หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 114
บทที่ 114
เฉียวเจาคล้ายรับรู้ได้ถึงสายตาที่มองมา นางจึงเงยหน้าขึ้นมองไป
นัยน์ตาของชายหนุ่มข้างหน้าต่างที่หันออกมาทางถนนฉ่ำปรือประหนึ่งฉาบทาด้วยม่านแสงจันทร์รางเลือนทำให้ลอบอ่านความลับในใจไม่ได้ สองแก้มแดงก่ำดุจเปลวไฟ ขับเน้นใบหน้าขาวดั่งหยกน้ำแข็งของเขาให้โดดเด่นสะดุดตายิ่งขึ้น
เป็นเซ่าหมิงยวน
เหตุใดเขาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ แต่ไรมาถนนสายตะวันตกเป็นย่านที่ตั้งคฤหาสน์ของขุนนางฝ่ายบุ๋น
หรือว่าท่านปู่หลี่มอบหมายงานยากๆ เพื่อกลั่นแกล้งเขาอีกแล้ว
เฉียวเจามองชายหนุ่มนิ่งๆ แล้วส่ายหน้ากับตนเอง
เขาโดนพิษเย็นแทรกซึมลึกแล้วยังดื่มสุราอย่างไม่บันยะบันยังอีก ตกลงว่าไม่รู้ถึงสภาพร่างกายของตนเองหรือว่าไม่ใส่ใจแม้แต่น้อยกันแน่
หากไม่รู้ ท่านปู่หลี่ก็ไม่คิดจะบอกเขาใช่หรือไม่
แต่ถ้ารู้แล้วไม่ใส่ใจ เขายังหนุ่มยังแน่น อีกทั้งมีอนาคตก้าวไกล แล้วเหตุใดต้องทำเช่นนี้
เฉียวเจาปล่อยความคิดล่องลอยไปไกลฉับพลัน นางหวนประหวัดถึงช่วงชีวิตสองปีในจวนท่านโหวซึ่งเป็นความทรงจำที่ไม่อยากรื้อฟื้นเท่าใดนัก
จะว่าไปแล้วนับแต่นางแต่งเข้าจวนจิ้งอันโหว การกินการอยู่ล้วนอยู่ในระดับชั้นเลิศ ฮูหยินของท่านโหวผู้เป็นมารดาสามีถึงขั้นเป็นฝ่ายงดเว้นธรรมเนียมคารวะยามเช้าให้นางเอง ส่วนคนทั่วทั้งจวนก็ไม่มีใครไม่เกรงอกเกรงใจนาง
ทว่าสองปีนั้น นางกลับมีความรู้สึกว่าตนเองไม่เป็นส่วนหนึ่งของที่นั่น ราวกับนางไม่ใช่นายหญิงน้อยคนรองของจวนจิ้งอันโหว แต่เป็นนกคีรีบูนที่ถูกเลี้ยงไว้ในกรงทอง
นางเคยคิดว่าอาจเพราะเซ่าหมิงยวนไม่อยู่ในเมืองหลวง นางอยู่ในฐานะลูกสะใภ้คนใหม่ อีกทั้งไม่เคยได้อยู่ร่วมกับสามีแม้สักวันเดียว หากคิดในมุมของผู้เป็นมารดาสามีแล้วต้องหวังให้นางอยู่อย่างสงบเสงี่ยมสักหน่อย จะได้ไม่เกิดเสียงครหานินทา
ทว่านางค่อยๆ สังเกตเห็นความผิดปกติได้ทีละน้อย
มารดาสามีของนางหรือฮูหยินของจิ้งอันโหวดูเหมือนจะไม่ใคร่คิดถึงห่วงใยบุตรชายคนรองที่กำลังเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอยู่ไกลถึงแดนเหนือสักเท่าไร การกินอาหารพร้อมหน้าทั้งครอบครัวในวันตรุษและเทศกาลไหว้พระจันทร์จะรู้สึกถึงจุดนี้ได้ชัดเจนเป็นพิเศษ หรือจะพูดให้ถูกต้องคือเป็นนางที่รู้สึกได้ชัดเจนเป็นพิเศษ ขณะที่คนทั้งจวนดูคล้ายจะเห็นเป็นเรื่องปกติ
