หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 108
อู่ซื่อได้ยินแล้วกลับสะกดไฟโทสะที่เพิ่งปะทุขึ้นเมื่อครู่นี้ลงได้ นางพูดพึมพำว่า “หลานสาวของเสนาบดีกรมพิธีการเชิญคุณหนูสามไปเป็นแขกหรือ”
หลีเจียวนั่งตัวตรง “เจ้าค่ะ ท่านแม่ ข้ารู้สึกแปลกใจเช่นกัน ซูลั่วอีจะเชิญเวลาใดไม่เชิญ ไฉนจู่ๆ จำเพาะเจาะจงต้องส่งเทียบมาในเวลานี้”
อู่ซื่อพยักหน้า “แม่รู้แล้ว เจียวเจียว เจ้าทำใจให้สบายๆ หลังจากนั้นจะพูดจะทำอะไรห้ามวู่วาม เรื่องในวันหน้ามีแม่ช่วยจัดการให้เจ้าเอง ส่วนทางคุณหนูสาม แม่จะส่งคนไปสืบดูสักหน่อย”
อู่ซื่อปลอบอารมณ์ของบุตรสาวได้แล้วก็กลับถึงเรือนพำนัก ออกคำสั่งให้หวังมามาไปสืบถามที่จวนตะวันตกทันที
บ่าวไพร่หลายคนของจวนตะวันตกและจวนตะวันออกล้วนมีสายสัมพันธ์โยงใยกันอยู่ บางคนก็เกี่ยวดองเป็นญาติกันห่างๆ หลังหวังมามาไปที่จวนตะวันตกแล้วก็นำข่าวกลับมา
“เรียนฮูหยิน เมื่อวานคุณหนูสามกับนายหญิงใหญ่ของจวนตะวันตกออกไปเดินชมตลาด ซื้อผ้าไหมกลับมามากมาย บอกว่าจะตัดชุดให้ฮูหยินผู้เฒ่าของจวนตะวันตกเจ้าค่ะ”
“ไม่มีอย่างอื่นผิดปกติเลยหรือ”
สองแม่ลูกออกจากเรือนไปซื้อของไม่นับเป็นเรื่องน่าแปลกอะไร เมื่อก่อนนางกับเจียวเจียวก็ไปเดินชมตลาดกันบ่อยๆ
หวังมามาสืบถามไม่ได้ความใดไปมากกว่านี้ ครั้นได้ยินประมุขหญิงของเรือนไต่ถามเช่นนี้ นางรู้สึกว่าหากตอบว่าไม่มีจะดูว่าตนไร้ความสามารถ จึงเค้นสมองคิดทบทวนอย่างหนักครู่หนึ่งก็ตาเป็นประกายวาบ กล่าวว่า “ฮูหยิน พูดถึงเรื่องผิดปกติล่ะก็ ข้าไม่ทราบว่านับได้หรือไม่…”
“ว่ามาสิ”
“เมื่อวานนายท่านใหญ่ของจวนตะวันตกนั่งรถม้ากลับมาพร้อมกับนายหญิงใหญ่เจ้าค่ะ”
อู่ซื่อฟังแล้วตกใจ เหลือบตาขึ้นชำเลืองดูนอกหน้าต่างแวบหนึ่ง
หรือดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกแล้ว หลีกวงเหวินถึงกับนั่งรถม้าคันเดียวกับเหอซื่อกลับจวน?
