หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 116
“หอสุรา?” นักเลงหัวไม้ทั้งกลุ่มนิ่งอึ้งไป หลังจากพวกเขามองหน้ากันไปมาแล้วก็เปล่งเสียงหัวเราะดังครืนใหญ่
เซ่าหมิงยวนรั้งอยู่ในตำแหน่งสูงมานาน ถึงแม้จะมีนิสัยสุภาพนุ่มนวล แต่ปกติไม่มีผู้ใดกล้าหัวเราะอย่างอุกอาจต่อเบื้องหน้าเขา
ท่านแม่ทัพหนุ่มอดขมวดคิ้วไม่ได้
หัวหน้านักเลงได้กลิ่นสุราฉุนเย็นๆ ลอยมาจากตัวเขาก็เผยรอยยิ้ม “ข้าว่านะสหาย ท่านคงดื่มสุรามากเกินไปแล้วกระมัง แม้แต่หอคณิกาก็ยังมองไม่ออก”
หอคณิกา?
สีหน้าของเซ่าหมิงยวนนิ่งขึง เขาเงยหน้าขึ้นมอง
ที่แท้นี่ก็คือหอคณิกาตามคำเล่าขาน?
หัวหน้านักเลงยื่นมือไปตบหัวไหล่เขา “ดูทีว่าสหายคงไม่เคยมาที่นี่เลย มาๆ ครั้งแรกจะลดราคาให้”
เซ่าหมิงยวนรีบเบี่ยงกายหลบ ชั่วขณะนี้ท่านแม่ทัพที่บัญชาการกองทัพนับพันนับหมื่นได้อย่างสุขุมรอบคอบกลับมีท่าทีเก้อกระดากเป็นอันมาก “ขออภัย ข้าดูผิดไป”
เขาพูดจบแล้วจูงม้าหันหลังกลับ หลังจากเดินไม่กี่ก้าวก็กระโจนกายขึ้นม้าห้อตะบึงจากไป
พวกนักเลงหัวไม้นิ่งอึ้งชั่วครู่ก่อนจะมองไปทางหัวหน้า “ลูกพี่ ปล่อยเจ้าหนุ่มนั่นไปอย่างนี้หรือ”
หัวหน้านักเลงดึงสายตาคืน แค่นเสียงเยาะ “ไม่ปล่อยเขาไปแล้วจะทำอย่างไร พวกเจ้านึกว่าเจ้าหนุ่มนั่นเป็นผู้ที่ตอแยได้รึ”
พวกเขาก้มหน้ามองกระบองที่หักเป็นสองท่อนแวบหนึ่งแล้วส่ายหน้าพร้อมเพรียงกัน
หญิงสาวที่ยืนต้อนรับแขกหน้าประตูผู้นั้นรู้สึกดีขึ้นแล้วแต่ยังนวดๆ ที่ข้อมือขณะกล่าวขึ้น “ที่แท้เป็นหนุ่มบริสุทธิ์หรือนี่ น่าเสียดายจริงๆ”
หัวหน้านักเลงหยักยิ้ม “น่าเสียดายอะไรกัน เจ้าหนุ่มหัวทึ่มอย่างนั้นมีหรือจะรู้จักทะนุถนอมสาวงามอย่างพวกพี่สาวได้…”
หญิงสาวปัดมือของหัวหน้านักเลงออก นางสะบัดผ้าเช็ดหน้าพลางพูด “ชิ้วๆๆ รีบกลับไปเถอะ มัวยืนอยู่ตรงนี้ พวกลูกค้าไม่กล้าเข้าประตูแล้ว”
ด้านหน้าหอปี้ชุนกลับคืนสู่ความครึกครื้นตามปกติ
เซ่าหมิงยวนขี่ม้าตลอดทางกลับไปยังจวนจิ้งอันโหว พอมาถึงหน้าประตูแล้วพลิกกายลงจากหลังม้า มีบ่าวรับใช้ก้าวเข้ามารับสายบังเหียนและกล่าวอย่างเคารพนอบน้อม “คุณชายรอง กลับมาแล้วหรือขอรับ”
