดินหมากกับท่านเป็นใครกันเจ้าคะ”
จางซื่อฮูหยินท่านเสนาบดีซึ่งอยู่ด้านข้างกระแอมกระไอเสียงหนึ่ง “ลั่วอี เจ้าถามเรื่องนี้ไปด้วยเหตุใด เจ้าเป็นสตรีนางหนึ่ง ถึงรู้แล้วยังจะเดินหมากกับเขาได้หรือ”
ได้ยินถ้อยคำของภรรยา เสนาบดีซูหัวร่อออกมา “ฮูหยิน เจ้าพูดเช่นนี้ผิดเสียแล้ว คนผู้นั้นน่ะนะวันหน้าข้าอยากเดินหมากด้วยแสนจะไม่สะดวก แต่ลั่วอีของเรากลับสะดวกเหลือจะกล่าว”
“หือ? ข้าไม่เข้าใจคำกล่าวนี้ของท่านพี่”
“ท่านปู่ ข้าก็ไม่เข้าใจ ท่านหมายความว่าอะไรเจ้าคะ”
เสนาบดีซูมองภรรยาคู่ยากกับหลานสาว ยิ้มจนตายิบหยีขณะเฉลยคำตอบ “เพราะคนผู้นั้นเป็นเด็กสาวผู้หนึ่ง”
“เด็กสาว?” ซูลั่วอีกับจางซื่อมองหน้ากันไปมา
“ใช่แล้ว นางคือบุตรสาวของอาลักษณ์หลี ข้าถามไถ่ชื่อของนางมาแล้ว แม่นางน้อยมีชื่อว่าหลีเจา”
หลีเจา? คุณหนูสามสกุลหลีที่ซือไท่ของอารามซูอิ่งเรียกตัวไปพบอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในวันประสูติของพุทธองค์น่ะหรือ
ดวงหน้าของซูลั่วอีฉายแววตะลึงพรึงเพริด
จางซื่อทำสีหน้าชอบกลยิ่งขึ้น นางคิดคำนึงในใจ คนที่ท่านพี่เอ่ยถึงมิใช่บุตรสาวสกุลหลีที่ถูกล่อลวงไปหรือ
เสนาบดีซูเห็นดังนั้นก็ไต่ถามขึ้น “มีอะไรกัน พวกเจ้าล้วนรู้จัก?”
“รู้จักแน่นอน ก็เด็กสาวผู้นั้นเคยถูกโจรค้าทาสล่อลวงไปน่ะสิเจ้าคะ!”
“รู้จักแน่นอน อู๋เหมยซือไท่เคยเรียกตัวคุณหนูหลีซานไปพบเพราะเขียนอักษรได้ดีน่ะสิเจ้าคะ!”
จางซื่อกับซูลั่วอีพูดพร้อมกัน