หากเรื่องที่สามีภรรยานั่งรถม้ากลับจวนคันเดียวกันนี้เปลี่ยนเป็นคนอื่นคงไม่คู่ควรให้เอ่ยถึง แต่ถ้าเป็นสามีภรรยาคู่นั้นของจวนตะวันตกล่ะก็ หาได้ยากเหลือเกิน
อู่ซื่อเฉลียวใจบางอย่าง เอ่ยถามหวังมามา “ยังมีคุณหนูสามด้วยใช่หรือไม่”
“ใช่เจ้าค่ะ”
“ไม่มีอย่างอื่นอีกแล้วหรือ”
“ข้าสอบถามมาได้เพียงเท่านี้เจ้าค่ะ”
อู่ซื่อโบกมือบอกให้หวังมามาออกไป นางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้หลับตาลงช้าๆ
เรื่องแปลกประหลาดในจวนตะวันตกนับว่ายิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วต้นตอของความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายทั้งปวงนี้…
เงาร่างอรชรของเด็กสาวนางหนึ่งค่อยๆ ผุดขึ้นในห้วงความคิดของอู่ซื่อ
ต่อแต่นี้สมควรจับสังเกตคุณหนูสามให้ดีๆ เสียแล้ว
เฉียวเจาเอาเทียบเชิญคืนมาได้อย่างราบรื่นแล้วเปิดออกดู พอเห็นว่าเป็นคำเชิญนางไปเป็นแขกที่จวนเสนาบดีซูในตอนบ่าย นางก็อดยิ้มไม่ได้
เห็นทีว่าแม่นางซูผู้นั้นยังใจร้อนยิ่งกว่าที่นางนึกภาพไว้
บรรดาขุนนางผู้สูงศักดิ์ในเมืองหลวงส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในละแวกเดียวกัน จวนเสนาบดีซูห่างจากจวนสกุลหลีไปไม่ไกลนัก เฉียวเจาชี้แนะการเดินหมากให้อาจูบ้าง แก้ไขท่าฝึกเพลงหมัดให้ปิงลวี่บ้าง เวลาช่วงเช้าก็ผ่านไปอย่างว่องไว
นางกินอาหารกลางวันเสร็จก็นั่งอยู่หน้าคันฉ่องประทินโฉม ให้อาจูแกะมวยผมที่รวบขึ้นตามชอบใจออกแล้วมุ่นผมใหม่เป็นมวยแกละสองข้างดูน่ารักสดใส
อาจูเริ่มรู้ใจผู้เป็นนายว่าชอบหรือไม่ชอบอะไรได้รางๆ นางหยิบต่างหูมุกขาววาววับสวมให้เฉียวเจา จากนั้นบอกยิ้มๆ “คุณหนูลุกขึ้นได้แล้วเจ้าค่ะ”
เฉียวเจากล่าวอย่างไม่ตระหนี่คำชม “อาจูฝีมือดีขึ้นทุกทีแล้วนะ”
ปิงลวี่ด้านข้างตื่นเต้นสุดจะกล่าว นางตบๆ ชุดบนตัวพลางถามเฉียวเจา “คุณหนู ท่านว่าข้าสวมชุดนี้ใช้ได้หรือไม่เจ้าคะ”
ไปจวนเสนาบดีเชียวนะ แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้ว
นางนึกถึงตอนกว่าจะไปที่จวนของกู้ชางป๋อน่าชังแห่งนั้นเป็นเพื่อนคุณหนูได้ช่างยากเย็นแสนเข็ญนัก
เฉียวเจาอมยิ้มมองปิงลวี่พลางพยักหน้า “สวยมาก แต่วันนี้ข้าตั้งใจจะพาอาจูออกไป”
มุมปากของปิงลวี่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มได้ครึ่งเดียวก็นิ่งค้างไป นางพูดเสียงหลง “อาจู?”