เขาพยักหน้าตอบแล้วก้าวเท้าเดินเข้าไปข้างใน
ชายหนุ่มเป็นคนคอแข็งไม่น้อย แต่วันนี้มีความในใจซุกซ่อนอยู่ อีกทั้งอยู่กับสหายรักถึงได้ปล่อยตัวปล่อยใจดื่มเต็มที่ ยามนี้เขากึ่งเมากึ่งมีสติ ดีที่เขาควบคุมตัวได้ดียิ่ง ยามเดินเหินดุจคนปกติ แค่ว่ากลิ่นสุราฉุนเย็นที่คลุ้งกายอยู่กลับหลอกใครไม่ได้
มีคนแอบไปรายงานเสิ่นซื่อฮูหยินของจิ้งอันโหว “ฮูหยิน คุณชายรองเพิ่งกลับมา ดูเหมือนดื่มสุราไปไม่น้อยเจ้าค่ะ”
“ดื่มสุรามาหรือ” ดวงตาของเสิ่นซื่อทอประกายวูบหนึ่ง นางไต่ถามคนที่มาบอกข่าว “เมาแล้วหรือยัง”
“ดูท่าทางสติแจ่มใสดี แต่มีกลิ่นสุราทั้งตัวเจ้าค่ะ”
เสิ่นซื่อใคร่ครวญแล้วเอ่ยสั่งสาวใช้ “ไปเชิญคุณชายรองมาที่นี่ บอกว่าข้ามีเรื่องอยากพบเขา”
สาวใช้ออกไปทำตามคำสั่ง เสิ่นซื่อรีบบอกกับหวามามาคนสนิททันที “ไปตระเตรียมคนที่สามีเจ้าซื้อมาให้เรียบร้อย”
“เจ้าค่ะ”
รอเมื่อหวามามาออกจากห้องไป เสิ่นซื่อชี้ที่เตาเครื่องหอมทรงปากเป็ดบนโต๊ะตัวเล็ก เอ่ยสั่งสาวใช้อาวุโสนามว่าซู่เตี๋ย “เครื่องหอมนี้กลิ่นอ่อนลงแล้ว เอาน้ำอบกลิ่นดอกกุหลาบที่หวามามานำกลับมาวันนั้นหยดลงไปสักสองสามหยด”
ซู่เตี๋ยกุลีกุจอหยิบน้ำอบกลิ่นดอกกุหลาบมาเหยาะลงบนช้อนเล็กๆ สองสามหยดแล้วหยอดใส่ลงในเตาเครื่องหอม
ถ่านในเตาติดไฟอยู่ ไม่นานนักไอควันเจือกลิ่นหอมดอกกุหลาบก็ลอยอวลออกมาทางปากเป็ดทองคำ
ซู่เตี๋ยทางหนึ่งเก็บของเช่นช้อนเติมเครื่องหอม ทางหนึ่งเอ่ยชม “ฮูหยิน กลิ่นดอกกุหลาบนี้หอมชวนดมเหลือเกิน บ่าวได้ยินว่าน้ำอบเช่นนี้เป็นของที่มาจากโพ้นทะเล ล้ำค่าราคาแพงมากเลยเจ้าค่ะ”
รอยยิ้มของเสิ่นซื่อขยายกว้างขึ้น “ชวนดมมากจริงๆ เอาล่ะ เจ้าไปรอที่หน้าประตู คุณชายรองมาแล้วก็พาเขาเข้ามา”
ซู่เตี๋ยขานรับคำหนึ่งแล้วหมุนกายออกไป
เสิ่นซื่อนั่งพิงบนเก้าอี้ไท่ซือ ยกมุมปากโค้งขึ้น
เจ้าคนไร้หัวจิตหัวใจผู้นั้นดื่มสุราหรือนี่ สวรรค์เข้าข้างโดยแท้
ผ่านไปราวหนึ่งเค่อเศษ ซู่เตี๋ยยืนอยู่ที่หน้าประตูส่งเสียงบอก “ฮูหยิน คุณชายรองมาแล้วเจ้าค่ะ”
“เชิญเขาเข้ามา”
ชั่วครู่หนึ่งเซ่าหมิงยวนเดินเข้ามา แสดงคารวะและกล่าวทักทาย “ท่านแม่”
