หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 117
ห้องหนังสือของเซ่าหมิงยวน ปกติจะมีเซ่าจือกับเซ่าเหลียงพักผ่อนอยู่ใกล้ๆ เสมอ ขณะนี้ทั้งคู่ต่างปฏิบัติหน้าที่อยู่จึงเหลือเขาเพียงผู้เดียว
“คุณชายรอง บ่าวเข้าไปแล้วนะเจ้าคะ”
สุ้มเสียงของสตรีนอกประตูนิ่มนวล หางเสียงกระเส่าน้อยๆ ละม้ายนางพรายทะเลเย้ายวนจิตใจ
เซ่าหมิงยวนดึงๆ สาบเสื้ออย่างรู้สึกร้อนอยู่บ้าง หากน้ำเสียงเยือกเย็นดังเดิม “รอประเดี๋ยว”
เขาลุกขึ้นยืน ตอนฝ่าเท้าเหยียบลงบนพื้นรู้สึกแข้งขาอ่อนแรงน้อยๆ จากอาการวิงเวียน เขาสวมเสื้อแล้วย่างเท้าทีละก้าวไปทางหน้าประตู
สตรีนอกห้องก้มหน้าหลุบตาต่ำ อวดเรียวคอยาวระหงเนียนเรียบใต้แสงจันทรา
เสียงฝีเท้าดังมาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ นางคลับคล้ายได้กลิ่นหอมของสุราจางๆ ลอยมาด้วย
คนในห้องมาถึงหน้าประตูแล้วหยุดนิ่งหลายอึดใจ เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นตามมาด้วยเสียงฝีเท้าเดินกลับไป
หญิงงามกระจ่างตาที่ยกน้ำแกงสร่างเมาไว้หน้าเปลี่ยนสีไปกะทันหัน
เสียงเมื่อครู่นี้…เป็นเสียงดาลประตูหรือนี่!
ที่แท้กวนจวินโหวนามกระเดื่องทั่วหล้าผู้นั้นบอกให้นางรอประเดี๋ยว เพราะจะมาลงดาลประตู
หญิงสาวกัดริมฝีปาก เปล่งเสียงอ่อนหวานมากยิ่งขึ้น “คุณชายรอง ท่านดื่มสุราไปมิใช่หรือ ท่านเปิดประตูสิเจ้าคะ ฮูหยินบอกให้บ่าวยกน้ำแกงสร่างเมามาให้ หากท่านไม่ดื่ม บ่าวไม่อาจกลับไปรายงานตัวกับฮูหยินได้นะเจ้าคะ”
เสียงลมหายใจแผ่วเบาดังขึ้นในห้อง
“…” หญิงสาวนิ่งงัน นางรู้สึกเหลือจะเชื่อ หรือจะมีบุรุษที่ใจแข็งเหมือนพระอิฐพระปูนอยู่จริง
“คุณชายรอง ท่านเปิดประตูสิ ถ้าท่านไม่เปิด บ่าวคงได้แต่รอต่อไปเรื่อยๆ แล้วนะเจ้าคะ”
ครู่หนึ่งต่อมา มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นในห้อง ประตูถูกเปิดผลัวะออก
ชายหนุ่มที่ยืนหันหน้าเข้าหาแสงจันทร์อยู่ด้านในประตูมีรูปหน้าคมคายหมดจด สองแก้มแดงเรื่อๆ มีสง่าราศีไม่เป็นสองรองใคร
ชั่วอึดใจนั้นหัวใจของหญิงสาวเต้นผิดจังหวะไปหลายครั้งราวกับกลายเป็นฝ่ายที่ต้องมนต์เสน่ห์เสียเอง
“คุณชายรอง…” นางแย้มริมฝีปากยิ้มบางๆ เรือนผมสีดำรวบเก็บไปข้างหลังเผยให้เห็นดวงหน้านวลเนียนเกลี้ยงเกลา