“อื้อ” เฉียวเจาตอบเสียงเรียบ
นางอาจจะยอมปล่อยปละตามใจสาวใช้น้อยได้ แต่ก็ต้องให้สาวใช้รู้ขีดจำกัดของนางไว้ด้วย
หากที่เหนือความคาดหมายคือทั้งที่สาวใช้น้อยเจียนจะร้องไห้อยู่แล้ว นางยังนิ่วหน้าพูดกับอาจู “อาจู เช่นนั้นเจ้าต้องปรนนิบัติคุณหนูให้ดีๆ นะ หาไม่แล้วข้าไม่ละเว้นเจ้าแน่”
ตั้งแต่ได้คัมภีร์ลับจากคุณหนู นางตั้งใจฝึกฝนอย่างมาก
นางเป็นห่วงว่าอาจูไม่เคยไปงานใหญ่ๆ แล้วจะรับมือไม่ไหวจริงๆ แต่ในเมื่อคุณหนูให้อาจูไป ก็ต้องมีเหตุผลของคุณหนูเป็นธรรมดา น่าเสียดายที่นางคิดไม่ออกในชั่วประเดี๋ยวประด๋าว
อาจูประหลาดใจอยู่บ้างดุจเดียวกัน นางนิ่งงันไปแล้วแสดงคารวะต่อเฉียวเจาพร้อมกล่าว “เจ้าค่ะ”
นางผลัดอาภรณ์เป็นชุดออกไปข้างนอกอย่างว่องไว ลังเลเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเตือนเฉียวเจา “คุณหนู ไปเป็นแขกที่จวนเสนาบดี ท่านต้องนำของขวัญไปบ้างหรือไม่เจ้าคะ”
ปิงลวี่ฟังแล้วพยักหน้าเห็นด้วย “นั่นสิคุณหนู ท่านไปจวนเสนาบดีครั้งแรก จะให้คนอื่นดูถูกไม่ได้นะเจ้าคะ ต้องนำของดีๆ ติดตัวไปบ้างจึงจะถูก”
เฉียวเจาคิดเอาไว้ในใจแล้วอย่างเห็นได้ชัด นางเอ่ยสั่งปิงลวี่ “ไปที่ห้องหนังสือเอากระดาษหนิงซวง* ในลิ้นชักที่สองของตู้หนังสือปึกนั้นออกมา หากล่องสวยงามประณีตใส่ให้เรียบร้อยแล้วนำมาให้ข้า”
“กระดาษหนิงซวง?” ปิงลวี่หมุนตัวไปที่ห้องหนังสือ ไม่นานนักก็ถือกล่องสลักลวดลายใบหนึ่งด้วยสองมือกลับมาแล้วเปิดออกให้ผู้เป็นนายผ่านตา
เฉียวเจาเห็นว่าไม่ได้หยิบผิดก็ทำมือบอกให้อาจูรับไป จากนั้นพูดเสียงเรียบ “ไปกันเถอะ”
ปิงลวี่เบิกตากว้าง “คุณหนู ท่านนำของชิ้นนี้ติดตัวไปเท่านั้นหรือเจ้าคะ”
ของขวัญนี้จะชิ้นเล็กเกินไปแล้วกระมัง
“ชิ้นนี้กำลังดี” เฉียวเจายื่นมือไปหยิกแก้มปิงลวี่แล้วอมยิ้มกับนาง
จวบจนคุณหนูของตนเดินไปถึงหน้าประตู สาวใช้น้อยยังทำตาลอยอยู่ นางว่าแล้วเชียว เวลาคุณหนูยิ้มแล้วงามเป็นที่สุด
รถม้าแล่นเนิบนาบไปตามถนนศิลาเขียว ต้นฤดูร้อนสายลมยามบ่ายอบอุ่นเจือกลิ่นดอกไม้หอมหวน บันดาลให้คนที่นั่งอยู่บนนั้นอารมณ์ผ่อนคลายเบิกบานขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
อาจูมีสีหน้าสงบนิ่ง หากแต่ในดวงตาแอบแฝงความสนใจใคร่รู้ไว้ นางแลลอดม่านหน้าต่างรถม้าที่รวบเก็บขึ้นลอบมองสำรวจด้านนอก
เฉียวเจาที่หลับตาทำสมาธิอยู่ลืมตาพรึบ กล่าวถามพร้อมรอยยิ้มว่า “ตื่นเต้นหรือไม่”
