หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 109
เนื้อกระดาษหนิงซวงขาวสะอาดไร้ตำหนิดุจดั่งน้ำค้างแข็ง มาตรว่าไม่ล้ำค่าเท่ากระดาษเฉิงซิน* แต่ก็เป็นของที่หาได้ยาก
ซูลั่วอีอดมองเฉียวเจาอย่างพินิจไม่ได้ นางรำพึงในใจ ลำพังแค่ดูจากของขวัญชิ้นนี้ คุณหนูสามสกุลหลีผู้นี้กลับเป็นคนละเอียดอ่อนผู้หนึ่ง
สำหรับคุณหนูของจวนเสนาบดีแล้ว มอบของทั่วๆ ไปดังเช่นเครื่องประดับเพชรพลอยหรือเครื่องประทินโฉมมีแต่จะทำให้รู้สึกฉาบฉวย ของขวัญไร้ราคาจะถูกดูแคลน ของขวัญราคาแพงก็อาจเป็นที่ครหาว่าหมายผูกสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจบารมี ถูกดูแคลนเช่นกัน ทว่าเฉียวเจามอบกระดาษหนิงซวงกล่องนี้ให้ดูกำลังเหมาะพอดี
เมื่อได้พานพบผู้ถูกโฉลก แม้นซูลั่วอีไม่รู้สึกตัว แต่สีหน้าแววตาของนางกลับอ่อนละมุนลงแล้วยามบุ้ยใบ้บอกให้สาวใช้เก็บของขวัญให้ดี นางชี้กระดานหมาก แย้มยิ้มกล่าวว่า “น้องหลีซาน พวกเรามาลองมือกันสักกระดานเป็นอย่างไร”
นางถามอย่างตรงไปตรงมา เฉียวเจาก็ตอบอย่างเปิดเผย “ได้”
คุณหนูซูของจวนเสนาบดีกรมพิธีการขึ้นชื่อในหมู่สตรีชั้นสูงว่าหลงใหลการเดินหมากเป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่นางเลือกซูลั่วอีเป็นเส้นทางเข้าสู่ชุมนุมฟู่ซาน
ด้วยชื่อเสียงของนางในยามนี้ทำให้เหล่าฮูหยินและคุณหนูในเมืองหลวงพวกนั้นไม่ต้องการผูกไมตรีใกล้ชิดด้วยอย่างเห็นได้ชัด มีเพียงผู้ที่หลงใหลในเรื่องบางเรื่องถึงไม่แยแสสายตาคนภายนอกจนเกินไป
ทั้งสองต่างหยิบเม็ดหมากวางลงบนกระดาน จู่ๆ ซูลั่วอีก็ถามขึ้นคำหนึ่ง “น้องหลีซาน ข้าได้ยินท่านปู่เล่าว่าท่านกับท่านปู่เดินหมากเสมอติดๆ กันสามกระดาน ข้ารู้สึกว่าน่าอัศจรรย์เป็นอันมาก”
เฉียวเจามองซูลั่วอีเงียบๆ
ซูลั่วอีวางเม็ดหมากดำ นางคลี่ยิ้มกว้างพลางขยิบตาอย่างซุกซน “พวกเราก็ลองดูบ้าง ข้าไม่เคยเห็นผลการเดินหมากเสมอกันมานานแล้วนะ”
ถึงอย่างไรนางสมควรเดินอย่างไรก็เดินไปตามนั้น ถ้าคุณหนูหลีซานทำให้เสมอกันได้จริงๆ เช่นนั้นนางก็ยอมศิโรราบแล้ว
เฉียวเจาแย้มริมฝีปากโค้งขึ้น “ได้ ลองกันดูเถอะ”
นางกำลังไม่แน่ใจว่าเด็กสาวผู้นี้มีแนวทางเดินหมากเช่นใด ถ้าเกิดแพ้หลุดลุ่ยแล้วร้องไห้ขี้มูกโป่งจนไม่อยากแนะนำนางเข้าชุมนุมฟู่ซาน ความพยายามทั้งหมดจะมิสูญเปล่าหรอกหรือ
การเดินหมากให้ความสำคัญเรื่องใจนิ่งมีสมาธิ พวกนางล้วนไม่มีนิสัยซุกซนอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ระหว่างที่สลับกันวางหมากผลัดกันรุกผลัดกันรับ สาวใช้ยกน้ำชามาวางไว้ด้านข้างอย่างเงียบๆ ก็ไม่มีคนใดสนใจ
ซูลั่วอีตระหนกในใจมากขึ้นทีละน้อย