แววตาของเซ่าหมิงยวนกระด้างขึ้นทันใด จากนั้นสีหน้าสงบนิ่งก็แปรเปลี่ยนเป็นฉุนเฉียว เขาหิ้วตัวหญิงสาวพร้อมด้วยน้ำแกงสร่างเมาโยนออกไปนอกลานเรือนพร้อมกัน
“ขืนเหยียบย่างเข้ามาอีกก้าวเดียว ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย” ท่านแม่ทัพหนุ่มแผ่รังสีอำมหิตเหี้ยมเกรียม เขายืนตระหง่านค้ำศีรษะนางกล่าวเตือนขึ้น
คุณชายสูงศักดิ์รูปงามนุ่มนวลดุจแสงจันทร์กระจ่างกลายเป็นเทพสังหารเลือดเย็นไร้หัวใจไปในพริบตา ทำให้ความเสน่หาที่เพิ่งบังเกิดขึ้นในใจหญิงสาวยังไม่ทันได้งอกงามก็แตกโพละดุจฟองอากาศ
ภายใต้รังสีสังหารที่คลี่คลุมรอบกายนี้ หญิงสาวตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า หลั่งเหงื่อดุจสายฝน
เซ่าหมิงยวนหมุนกายเข้าห้องปิดประตูแน่นหนาแล้วเอนกายลงบนตั่งไปเลย
มีมารดาเยี่ยงนี้อยู่ด้วยหรือ มารดาที่ถึงกับส่งสตรีซึ่งหน้าตาประพิมพ์ประพายภรรยาที่จากไปแล้วอยู่หลายส่วนยกน้ำแกงสร่างเมามาให้เขา!
ท่านแม่คิดอะไรอยู่ แล้วท่านเห็นเขาเป็นอะไร
สุราร้อนแรงออกฤทธิ์แผดเผาในช่องท้อง ตรงกลางอกเขาปั่นป่วนไปด้วยไฟโทสะระคนความเศร้าหมอง แต่กลับยังมีไฟอีกกองหนึ่งลุกโชนอยู่ที่ลำตัวท่อนล่าง
มันเป็นความปรารถนาเฉพาะตัวของบุรุษ ถึงเขาไม่เคยมีสัมพันธ์กับสตรีมาก่อนก็เข้าใจได้
เซ่าหมิงยวนลุกขึ้นนั่ง เอนหลังพิงแนบผนังเย็นเฉียบ ถอนหายใจยาวเหยียดเฮือกหนึ่ง
ราวกับฤทธิ์สุราที่ทำให้เขาคิดช้าลงสลายหายไปในพริบตา พร้อมกับความปรารถนาที่บังเกิดขึ้นกะทันหัน
เขาดื่มสุราไปมาก มารดาผู้เย็นชาเป็นนิจกลับทนรอถึงวันพรุ่งนี้ไม่ไหวเรียกเขาไปหารือเรื่องงานศพของภรรยา หลังจากนั้นก็ส่งน้ำแกงสร่างเมามาให้
แล้วสตรีที่ยกน้ำแกงมายังมีรูปโฉมละม้ายคล้ายกับภรรยาเขาอยู่หลายส่วน
ในความคิดของมารดา เขาเซ่าหมิงยวนเป็นคนโง่ที่ไร้สติปัญญาแม้แต่น้อยนิดใช่หรือไม่
ช่างเป็น…อุบายที่ตื้นเขินปานใด
กระนั้นไม่ว่าเขาจะเข้าใจเพียงใด ท่าทีตอบสนองทางกายกลับไม่ฟังคำสั่งของสมอง
นั่นมิใช่ความเจ็บปวด แต่มันทำให้ทรมานยิ่งกว่าความเจ็บปวดใจ ทั้งร่างกายและจิตใจ
