หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 115
นี่หมายความว่าเมื่อครู่ที่จู่ๆ สือซีปิดหน้าต่างเพราะไม่อยากให้รู้ว่าพวกเขารู้จักคุณหนูหลีหรือ เป็นเช่นที่จื่อเจ๋อพูดว่ากลัวเรื่องที่เกิดขึ้นทางทิศใต้เล่าลือออกไปจะทำลายชื่อเสียงของนาง
เซ่าหมิงยวนรู้สึกได้รางๆ ว่ามิใช่เพียงผิวเผินเท่านี้ แต่หลังดื่มสุราไปมากทำให้หัวสมองไม่เฉียบไวเท่าปกติ เขาคิดต่อไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้วเลยยกจอกสุราส่งยิ้มให้ฉือชั่นพลางกล่าวว่า “วางใจได้ ข้ามิใช่คนปากมาก”
ฉือชั่นเหยียดมุมปาก “ข้าจะมีอะไรไม่วางใจ นางไม่ได้เป็นอะไรกับข้าเสียหน่อย หรือชื่อเสียงนางด่างพร้อยไปข้ายังต้องรับผิดชอบด้วยเล่า”
“คุณหนูหลีไม่ขอให้เจ้ารับผิดชอบแน่นอน” หยางโฮ่วเฉิงที่เมามายแล้วตบไหล่ฉือชั่น พูดเสียงอ้อแอ้ “เจ้ารู้แต่แรกแล้วมิใช่หรือ…”
ฉือชั่นหน้าบึ้งทันใด เจ้าบัดซบผู้นี้ไม่ขัดคอข้าจะตายหรือไม่
หยางโฮ่วเฉิงดื่มสุรามากไปแล้วจริงๆ เขาขยี้ตาพลางเอ่ยถามเซ่าหมิงยวน “ถิงเฉวียน เจ้ายังจะไปแดนเหนืออีกหรือไม่”
เซ่าหมิงยวนวางจอกสุราลง กล่าวเสียงเรียบ “บอกยาก ดูสถานการณ์ก่อน”
“ไม่ต้องดูสถานการณ์แล้ว ถ้าเจ้าไปแดนเหนือ อย่าลืมพาข้าไปด้วยให้ได้นะ” หยางโฮ่วเฉิงขยับมาใกล้ๆ แล้วจับแขนเขา “หนนี้อย่าทิ้งข้าไว้อีกนะ…”
นัยน์ตาของเซ่าหมิงยวนมองดูฝ่ามือใหญ่ข้างที่จับแขนตนไว้ เขาข่มใจเลิกคิ้วขึ้นมองไปทางสหายรักอีกสองคนด้วยสายตาเป็นเชิงถาม
ไม่พบปะกันนานหลายปี ไฉนเจ้าคนผู้นี้ยังคงประพฤติตัวเยี่ยงนี้อีก
ครั้งนั้นเจ้าคนผู้นี้เพิ่งย่างวัยสิบสาม กอดขาเขาไม่ยอมปล่อย เขาก็อดทนไว้ บัดนี้เติบโตเป็นชายชาตรีอกสามศอกแล้ว นี่คือคิดจะทำอะไร
ฉือชั่นกับจูเยี่ยนสบตากันแล้วพากันเบือนหน้าหนี พวกข้าไม่รู้จักคนพรรค์นี้!