คุณหนูหลีซานผู้นี้มีฝีมือเดินหมากล้ำเลิศจริงๆ ยังไม่เอ่ยถึงว่าสุดท้ายผลจะออกมาเสมอกันได้หรือไม่ ดูแค่ตอนนี้ทุกก้าวที่นางวางหมาก เม็ดหมากของอีกฝ่ายก็จะวางตามลงมาอย่างรวดเร็ว ไม่มีชักช้ารีรอแม้แต่น้อยนิด บ่งบอกถึงความมั่นใจเต็มเปี่ยม เท่านี้เป็นที่ประจักษ์ชัดถึงฝีมือเดินหมากอันสูงส่งได้แล้ว
การได้ดวลหมากกับยอดฝีมืออย่างนี้ สำหรับผู้หลงใหลในศาสตร์นี้ผู้หนึ่งย่อมสนุกหนำใจอย่างไร้ข้อกังขา
ซูลั่วอีกำลังเดินหมากอย่างเพลิดเพลินเต็มที่ สาวใช้สวมเสื้อกั๊กสีเขียวหัวเป็ดนางหนึ่งก็เดินมาบอกว่า “คุณหนู หวงฮูหยินมาเยือนที่จวน ฮูหยินผู้เฒ่าเชิญท่านออกไปพบเจ้าค่ะ”
เด็กสาวโดนขัดจังหวะกะทันหัน คิ้วเรียวงามดุจกิ่งหลิวขมวดเข้าหากันทันใด นางได้ยินว่าเป็นหวงฮูหยินก็จำใจลุกขึ้นแล้วเอ่ยกับเฉียวเจาอย่างขอลุแก่โทษ “น้องหลีซาน ขออภัยด้วย ท่านน้าสะใภ้ของข้ามาที่จวนแล้ว”
เฉียวเจาลุกขึ้นตาม “เช่นนั้นข้าไม่รบกวนแล้ว…”
ในใจนางบังเกิดความเสียดายอยู่หลายส่วน ดังคำกล่าวว่าคนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต ท่านน้าสะใภ้ของอีกฝ่ายมาเยี่ยม วันนี้คงได้แต่จบลงครึ่งๆ กลางๆ แค่นี้ ดูทีว่าเรื่องที่คิดจะให้คุณหนูซูขันอาสาแนะนำนางเข้าชุมนุมฟู่ซานต้องผัดไปคราวหลังแล้ว
นางคิดคำนึงไปเช่นนี้ แต่ซูลั่วอีกลับโบกมือเป็นพัลวัน พูดอย่างร้อนรนว่า “ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น น้องหลีซานรีบนั่งลงก่อน รอข้ากลับมาพวกเราก็เดินหมากกันต่อ!”
ซูลั่วอีเดินไปถึงหน้าประตูแล้วยังไม่วายเหลียวหน้ามาพูดย้ำ “น้องหลีซานรอสักครู่ ข้าไปประเดี๋ยวเดียวก็กลับมาแล้ว”
คุณหนูซูพูดจบแล้วหันศีรษะกลับ เพราะในห้วงความคิดเต็มไปด้วยความคับข้องที่ถูกขัดจังหวะ นางเดินใจลอยจนหน้าผากชนเข้ากับกรอบประตูจนเกิดเสียงดังปึง
ซูลั่วอีกุมหน้าผากร้องครางในลำคอ นางกระดากอายเกินกว่าจะหันหน้าไป จึงรีบเร่งสาวเท้าจนลับร่างไปตรงหน้าประตู
เฉียวเจากลั้นยิ้มไม่อยู่ นางยกถ้วยน้ำชาที่วางบนโต๊ะขาสูงใกล้ๆ มือขึ้นจะดื่ม แต่สาวใช้ด้านข้างกล่าวทัดทานขึ้น “คุณหนูหลี น้ำชาเย็นชืดแล้ว ข้าเปลี่ยนถ้วยใหม่ให้ท่านนะเจ้าคะ”
นางผงกศีรษะ “รบกวนด้วย”
ฝ่ายซูลั่วอีเพิ่งออกจากประตู สาวใช้ก็พานางไปที่ศาลารับลมในลานเรือนหลัง
เห็นจางซื่อนั่งอยู่ในศาลารับลม ซูลั่วอีก็ตกใจ “ท่านย่า ไหนบอกว่าท่านน้าสะใภ้มามิใช่หรือ ไฉนท่านอยู่ที่นี่ได้เจ้าคะ”
จางซื่อแย้มเยื้อน ชี้มือบอกให้หลานสาวนั่งลงแล้วกล่าว “ท่านน้าสะใภ้ของเจ้าไม่ได้มา…”
ไม่รอนางกล่าวจบ ซูลั่วอีรีบร้อนลุกขึ้นยืน “ในเมื่อไม่ได้มา เช่นนั้นข้าจะกลับเรือนแล้ว เดินหมากไปได้ครึ่งๆ กลางๆ…”
“นั่งลง!”