ชายหนุ่มลุกขึ้นไปที่ห้องชำระกาย ใช้น้ำเย็นจัดราดรดตามตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระทั่งทั่วทั้งสรรพางค์กายเย็นสนิทก็ผ่านไปครึ่งค่อนราตรีแล้ว
เสิ่นซื่อซึ่งได้รับรายงานผลก็โมโหจนนอนไม่ค่อยหลับตลอดทั้งคืนเช่นกัน วันรุ่งขึ้นนางเรียกตัวเซ่าหมิงยวนซึ่งปวดศีรษะแทบตายมาซักไซ้ไล่เลียงต่อหน้าจิ้งอันโหว
“เซ่าหมิงยวน เมื่อวานข้าพูดเรื่องสำคัญกับเจ้า เจ้าเติบใหญ่แล้วมีความคิดเป็นของตนเอง ไม่เห็นพ้องกับข้าก็เป็นเรื่องหนึ่ง หรือว่าเพราะเหตุนี้ เจ้าเลยไม่เห็นมารดาอย่างข้าอยู่ในสายตาแม้สักนิดรึ”
“ข้าไม่กล้าขอรับ”
“ไม่กล้า? มีอะไรที่เจ้าไม่กล้าบ้าง” เสิ่นซื่อตวัดสายตามองจิ้งอันโหวแล้วแค่นเสียงถาม “เมื่อวานข้าปรารถนาดีส่งคนยกน้ำแกงสร่างเมาไปให้เจ้า เจ้าทำอย่างไรล่ะ”
เซ่าหมิงยวนตอบเรียบๆ “ข้าดื่มสุราไปมาก ลืมไปแล้วขอรับ”
“ลืมไปแล้ว?” เสิ่นซื่อโมโหจนใจสั่น นางเลิกคิ้วสูงพลางกล่าว “ท่านโหวฟังนะเจ้าคะ เขาบอกคำเดียวว่าดื่มสุราไปมาก ก็เลยลืมไปว่าโยนคนที่ข้าสั่งให้ยกน้ำแกงสร่างเมาไปให้ออกจากเรือน!”
“มีเรื่องพรรค์นี้ด้วยรึ” จิ้งอันโหวกะพริบตาปริบๆ
เสิ่นซื่อยิ้มเยาะในใจ เป็นเช่นนี้ตามเคย ทุกคราที่นางว่ากล่าวตำหนิเซ่าหมิงยวน ท่านโหวก็ทำไขสือเสมอ
เมื่อจิ้งอันโหวไต่ถามขึ้น สีหน้าของเซ่าหมิงยวนยังคงไม่แปรเปลี่ยน “ข้าดื่มสุราไปมาก จดจำอะไรไม่ใคร่ได้จริงๆ อาจจะนึกว่าเป็นศัตรูมาลอบโจมตีเลยจับโยนออกไปโดยไม่ทันคิดขอรับ”
“ไม่ทันคิด? นั่นเป็นศัตรูหรือ นั่นเป็นสาวน้อยบอบบางอ่อนแอนะ! จิตใจเจ้าต้องอำมหิตเพียงใดถึงกับลงมือหนักปานนี้ คนที่โดนโยนออกมาถึงกับลงจากเตียงไม่ได้อย่างน้อยครึ่งเดือน”
“ศัตรูไม่แบ่งชายหญิงขอรับ” เซ่าหมิงยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“ฮ่าๆๆ…” จิ้งอันโหวได้ยินถ้อยคำนี้แล้วหัวร่อเสียงดัง ยื่นมือไปตบไหล่บุตรชาย กล่าวอย่างอิ่มเอมใจ “บุตรชายข้าพูดได้ดี แม่ทัพที่แท้จริงผู้หนึ่งจะปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลได้อย่างไร ยามเผชิญหน้ากับศัตรูสมควรเป็นเช่นนี้!”
จิ้งอันโหวพยักหน้าหงึกหงัก เขาถอนใจยาวเหยียดแล้วเอ่ยว่า “ดังคำกล่าวว่าสีครามกลั่นจากต้นครามกลับเข้มเด่นกว่าต้นคราม หมิงยวน เจ้าเก่งกว่าพ่อ!”