“ไฉนกลับมาดึกดื่นป่านนี้”
“ไปพบปะสังสรรค์กับสหายสองสามคนขอรับ”
เสิ่นซื่อทำน้ำเสียงไม่พึงใจ “ในเรือนมีเรื่องยุ่งวุ่นวายตั้งมากมาย วันหน้าอย่าออกไปเถลไถลข้างนอก”
เซ่าหมิงยวนไม่ปริปาก
เมื่อความรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์พุ่งขึ้นมาตามความเคยชิน เสิ่นซื่อลอบสูดลมหายใจเฮือกหนึ่งกดข่มมันลงไปก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “วันนี้ข้าเรียกเจ้ามาก็อยากถามไถ่ว่าวันที่แห่ศพเฉียวซื่อไปฝัง เรื่องคนถือธงกับโถกระเบื้อง เจ้าตั้งใจจะทำอย่างไร”
เซ่าหมิงยวนอึ้งงันไป เขาเอ่ยถามเสิ่นซื่อ “ท่านแม่หารือเรื่องนี้กับท่านพ่อแล้วหรือขอรับ”
ตามประเพณีของต้าเหลียง คนที่ถือธงกับโถกระเบื้องให้ผู้วายชนม์จะได้รับการยอมรับว่าเป็นทายาท
เสิ่นซื่อแค่นหัวเราะ “ข้าจะไม่รู้นิสัยท่านพ่อเจ้ารึ อะไรๆ ก็ย่อมสุดแท้แต่เจ้าเป็นธรรมดา ดังนั้นมิสู้ถามเจ้าโดยตรงไม่ง่ายกว่าหรือไร”
“พวกข้าไม่มีบุตรธิดา” เซ่าหมิงยวนหลุบตาลงพูดเสียงเนิบนาบ
“ก็เพราะว่าไม่มี ข้าถึงได้ถามเจ้าอย่างไรเล่า” เสิ่นซื่อกระแทกเสียงอย่างหงุดหงิดขึ้นแล้ว
เซ่าหมิงยวนเหลือบตาขึ้นมองเสิ่นซื่อนิ่งๆ
นางหลุบเปลือกตาหลบสายตาเขา ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบคำหนึ่ง
“ข้าถือเองขอรับ”
“แค่กๆๆ…” เสิ่นซื่อสำลักน้ำชาจนไออย่างรุนแรง
ซู่เตี๋ยสาวใช้อาวุโสอยู่ด้านข้างรีบก้าวเข้ามาลูบหลังนาง
เสิ่นซื่อหายใจได้เป็นปกติแล้วถลึงตาใส่เซ่าหมิงยวน “เจ้าว่าอะไรนะ”
“ข้าถือเองได้ขอรับ” น้ำเสียงของเขาสงบนิ่งอย่างยิ่ง
“หุบปาก!” เสิ่นซื่อตบโต๊ะสุดแรง ดวงหน้าเปี่ยมไปด้วยโทสะ “ข้ากับท่านพ่อเจ้ายังไม่ตายนะ เจ้าพูดอะไรของเจ้า บัดซบสิ้นดี!”
นางระงับอารมณ์แล้วกล่าวเสียงเย็นๆ “พี่ใหญ่เจ้ามีบุตรชายสองคน ตงเกอเอ๋อร์เป็นบุตรชายคนโตไม่เหมาะสม ก็ให้ชิวเกอเอ๋อร์เป็นคนถือเถอะ ปีนี้เขาอายุสี่ขวบแล้ว”
เซ่าหมิงยวนนิ่งฟังเสิ่นซื่อกล่าววาจา เขารู้สึกหนาวเหน็บใจยิ่งขึ้น
เขามีบรรดาศักดิ์ประจำตัว นี่ท่านแม่จะบีบให้เขายกบรรดาศักดิ์ตกทอดให้หลานชาย?