“ข้าจะสร้างเนื้อสร้างตัว ข้าจะออกสมรภูมิสังหารข้าศึก ข้าไม่อยากตบแต่งภรรยา…” หยางโฮ่วเฉิงเอ่ยรำพึงรำพันแล้วยังเอาชายแขนเสื้อของเซ่าหมิงยวนเช็ดน้ำลาย
เซ่าหมิงยวนอึ้งงัน “…”
ยังคงเป็นจูเยี่ยนที่ใจดี ฉวยจังหวะก่อนที่หยางโฮ่วเฉิงจะถูกสั่งสอน รีบดึงตัวเขากลับพลางเอ่ย “หยางเอ้อร์ ปล่อยมือเดี๋ยวนี้”
หยางโฮ่วเฉิงกำชายเสื้อเซ่าหมิงยวนไว้สุดแรงไม่ยอมปล่อย “ไม่ปล่อย ตอนนั้นเพราะข้าไม่ได้ตามติดทุกฝีก้าว พอลืมตาขึ้นถิงเฉวียนก็หายไปแล้ว! หนนี้พูดอย่างไรข้าก็ไม่ปล่อยมือ ข้าจะตามเขาไป…”
“เขาเข้าห้องเวจ เจ้าก็จะตามไปหรือ” คุณชายฉือผู้รูปงามอย่างหาที่เปรียบมิได้เลิกคิ้วสูง กล่าวถามอย่างมีเจตนาร้าย
ฮึ เจ้าคนไม่ได้ความ เมื่อครู่นี้บังอาจขัดคอข้ารึ
“ตาม คราวนี้อย่าว่าแต่เขาเข้าห้องเวจ ต่อให้เข้าห้องหอข้าก็ตาม…”
จูเยี่ยนกุมขมับ ทนดูจุดจบของสหายรักมิได้แล้ว อีกฝ่ายกล้าหาญก็น่าสรรเสริญอยู่หรอก แต่…เขาพยายามสุดความสามารถแล้ว!
ฉือชั่นทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเล็กน้อย เขาแค่อยากเอาคืนเล็กๆ น้อยๆ ไม่คิดว่าเจ้าโง่ผู้นี้จะรนหาที่ตายเอง
ยามนี้เองเซ่าหมิงยวนลุกขึ้นยืนแล้ว
เขามีเรือนกายสูงใหญ่ ท่อนขาเรียวยาว อกผายไหล่ผึ่ง อีกทั้งเพราะจากการรบทัพจับศึกมานาน ทั้งยังแฝงไว้ด้วยอำนาจบารมีอย่างที่สหายอีกสามคนไม่เคยมี ถึงจะเป็นหยางโฮ่วเฉิงที่รูปร่างกำยำล่ำสันยืนอยู่ตรงหน้าเขาก็ยังแลดูต่ำเตี้ยกว่าหลายส่วน
เซ่าหมิงยวนหิ้วตัวหยางโฮ่วเฉิงและส่งยิ้มให้กับสหายรักอีกสองคน “พวกเจ้านั่งรอสักครู่ ข้าจะพาฉงซานออกไปทำให้สร่างเมา”
จวบจนเสียงปิดประตูดังขึ้นพร้อมกับเกิดแรงลมพัดมา ทำให้สองคนที่อยู่ในห้องสะดุ้งโหยงอย่างห้ามไม่อยู่
“หยางเอ้อร์น่าจะมีชีวิตรอดกลับมากระมัง” จูเยี่ยนเอ่ยถามอย่างไม่ใคร่แน่ใจ
สายตาของเซ่าหมิงยวนที่เย็นเยียบลงกะทันหันตอนหยางโฮ่วเฉิงเอ่ยคำว่า ‘เข้าห้องหอ’ เมื่อครู่นี้ เขาคงลืมไม่ลงแล้ว
“รอดสิ ถิงเฉวียนใจอ่อน” ฉือชั่นลูบปลายคาง เทสุราในจอกลงพื้น เขาถอนใจกล่าวขึ้น “ดื่มสุราให้โทษ!”
ตอนที่ทั้งสี่คนแยกย้ายกันเป็นยามดวงจันทร์ลอยพ้นเหนือยอดไม้
หยางโฮ่วเฉิงที่โดนสั่งสอนมาแล้วร้องไห้จนตาแดงไปหมด ได้สหายรักใจดีอย่างจูเยี่ยนพาไปส่ง
ฉือชั่นไต่ถามเซ่าหมิงยวน “ข้าไปส่งเจ้าดีหรือไม่”
“ไม่ต้อง ข้าไม่เป็นไร”
“ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถอะ คนละทางพอดี” ฝีเท้าของฉือชั่นก็ไม่มั่นคงอยู่สักหน่อย เขาหันรีหันขวางพลางตะโกนเรียก “เถาเซิง เจ้าอยู่ที่ใด!”