“ท่านย่า?” ยามซูลั่วอีอยู่กับผู้อาวุโสยังคงว่านอนสอนง่ายมาก นางได้ยินคำนี้แล้วก็นั่งลงด้วยสีหน้างุนงงเต็มที
จางซื่อยิ้มอย่างอ่อนใจ ปกติหลานสาวผู้นี้ของนางอะไรๆ ก็ดีอยู่หรอก แต่พอเป็นเรื่องเดินหมากก็จะไร้สติทันที “ย่าจงใจเรียกเจ้ามาเอง”
“หือ?”
จางซื่อยื่นมือไปลูบเรือนผมนุ่มนิ่มของหลานสาว พูดกลั้วเสียงหัวร่อแผ่วๆ “ยังมีเวลาใดที่จะเห็นพฤติกรรมของผู้เป็นแขกได้ดีไปกว่าเมื่อนางถูกทิ้งไว้ตามลำพังยามเจ้าของเรือนไม่อยู่เล่า รอดูกันเถอะ”
“ท่านย่า นี่ไม่ค่อยดีกระมัง…” ซูลั่วอีฟังแล้วกระวนกระวายใจอยู่บ้าง
ไม่รู้เพราะเหตุใด พอนึกไปถึงเด็กสาวแววตาสงบนิ่งผู้นั้น นางรู้สึกว่าการทำเช่นนี้แล้งน้ำใจกับอีกฝ่ายอย่างมาก
จางซื่อชายตามองหลานสาวปราดหนึ่งแล้วไม่โอนเอนสักน้อยนิด “มีเพียงเช่นนี้ ย่าถึงจะวางใจให้เจ้าไปมาหาสู่กับนางได้”
หญิงชรากล่าวถึงตรงนี้แล้วถอนใจเฮือก “บิดามารดาเจ้าต้องไปรับราชการนานหลายปี ทิ้งเจ้าไว้คนเดียวให้อยู่เป็นเพื่อนยายเฒ่าอย่างข้า ข้าไม่มีทางปล่อยให้คนที่ความประพฤติไม่ดีพาให้เจ้าเสียคนหรอก”
“ท่านย่า ท่านอย่าพูดเช่นนี้ ได้อยู่เป็นเพื่อนท่าน ข้ารู้สึกว่าเป็นวาสนาของข้าต่างหากล่ะเจ้าคะ” ได้ยินท่านย่ากล่าวคำนี้ ซูลั่วอีจึงรีบเอ่ยขึ้น
อีกด้านหนึ่ง สาวใช้ชุดสีเขียวยกน้ำชาถ้วยใหม่เข้ามา กล่าวอย่างสุภาพมีมารยาท “คุณหนูหลีเชิญดื่มชาเจ้าค่ะ”
เฉียวเจายื่นมือไปรับ สาวใช้ชุดสีเขียวพลันเท้าลื่นไถลทรงตัวไม่อยู่จนน้ำชาหกกระฉอกมาทางนาง
ชั่วเสี้ยวพริบตานั้นเอง เฉียวเจาเบี่ยงกายหลบพร้อมกับยื่นมือประคองสาวใช้ชุดสีเขียวไว้ด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
ในเวลาเดียวกันอาจูซึ่งยืนอยู่ข้างกายเฉียวเจาก็ถลันออกมาบังไว้พอดี น้ำชาในถ้วยนั้นจึงสาดใส่กระโปรงของอาจูทั้งหมด
เมื่อเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น สาวใช้ชุดสีเขียวแตกตื่นลนลาน ปัดป่ายมือหาที่พยุงตัวตามสัญชาตญาณ พอได้เฉียวเจาประคองไว้ นางก็วางมือลงบนกระดานหมากพร้อมกัน
ชั่วครู่ต่อมา สาวใช้ชุดสีเขียวตกใจจนหน้าเสีย กล่าวขอขมาด้วยใบหน้าเผือดขาว “คุณหนูหลี โปรดอภัยให้ด้วยเจ้าค่ะ…”
เฉียวเจาโบกมือไปมาราวกับไม่เกิดอะไรขึ้นทั้งสิ้น นางกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ “คนไม่เป็นไรก็ดีแล้ว รบกวนเจ้าพาสาวใช้ข้าไปผลัดอาภรณ์ที”
สาวใช้ชุดสีเขียวยังหน้าซีดดุจเดิม ดูจะขวัญเสียไม่น้อย