มีเพียงจิ้งอันโหวท่านพ่อสามีที่เอ่ยถึงบุตรชายคนรองบ่อยๆ และกระตุ้นเตือนฮูหยินให้จ้างวานคนนำสิ่งของต่างๆ เช่นอาภรณ์กันความหนาวและถุงเท้ารองเท้าส่งไปที่แดนเหนือให้ตรงตามเวลา แม้ว่าฮูหยินท่านโหวจะรับคำ แต่ไม่อาจปกปิดร่องรอยความเฉยชาในแววตาไว้ได้
นางอดคิดไม่ได้ว่าถึงจะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ก็ห่างเหินกันเพราะมักแยกจากกันเป็นเวลานานๆ ได้ใช่หรือไม่
นางกับบิดามารดาก็มักอยู่ห่างไกลกันเช่นเดียวกัน เมื่อลองคิดดีๆ แล้วท่านแม่จะใกล้ชิดกับพี่ชายมากกว่าจริงๆ ถึงขนาดที่สีหน้าท่าทางซึ่งแสดงออกมาโดยไม่ตั้งใจยามอยู่กับน้องสาวสายเลือดอนุก็ยังสนิทสนมเป็นธรรมชาติมากกว่าเวลาพูดคุยกับนาง
บางทีระยะห่างเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากจริงๆ
ต่อมาท่านแม่สามีเอ่ยปากว่าจะส่งนางไปที่แดนเหนือพร้อมกับนำกระแสรับสั่งพระราชทานอนุญาตของโอรสสวรรค์มาด้วย นางย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ ตอนนั้นนางคิดว่าจะได้ไปจากจวนจิ้งอันโหวที่เปรียบดั่งกรงขังแล้วยังตั้งตารอคอยอยู่บ้างด้วยซ้ำไป
ทัพเป่ยเจิงต้องทำศึกอยู่ทางทิศเหนือเนิ่นนานหลายปี พวกภรรยาของแม่ทัพนายกองระดับสูงส่วนใหญ่ล้วนติดตามไปด้วย พวกนางลงหลักปักฐานอยู่ในแดนเหนืออันกว้างใหญ่ไพศาลเฉกเช่นชาวพื้นเมือง และถึงขนาดออกลูกออกหลานสืบต่อกันไปเรื่อยๆ เช่นนี้
กระนั้นนางมิได้คิดเรื่องที่ยังไกลตัวเหลือเกิน มีเพียงจุดหนึ่งที่มั่นใจอย่างมากคือในเมื่อท่านปู่ที่ล่วงลับไปเป็นคนตัดสินใจเรื่องการแต่งงานครั้งนี้ให้นาง ย่อมต้องวาดหวังว่านางกับเซ่าหมิงยวนจะยกย่องให้เกียรติและรักใคร่ปรองดองกัน
เช่นนั้นนางจึงเต็มใจจะลองดู
“มองอะไรอยู่น่ะ” คนอีกผู้หนึ่งเยี่ยมหน้าออกมาทางหน้าต่าง
ใต้แสงตะวันเจิดจรัส ใบหน้าหล่อเหลาคมคายของคนผู้นั้นชวนให้ละลานตา เฉียวเจานิ่งงันไปชั่วอึดใจแล้วหรี่ตาลงน้อยๆ อย่างห้ามไม่อยู่
ช่างบังเอิญเสียจริง ไม่รู้ว่าปล่อยม่านหน้าต่างลงตอนนี้ยังทันเวลาหรือไม่
แต่เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าไม่ทันเวลาแล้ว ฉือชั่นเห็นคนที่นอกหน้าต่างได้ชัดถนัดถนี่ กลับกระทำสิ่งหนึ่งที่ทุกคนรวมถึงตัวเขาเองก็คาดไม่ถึง
เขายื่นมือดึงตัวเซ่าหมิงยวนกลับมา จากนั้นปิดหน้าต่างดังปึง
แม่นางเฉียว “…” อาจเป็นเพราะนางปรากฏตัวด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง!