เจ้าเด็กตัวดีผู้นี้ เวลาจะเรียกใช้ก็ไม่รู้ไปตายอยู่ที่ใด!
สุดท้ายเซ่าหมิงยวนนวดๆ ตรงหว่างคิ้ว สั่งให้องครักษ์ประจำตัวสองคนพาฉือชั่นไปส่ง
“ท่านแม่ทัพ ท่านก็ดื่มสุราเหมือนกัน…” องครักษ์ผู้หนึ่งรวบรวมความกล้าเอ่ยขึ้น
สีหน้าของเซ่าหมิงยวนเรียบเฉย “พาคุณชายฉือไปส่งอย่างปลอดภัย ห้ามเกิดข้อผิดพลาด”
“น้อมรับคำสั่ง!” สององครักษ์ประจำตัวไม่กล้าพูดมากความอีก คุ้มกันฉือชั่นกลับไป
หน้าหอชุนเฟิงเหลือแค่เซ่าหมิงยวนผู้เดียว
เพลานี้เบื้องหลังเขาคือหอสุราที่แสงโคมสว่างไสว ส่วนเบื้องหน้าเป็นถนนที่มีผู้คนบางตา
ชายหนุ่มไม่ได้ขี่ม้า แต่จูงสายบังเหียนสาวเท้าเอื่อยๆ ไปข้างหน้า ความรู้สึกของการเดินอย่างไร้จุดหมายและปล่อยวางความคิดเฉกนี้ มิเคยบังเกิดกับเขามานานแสนนานแล้ว
ในแดนเหนือการทำเช่นนี้คือสิ้นเปลืองเวลาอย่างไร้ข้อกังขา
ทว่าวันนี้เมื่อเรื่องที่สืบเสาะได้ชี้เป้าไปยังจวนจิ้งอันโหวดังเช่นที่ตนคาดเดาไว้ล่วงหน้า เซ่าหมิงยวนยังคงรู้สึกขมขื่นคับข้องในอก เพียงหวังว่าระยะทางกลับไปที่นั่นจะยาวขึ้นๆ อีกสักนิด
อาชาสีขาวตัวนี้ติดตามชายหนุ่มมานานจึงแสนรู้มาก มันเอาหน้าถูไถกับมือเขาอย่างสนิทสนมและพ่นลมหายใจฟืดฟาดเป็นระยะ
“อุ๊ยตาย ม้าตัวนั้นน่าเอ็นดูจริงๆ พี่ชาย จะเข้ามานั่งสักครู่หรือไม่เจ้าคะ…” สตรีนางหนึ่งโบกผ้าเช็ดหน้าให้กับชายหนุ่มที่เดินมา
ผ้าเช็ดหน้าที่สะบัดไปมากำจายกลิ่นหอมรวยรินลอยมาแตะปลายจมูกเซ่าหมิงยวน
ดวงตาแจ่มกระจ่างเฉยเมยคล้ายฉาบด้วยม่านหมอกบางเบาชั้นหนึ่ง เขาเงยหน้าขึ้นมอง
เรือนตึกประดับโคมไฟส่องแสงพร่างพราย ได้ยินเสียงสรวลเสเฮฮาดังลอยมาแว่วๆ
ไฉนที่นี่ยังครึกครื้นกว่าหอชุนเฟิง
เซ่าหมิงยวนปวดศีรษะแทบแตก เขาหลับตาลง บางทีอาจดื่มสุรามากเกินไปเลยตาลาย
“อุ๊ย พี่ชายหล่อเหลาเหลือเกิน” หญิงสาวเห็นชัดจะแจ้งแล้วตาเป็นประกายอย่างห้ามไม่อยู่ นางยื่นมือไปเกาะแขนเซ่าหมิงยวนทันที
สัญชาตญาณระวังภัยที่บ่มเพาะมานานปีสำแดงผลทันทียามพบคนแปลกหน้า ถึงจะเมาสุราอยู่มาก เซ่าหมิงยวนยังว่องไวดุจสายฟ้าแลบ เขาคว้าข้อมือที่ยื่นมาไว้หมับ