อาจูเม้มปากเอ่ยตอบ “คุณหนูตื่นเต้น ข้าก็ตื่นเต้น คุณหนูไม่ตื่นเต้น ข้าก็ไม่ตื่นเต้น”
นางพูดถึงตรงนี้แล้วหยุดเว้นจังหวะเล็กน้อยถึงบอกยิ้มๆ อย่างเยือกเย็น “ดังนั้นข้าไม่ตื่นเต้นเจ้าค่ะ”
คุณหนูมีความสามารถเฉกนี้น่ะเอง ต่อให้กำลังจะไปถ้ำเสือแดนมังกร ขอเพียงเห็นสายตาสงบนิ่งของคุณหนู คนที่ไปเป็นเพื่อนก็ไม่รู้สึกเป็นห่วงอะไรทั้งสิ้น
เฉียวเจาได้ยินคำพูดของอาจูแล้ว รอยยิ้มบนริมฝีปากยิ่งขยายกว้างขึ้น “มา ข้าจะสอนเจ้าเดินหมากแบบไร้กระดาน พวกเราเริ่มจากที่ง่ายที่สุดกันก่อน…”
เมื่อรถม้าหยุดจอดที่จวนเสนาบดีซู เฉียวเจากับสาวใช้หยิบเทียบเชิญออกมาแล้วเข้าทางประตูข้างได้เลย มีสาวใช้ในจวนนำทางไปที่เรือนพำนักของซูลั่วอี
ซูลั่วอีรออยู่นอกประตูเรือน เห็นเด็กสาวเรือนร่างไม่สูงผู้หนึ่งแต่ไกล เดินเยื้องย่างอย่างแช่มช้อยตามหลังสาวใช้ในจวนเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที นางกระวีกระวาดออกไปต้อนรับพลางเอ่ยถามว่า “น้องหลีซานใช่หรือไม่”
เฉียวเจาฟังแล้วทั้งขบขันทั้งจนใจ
ที่แท้แม่นางน้อยหลีเจาคิดไปเองว่าตนกับคุณหนูซูผู้นี้เคยพบกันหลายครั้งคงคุ้นหน้าคุ้นตาแล้ว แต่ความจริงอีกฝ่ายจดจำว่ามีนางผู้นี้ไม่ได้เลยสักนิด
“พี่ซู” เฉียวเจาแสดงคำนับตามธรรมเนียมผู้อยู่รุ่นเดียวกัน
ซูลั่วอีรีบคำนับตอบ มุมปากแต้มรอยยิ้มบางๆ ละมุนละไม นางยื่นมือไปจับมือของเฉียวเจา “น้องหลีซานรีบเข้าไปข้างในเถอะ”
นางพูดพลางเบนสายตาไปมองมือเรียวงามขาวนวลเนียนของอีกฝ่าย คลี่ยิ้มกล่าวชม “เอ๋ มือของน้องหลีซานแค่ดูก็รู้ว่าเหมาะกับเดินหมาก”
เฉียวเจาอึ้งงัน “…” เคยได้ยินแต่มือที่เหมาะกับดีดพิณ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินว่ามือเหมาะกับเดินหมากหรือไม่
นางเดินตามซูลั่วอีเข้าเรือนด้วยสีหน้านิ่งสนิท มองปราดเดียวก็เห็นกระดานหมากตั้งไว้เรียบร้อยดังคาด
“น้องหลีซานเชิญนั่ง”
เฉียวเจานั่งลงตามคำบอก นางมองอาจูแวบหนึ่ง
อาจูที่ถือกล่องใส่กระดาษหนิงซวงไว้ก็ส่งให้ด้วยสองมือ
“มาเยือนเป็นคราแรก รบกวนพี่ซูแล้วเจ้าค่ะ” เฉียวเจายื่นกล่องใบเล็กไปให้อีกฝ่าย
ซูลั่วอีไม่ยึดถือธรรมเนียมหยุมหยิมอย่างเห็นได้ชัด นางพูดตามมารยาทเล็กน้อยแล้วรับไปเปิดออกดูอย่างเปิดเผย พอเห็นในกล่องเป็นกระดาษหนิงซวง สีหน้าของนางเบิกบานมากขึ้นทันใด
* กระดาษหนิงซวง เป็นชื่อกระดาษชนิดหนึ่งในสมัยโบราณ เพราะมีเนื้อเนียนละเอียดสีขาวสะอาด จึงเป็นที่มาของชื่อหนิงซวง ซึ่งหมายถึงน้ำค้างแข็ง