ด้านเซ่าหมิงยวนมิได้ระวังป้องกันสหายรัก ปล่อยให้ฉือชั่นฉุดดึงแขนตามสบาย ครั้นฤทธิ์สุราในกายที่พลุ่งขึ้นคลายลดลง นัยน์ตาดุจดาวเหมันต์เริ่มกระจ่างใสดังเก่า
เขามองสหายรักที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมนิ่งๆ ด้วยสายตาเป็นเชิงถาม
หยางโฮ่วเฉิงก็ถามออกมาตรงๆ “เกิดอะไรขึ้นรึ”
เขาพลางพูดพลางลุกขึ้นเดินไปข้างหน้าต่าง ยื่นมือจะผลักบานหน้าต่างเปิด “เห็นผีหรืออย่างไร”
“หยางเอ้อร์ วางมือของเจ้าลงเสีย” ฉือชั่นตวาดเสียงห้วนจบแล้วชักร้อนตัวอย่างไร้สาเหตุ
เขาต้องดื่มสุรามากเกินไปเป็นแน่ ไฉนเมื่อครู่ถึงได้มือไวถึงเพียงนี้นะ ด้านนอกเป็นแม่นางน้อยผู้นั้นแล้วจะเป็นไรไป
เผอิญว่าตอนนี้หยางโฮ่วเฉิงก็ดื่มไปไม่น้อยและสุรากำลังออกฤทธิ์อยู่ มีหรือจะยอมหยุดเพราะคำขู่ของสหายแต่วัยเยาว์ ความกระหายใคร่รู้บงการให้เขาเหยียดมือไปเปิดหน้าต่างออกแล้วชะโงกศีรษะออกไป
“ก็ไม่มีอะไรนี่ ไม่เห็นใครสักคน” หยางโฮ่วเฉิงเหลียวมองรอบด้านอย่างงุนงง เพียงเห็นรถม้าคันหนึ่งจอดนิ่งๆ อยู่ไม่ไกล
เวลานี้เองสาวใช้น้อยชุดสีเขียวสดใสนางหนึ่งหอบไหสุราวิ่งตัวปลิวไปทางรถม้า
“เอ๊ะ!” หยางโฮ่วเฉิงอุทานคำหนึ่ง หันศีรษะมาบอกด้วยสีหน้าตื่นเต้น “เป็นคุณหนูหลี”
เห็นสหายสามคนล้วนจ้องมองเขาเงียบๆ ไม่เปล่งเสียง เขาทำหน้าชอบกล “พวกเจ้ามองข้าด้วยเหตุใดกัน เป็นคุณหนูหลีนะ ข้าจะตะโกนเรียกนางขึ้นมา!
เขาพูดจบแล้วหันกลับไปกวักมือโดยไม่สนใจสีหน้าของคนทั้งสาม แต่เพิ่งจะอ้าปากก็ถูกคนข้างหลังดึงไว้
“จื่อเจ๋อ เจ้าดึงข้าด้วยเหตุใด”
สาวใช้น้อยกระโดดขึ้นรถม้าแล้วมันก็ออกแล่นไปช้าๆ
หยางโฮ่วเฉิงเริ่มร้อนใจ “รถม้าจะไปแล้วนะ”
สุ้มเสียงของจูเยี่ยนแฝงรอยอ่อนใจพอดู “ฉงซาน กลางวันแสกๆ ตะโกนโหวกเหวกร้องเรียกสตรีผู้หนึ่งเช่นนี้ ไม่ใคร่จะดีนะ”
หยางโฮ่วเฉิงมองรถม้าม่านสีเขียวคันเล็กกะทัดรัดวิ่งห่างออกไปเรื่อยๆ ต่อหน้าต่อตาแล้วเบ้ปากพูดอย่างไม่พึงใจ “พูดอะไรกันนี่ ตอนกลางวันแสกๆ เรียกไม่ได้ แล้วดึกดื่นค่ำมืดก็เรียกได้อย่างนั้นหรือ”
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนี้…” จูเยี่ยนลูบๆ จมูก