“โอ๊ย!” เสียงอุทานลั่นด้วยความเจ็บดังขึ้น เพราะสุ้มเสียงนั้นแหลมสูงเหลือเกิน มันบาดหูชายหนุ่มจนปวดหูแปลบๆ
นักเลงหัวไม้กลุ่มหนึ่งวิ่งกรูออกมาจากในเรือนตึกทันใด คนที่เป็นหัวหน้าตะโกนเอะอะ “เกิดอะไรขึ้นๆ มีคนมาก่อเรื่องหรือ”
“เจ็บๆๆ ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว” หญิงสาวร้องโหยหวนดั่งสุกรถูกเชือด
เซ่าหมิงยวนคลายมือออก เขาไม่แยแสพวกนักเลงที่วิ่งทะยานมา เงยหน้าขึ้นมองป้ายของเรือนตึก
“หอปี้ชุน…” เขาอ่านออกเสียงทีละคำ เรียวคิ้วยาวดกดำมุ่นเข้าหากันอย่างงุนงงอยู่บ้าง
นี่เป็นร้านสุราแห่งใดกัน เปิดใหม่หรือ
“เจ้าตัวเหม็น จะหาเรื่องรึ บังอาจแตะต้องคนของหอปี้ชุนของพวกข้า” นักเลงหัวไม้หลายคนตีวงล้อม หัวหน้ากลุ่มเงื้อกระบองฟาดใส่เซ่าหมิงยวน
จนกระทั่งกระบองเคลื่อนมาถึงตรงหน้า เซ่าหมิงยวนถึงยกมือจับมันไว้ จากนั้นออกแรงที่มือเพียงเล็กน้อย กระบองก็หักเป็นสองท่อนทันควัน ปลายด้านหนึ่งอยู่ในอุ้งมือของหัวหน้านักเลง ส่วนปลายด้านที่หักก็หล่นใส่ปลายเท้าของอีกฝ่ายพอดี
“โอ๊ย!” หัวหน้านักเลงร้องลั่นเสียงหนึ่ง เขามองรอยหักราบเรียบตรงปลายกระบองแล้วมองชายหนุ่มเบื้องหน้าอย่างตื่นกลัวและหวาดหวั่นใจ
คนที่ทำงานให้หอคณิกามานาน ย่อมได้ฝึกฝนสายตาให้เฉียบคมเป็นธรรมดา ไหนเลยเวลานี้เขาจะดูไม่ออกอีกว่าชายหนุ่มที่แต่งกายสามัญผู้นี้มิใช่ผู้ที่ตอแยได้เลย
น้ำเสียงของหัวหน้านักเลงเปลี่ยนไป “สหาย ถ้าท่านอยากเข้ามาหาความสำราญ พวกข้ายินดีต้อนรับ แต่ถ้าไม่สนใจก็เชิญกลับไปตามสบาย ลงมือลงไม้ทำร้ายคนนั้นมิถูกต้องหรอกนะ”
เขาพูดด้วยดีๆ ก่อนแล้ว แต่หากจะชวนวิวาทจริงๆ หอปี้ชุนของพวกเขาก็ใช่ว่าจะตอแยได้
ชายหนุ่มสวมเสื้อคลุมสีขาวกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เหตุใดหอสุราของพวกท่านถึงใช้สตรีต้อนรับแขก”
เขายังไม่ได้ออกแรงมากสักเท่าไรเลย ถ้าเป็นบุรุษจะถึงกับร้องเสียงดังลั่นเช่นนี้หรือไม่