ในชีวิตเขา คำว่า ‘ตำแหน่งบรรดาศักดิ์’ นี้เป็นดั่งหนอนกัดกินกระดูกที่ไม่เคยสลายหายไป
สมัยวัยเยาว์ พี่ชายคนโตหวั่นเกรงว่าเขาจะแย่งชิงตำแหน่งซื่อจื่อไป ถึงได้เฝ้าระแวงระวังเขาไปเสียทุกเรื่องมิใช่หรือ
บางทีถ้ามิใช่ตอนนั้นกำลังอับจนหนทาง เขาคงปราศจากความกล้าที่จะดั้นด้นเดินทางไกลนับพันลี้ไปช่วยบิดาสังหารข้าศึก
“เจ้าเห็นเป็นเช่นไร”
สีหน้าแววตาของชายหนุ่มนิ่งเฉย ชะรอยว่าดื่มสุราเข้าไปทำให้ควบคุมตัวได้น้อยลง เป็นเหตุให้น้ำเสียงเขากระด้างขึ้นหลายส่วน “แม้ว่าชิวเกอเอ๋อร์จะดี แต่กลับเป็นบุตรชายของพี่ใหญ่ ไม่เหมาะที่จะถือธงให้เฉียวซื่อ ให้ข้าเป็นคนถือเองดีกว่าขอรับ ท่านแม่อาจลืมไปว่าถ้าผู้ตายไร้บุตรธิดาก็ให้ผู้ใกล้ชิดที่สุดกระทำแทนได้”
เขาพูดถึงตรงนี้แล้วเว้นจังหวะเล็กน้อยถึงเอ่ยเรียบๆ “แล้วยังจะมีผู้ใดที่ใกล้ชิดไปมากกว่าอีกเล่าขอรับ”
ชาตินี้เขาจะไม่ตบแต่งภรรยาอีก บรรดาศักดิ์นี้มิใช่ว่าจะยกให้หลานชายไม่ได้ แต่คนอื่นบังคับเขาให้ยกให้ไม่ได้ ต่อให้เป็นมารดาก็ไม่ได้
วันนี้เสิ่นซื่อเรียกเซ่าหมิงยวนมาพบ เดิมทีมิได้คิดจะตัดสินใจเรื่องใหญ่เฉกนี้ แค่จะใช้มันเป็นข้ออ้างเท่านั้น บุตรชายคนรองมีเล่ห์เหลี่ยมมาก หากไม่มีเหตุผลที่เข้าท่าสักอย่างจะต้องแคลงใจเป็นแน่ ถึงกระนั้นนางก็ใคร่ครวญไว้เช่นนี้จริงๆ ยามนี้เห็นเขาปฏิเสธเสียงแข็งจึงอดเดือดดาลไม่ได้
นี่เขาปีกกล้าขาแข็งแล้วจริงๆ!
“นางเป็นคนที่ใกล้ชิดกับเจ้ามากที่สุด เจ้าก็สังหารเองกับมือมิใช่หรือ” เสิ่นซื่อเหยียดยิ้มเอ่ยขึ้น
เซ่าหมิงยวนเจ็บร้าวไปทั้งใจ เขามองเสิ่นซื่อพลางถามเสียงเบา “ข้ายังมีทางเลือกอื่นอีกหรือขอรับ”
เป็นใครเล่าที่ต้องบีบคั้นเขาถึงขั้นนี้
ความวิงเวียนถาโถมเข้าใส่เซ่าหมิงยวน เขายกมือกุมหน้าผาก เหงื่อเย็นผุดซึมเต็มหน้าผาก
เสิ่นซื่อยกมุมปากโค้งขึ้น นางโบกมือไปมา “ช่างเถิด ข้าดูเจ้าวันนี้ดื่มสุราไปไม่น้อย เรื่องนี้ไว้ค่อยพูดกันอีกทีวันหน้าเถอะ ซู่เตี๋ย พาคุณชายรองไปส่ง”
“ไม่ต้องขอรับ ข้าไม่เป็นไร หมิงยวนขอตัวก่อน”
เซ่าหมิงยวนกลับไปที่ห้องหนังสือตามความเคยชิน เขารู้สึกเวียนศีรษะ จึงถอดเสื้อตัวนอกออกแล้วเอนกายลงนอนเลย ท่ามกลางสติที่มึนงง เขาได้ยินเสียงเรียกนอกประตู “คุณชายรอง ฮูหยินให้บ่าวยกน้ำแกงสร่างเมามาให้เจ้าค่ะ”