“เป็นคนรู้จักกัน ทักทายคำหนึ่งจะเป็นไรไป พวกเจ้าเป็นคนคร่ำครึตั้งแต่เมื่อไรกัน” หยางโฮ่วเฉิงเหล่ตามองฉือชั่น “ยังมีสือซีอีกคน ต้องถึงกับปิดหน้าต่างด้วยหรือ คุณหนูหลีเห็นเข้าจะเสียใจปานใดกัน”
พอสุราเข้าปาก หยางโฮ่วเฉิงจะพูดมากเป็นพิเศษ เขาเบนสายตาไปหยุดที่ตัวเซ่าหมิงยวนซึ่งไม่เอื้อนเอ่ยคำใดแล้วพูดพึมพำ “ในบรรดาพวกเราก็มีแค่ถิงเฉวียนที่ไม่รู้จักคุณหนูหลี แต่เรื่องของพวกเรา มีอะไรที่ถิงเฉวียนจะรู้ไม่ได้กันล่ะ”
ฉือชั่นฟังด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
เจ้าผักกาดขาวหัวนั้นเสียใจเป็นรึ อย่าล้อเล่น เมื่อครู่ข้าเห็นชัดๆ ว่าเด็กสาวไร้มโนธรรมผู้นั้นสบตากับเซ่าหมิงยวนด้วยแววตาหวานซึ้งอยู่นะ เจ้าหยางเอ้อร์โง่งม ไม่รู้ว่าที่ตรงนี้มีแต่เซ่าหมิงยวนที่เคยได้กินเนื้อกวางแผ่นทอดฝีมือเด็กสาวผู้นั้น
ฮึ…ขืนข้าไม่ปิดหน้าต่าง แม่นางน้อยนั่น…
ฉือชั่นลอบยิ้มเยาะ แต่แล้วก็สะดุ้งในใจวูบหนึ่ง
เขาคงดื่มสุรามากไปจริงๆ แม่นางน้อยนั่นจะเป็นเช่นไร เกี่ยวอันใดกับเขาด้วย
“ข้าสมควรรู้อะไรหรือ” เซ่าหมิงยวนถือจอกสุราพลางถาม
สหายรักสามคนดูเหมือนจะมีท่าทีต่อคุณหนูหลีผู้นั้นต่างจากผู้อื่นมาก
ฉือชั่นกำลังขุ่นเคืองที่สมองตนเองผิดเพี้ยนไปเมื่อครู่นี้ เขาเม้มปากไม่พูดไม่จา
จูเยี่ยนหวาดหวั่นสุดใจว่าหยางโฮ่วเฉิงจะพูดจาส่งเดช ชิงเอ่ยขึ้นก่อน “พวกข้ารู้จักกับนางตอนไปเดินเที่ยวงานวัดวันนั้น…”
แต่ครั้นปะทะเข้ากับสายตานิ่งสนิทใสกระจ่างของเซ่าหมิงยวน จูเยี่ยนก็พูดประโยคหลังไม่ออก เขากล่าวพร้อมรอยยิ้มขอลุแก่โทษ “อันที่จริงพวกเรารู้จักกันตอนเดินทางลงใต้ แต่มิได้เจตนาจะปิดบังเจ้านะ เพียงกลัวว่าเกิดเสียงลือออกไปจะไม่ดีต่อชื่อเสียงของคุณหนูหลี…”
จูเยี่ยนบอกเล่าเรื่องราวที่ทั้งสามได้พานพบและผูกมิตรกับเฉียวเจาตั้งแต่ต้นจนจบ
เซ่าหมิงยวนรับฟังเงียบๆ
เป็นเช่นนี้นี่เอง เขาก็รู้สึกอยู่แล้วว่าเท่าที่รู้จักนิสัยของสามสหายรัก หากไม่ใช่ชะตาต้องกันเป็นพิเศษ จะให้ความสำคัญต่อสตรีนางหนึ่งได้อย่างไร
เมื่อฟังจูเยี่ยนเล่าจบ เซ่าหมิงยวนมองฉือชั่นปราดหนึ่งด้วยท่าทางครุ่นคิด