เฉียวเจามองด้วยแววตานิ่งเฉย ตอนแรกนางนึกว่าเหตุการณ์คาดไม่ถึงนี้มีความเป็นไปได้มากว่าจะเกิดจากความตั้งใจ แต่ตอนนี้นางชักไม่แน่ใจเสียแล้ว จากนั้นพอเห็นสีหน้าของสาวใช้ชุดสีเขียวที่จ้องมองกระดานหมากที่ยุ่งเหยิงจนตาค้างแล้ว นางก็แจ่มแจ้งแก่ใจจึงกล่าวยิ้มๆ “รีบไปเถอะ โชคดีเป็นน้ำชาอุ่นๆ ไม่เช่นนั้นยังต้องรบกวนทางจวนช่วยดูอาการให้สาวใช้ข้าอีก”
สาวใช้ชุดสีเขียวตั้งสติได้ในที่สุด พร่ำพูดขอขมาแล้วบัญชาการให้สาวใช้ในเรือนเช็ดน้ำที่หกเลอะเทอะให้สะอาด ก่อนจะพาอาจูไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วฉวยจังหวะไปที่ศาลารับลม
“เป็นอย่างไรบ้าง”
สาวใช้ชุดสีเขียวเหลือบมองซูลั่วอีอย่างขลาดๆ นางก้มหน้าพูด “เรียนฮูหยินผู้เฒ่า ข้าแสร้งทำน้ำชาหกใส่คุณหนูสามสกุลหลีโดยไม่ระวัง ใครจะรู้ว่าคุณหนูสามจะหลบได้อย่างคล่องแคล่วฉับไว กลับกลายเป็นสาวใช้ของนางที่ภักดีปกป้องเจ้านาย พุ่งตัวมาบังไว้ น้ำชาก็เลยราดใส่ตัวนางหมดเจ้าค่ะ”
“อ้อ? แล้วคุณหนูหลีพูดอะไรบ้าง”
ริมฝีปากของสาวใช้ชุดสีเขียวยังขาวซีดอย่างไม่หายขวัญเสีย “คุณหนูหลีประคองข้าไว้แล้วบอกว่าคนไม่เป็นไรก็ดีแล้วเจ้าค่ะ”
จางซื่อผงกศีรษะ “เป็นคนมีน้ำใจผู้หนึ่ง”
นางมองสาวใช้ชุดสีเขียวที่ตัวสั่นงันงกอย่างฉงนใจ “แล้วเจ้าลุกลี้ลุกลนเช่นนี้ด้วยเหตุใด”
เดิมทีเรื่องนี้ทำไปเพื่อหยั่งเชิงคุณหนูสามสกุลหลี นางย่อมไม่ตำหนิสาวใช้ผู้นี้ด้วยเหตุนี้เป็นธรรมดา แต่ไฉนดูสีหน้าท่าทางของสาวใช้แล้ว กลับคล้ายกระทำความผิดร้ายแรงอะไรจริงๆ กระนั้น
ได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าถามคำนี้ สาวใช้ชุดสีเขียวคุกเข่าลงดังตุบอย่างห้ามไม่อยู่ในที่สุด กล่าวขอขมา “ข้าสมควรตายเจ้าค่ะ ข้าคิดไม่ถึงว่าคุณหนูสามจะประคอง ข้าก็เลยตื่นตระหนกไปชั่วขณะ วางมือลงบนกระดานหมากโดยไม่ตั้งใจ…”
“อะไรนะ!” ซูลั่วอีตกใจยกใหญ่ “หมากที่พวกข้าเดินไปได้ครึ่งๆ กลางๆ ปนกันยุ่งเหยิงไปแล้วหรือ”
ตอนเดินหมากเมื่อครู่นี้ นางมัวคิดแต่จะหาวิธีวางหมากให้คุณหนูหลีซานแก้ได้ยากอย่างใจจดใจจ่อจนมิได้สนใจอย่างอื่น ตอนนี้ให้นางจัดเม็ดหมากกลับตำแหน่งเดิมนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
“ท่านย่า ข้าไปดูก่อนนะเจ้าคะ”
ซูลั่วอีกล่าวคำนี้ทิ้งไว้แล้วยกชายกระโปรงออกไปอย่างรีบเร่ง เมื่อไปถึงหน้าประตู นางหยุดฝีเท้าแล้วแอบมองเข้าไปด้านใน เห็นเฉียวเจานั่งตัวตรงดื่มช้าเอื่อยๆ ส่วนสาวใช้ที่นางพามากำลังจัดเม็ดหมากบนกระดานอย่างเงียบๆ
* กระดาษเฉิงซิน เป็นกระดาษในสมัยโบราณที่มีคุณภาพดีที่สุด เนื้อเนียนเรียบบางโปร่ง แต่เหนียวทนทานมาก