“…” เสิ่นซื่อถึงกับนิ่งงันเพราะพูดคำใดไม่ออก และทุกครั้งในตอนนี้นางก็อยากจะจับเจ้าตัวบุตรชายมาเชือดก่อนแล้วค่อยเชือดเจ้าตัวบิดาอีกทีนัก
น่าโมโหจริงๆ!
“จริงสิ ฮูหยิน เมื่อวานเจ้าตามหมิงยวนมาพูดเรื่องอะไรหรือ”
เสิ่นซื่อยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบคำหนึ่งให้อารมณ์สงบลงถึงพูด “อ๋อ ข้าเห็นว่าใกล้จะแห่ศพเฉียวซื่อไปฝัง เลยหารือกับเขาว่าจะให้ชิวเกอเอ๋อร์ถือธงให้เฉียวซื่อ…”
“ทำเช่นนี้ได้เช่นไร” ไม่รอให้นางกล่าวจบ จิ้งอันโหวก็เปล่งเสียงตัดบท
ครั้นเห็นสายตาไม่พอใจของเสิ่นซื่อ จิ้งอันโหวกระแอมกระไอเบาๆ คราหนึ่งก่อนกล่าว “ข้าหมายความว่าหมิงยวนยังหนุ่มแน่น วันหน้าอย่างไรก็ต้องตบแต่งภรรยาใหม่และมีบุตรอีก ให้ชิวเกอเอ๋อร์ถือธงให้เฉียวซื่อ ไม่เหมาะๆ”
ให้ชิวเกอเอ๋อร์ถือธงเท่ากับรับเขาเป็นทายาทในนามของเฉียวซื่อ รอวันหน้าบุตรชายคนรองแต่งงานใหม่ สถานะของบุตรชายภรรยาคนที่สองจะเป็นเรื่องน่ากระอักกระอ่วนใจแล้ว
“ได้ พวกท่านสองพ่อลูกเออออตามกันดีนัก เป็นข้าที่แส่อยากหวังดีเอง” เสิ่นซื่อพูดเยาะหยันแล้วลุกขึ้น “ข้าควรไปสะสางงานได้แล้ว เชิญท่านโหวตามสบายเถอะ”
ยามนางเดินผ่านข้างกายเซ่าหมิงยวน แววปึ่งชาฉายชัดในดวงตา
เรื่องเมื่อวานนี้ทำไม่สำเร็จ เช้าวันนี้ยังจับผิดเขาไม่ได้อีก เจ้าลูกเนรคุณผู้นี้นับวันยิ่งเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกขึ้นทุกที
เสิ่นซื่อไปที่โถงรับรองสะสางการงานประจำวัน ผ่านไปไม่นานนักพวกผู้ดูแลงานต่างๆ ก็ทยอยมาถึง และรายงานการเบิกจ่ายใช้สอยทุกอย่าง
เสิ่นซื่อกวาดตามองรอบหนึ่งแล้วถามขึ้น “เหตุใดไม่เห็นผู้ดูแลเสิ่น”
พวกผู้ดูแลมองหน้ากันเลิ่กลั่ก สุดท้ายเป็นผู้ดูแลที่รับผิดชอบซื้อของเข้าจวนเอ่ยตอบ “เรียนฮูหยิน เมื่อวานข้าน้อยเห็นผู้ดูแลเสิ่นผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่แล้วออกจากจวนไปขอรับ”
มีคนได้ยินแล้วลอบหัวเราะ นึกในใจว่า ตาเฒ่าผู้นั้นต้องออกไปหาความสำราญเป็นแน่
เสิ่นซื่อสะกดความไม่พึงใจไว้ชั่วคราว “เอาล่ะ แยกย้ายกันไปเถอะ”
ขณะที่นางส่งคนไปตามหาผู้ดูแลเสิ่น ด้านเซ่าหมิงยวนกำลังฟังรายงานจากเซ่าจือ