หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 118
“ท่านแม่ทัพ เหลิ่งอี้บอกว่าอย่างมากวันพรุ่งนี้ก็จะถามเรื่องที่พึงถามออกมาได้แล้วขอรับ”
เซ่าหมิงยวนพยักหน้า เอ่ยสั่งเซ่าจือว่า “จัดกำลังองครักษ์เข้าจวนอีกสี่คนผลัดเวรกันเฝ้าเรือนพำนักข้า หลังจากนี้ผู้ใดเข้ามาอีก จับโยนออกไปให้หมด”
เซ่าจือได้ยินแล้วในใจเป็นทุกข์แทนท่านแม่ทัพอยู่บ้าง เขาขานรับทันที
ไม่ต้องรอถึงวันที่สอง เซ่าจือก็มาส่งข่าวว่าผู้ดูแลเสิ่นสารภาพแล้ว
“ท่านแม่ทัพ เจ้าคนสารเลวผู้นั้นสารภาพแล้วขอรับ”
“ว่ามา”
เซ่าจือลังเลครู่หนึ่ง เขาหักใจพูดไม่ได้
เซ่าหมิงยวนหัวเราะแผ่วๆ “ว่ามาเถอะ ข้าพอจะเดาได้แล้ว”
ความระทมหม่นหมองพุ่งขึ้นในใจเซ่าจืออย่างปราศจากเหตุผล เขาอ้าปากออก แต่ราวกับมีน้ำหนักนับพันชั่งกดทับตรงกลางอกทำให้รู้สึกจุกแน่นตรงลำคอ “เค้นถามได้ว่ามีคนผู้หนึ่งนามว่าเซี่ยอู่ เคยเป็นทหารเป่ยเจิง สามปีก่อนเขาได้รับบาดเจ็บเลยปลดประจำการจากกองทัพกลับเมืองหลวง เซี่ยอู่เป็นญาติผู้น้องของผู้ดูแลเสิ่น ตอนนั้นได้เข้าสู่ค่ายทหารก็เป็นผู้ดูแลเสิ่นที่ช่วยจัดการให้เอง เขาเป็นหนึ่งในผู้คุ้มกันของจวนจิ้งอันโหวที่อารักขาฮูหยินเดินทางขึ้นเหนือ แล้วก็เป็นเขานั่นเองที่ยกข้ออ้างว่าไปล่าสัตว์เพื่อเดินตัดผ่านลาดเขาไปที่เผ่าหุยส่งข่าวถึงชาวต๋าจื่อที่นั่น…”
เซ่าจือพูดถึงตรงนี้แล้วมองเซ่าหมิงยวนแวบหนึ่งอย่างเป็นห่วง “ท่านแม่ทัพ…”
“ผู้ดูแลเสิ่นสารภาพว่าใครเป็นผู้บงการเบื้องหลังหรือไม่”
เซ่าจือนิ่งเงียบไป
เซ่าหมิงยวนรอคอยเงียบๆ ทว่าไม่ได้รับคำตอบจากผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่จนแล้วจนรอด เขาหัวเราะเบาๆ “ข้าเข้าใจแล้ว”
เซ่าหมิงยวนเบือนศีรษะไปอีกทางแล้วใช้มือปิดปากไอทีหนึ่ง จากนั้นหันหน้ากลับมา “ว่าต่อสิ ตอนนี้เซี่ยอู่ผู้นั้นอยู่ที่ใด…”
เซ่าจือกลับหน้าเสียทันควัน “ท่านแม่ทัพ!”
“มีอะไรรึ” เซ่าหมิงยวนทำสีหน้าแววตาเรียบเฉย
เซ่าจือเบิกตากว้าง หนุ่มฉกรรจ์ที่อยู่กลางดงหอกดงดาบจนชาชินถึงกับตาแดงเรื่อ เขาต้องข่มกลั้นสุดชีวิตถึงไม่หลั่งน้ำตาออกมา ริมฝีปากเขาสั่นระริกยามยื่นมือไป “ท่านแม่ทัพ ท่าน…ท่านเช็ดก่อน…เลือดไหลแล้ว…”
เลือดไหล?
เซ่าหมิงยวนหลุบตามองฝ่ามือ
บนนิ้วมือที่เห็นข้อกระดูกชัดเจนและอุ้งมือที่หยาบกร้านผิวหนังแข็งเป็นแผ่นมีคราบสีแดงฉานสะดุดตาน่าตกใจปื้นหนึ่ง
เซ่าจือคุกเข่าลงดังตุบ เสี้ยวเวลานี้ชายชาตรีเลือดนักรบน้ำตาไหลพรากดุจสายฝน “ท่านแม่ทัพ ข้าทราบว่าท่านทุกข์ใจ แต่ท่านโปรดอย่าทำเช่นนี้กับตนเองเลย พวกข้าต้องการท่าน ราษฎรต้าเหลียงก็ต้องการท่านเช่นกัน”
เซ่าหมิงยวนล้วงผ้าเช็ดหน้าสีขาวสะอาดออกมาเช็ดมุมปาก เขาถีบเซ่าจือเบาๆ ทีหนึ่งก่อนพูดเสียงเรียบ “ลุกขึ้น เป็นบุรุษร้องห่มร้องไห้เช่นนี้ ไม่ขายหน้าหรือไร”
“ข้าไม่สนใจ ข้าไม่กลัวขายหน้า ข้าหวังเพียงว่าท่านแม่ทัพจะรักและถนอมตนเองด้วยขอรับ”
“ข้าไม่เป็นไร แค่เลือดลมตีกลับเท่านั้นเอง แต่ก่อนมีอาการบาดเจ็บอะไรบ้างที่ข้าไม่เคยเป็น ก็ไม่เห็นเจ้าตื่นตระหนกอย่างนี้”
“ข้า…” เซ่าจืออ้าปากแต่กล่าวคำใดไม่ออก นั่นเหมือนกันที่ใด แต่เขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่ง ในเวลานี้จะพูดอะไรได้เล่า
ให้ท่านแม่ทัพจับผู้บงการเบื้องหลังสมควรตายผู้นั้นมาสับเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยหรือ ทำไม่ได้น่ะสิ นั่นเป็นถึงมารดาบังเกิดเกล้าของท่านแม่ทัพ!
“พูดเรื่องสำคัญเถอะ เซี่ยอู่อยู่ที่ใด”
เซ่าจือก้มหน้าไม่มองสภาพของเซ่าหมิงยวนเสียเลย เขาพูดเสียงต่ำ “ผู้ดูแลเสิ่นสารภาพว่าหลังกลับถึงเมืองหลวงก็ส่งเซี่ยอู่ไปซ่อนตัวที่อื่น ข้าส่งคนไปตามหาเขาแล้ว นอกจากนี้จะขอคำบัญชาจากท่านแม่ทัพว่าสมควรจัดการกับผู้ดูแลเสิ่นอย่างไรดีขอรับ”
“ปล่อยเขากลับไป”
เซ่าจือเงยหน้าขวับ “ปล่อยกลับไป?”
เซ่าหมิงยวนผงกศีรษะเบาๆ
“ท่านแม่ทัพ เช่นนี้เจ้าสารเลวผู้นั้นก็สบายไปน่ะสิขอรับ พวกเราไม่อาจจัดการกับผู้บงการเบื้องหลังได้ แล้วยังสั่งสอนเจ้าคนบัดซบนั่นไม่ได้ด้วยหรือ” เซ่าจือพูดอย่างร้อนรนจบก็เสียใจภายหลังที่พลั้งวาจาไป
ในเมื่อท่านแม่ทัพบอกอย่างนี้แล้ว เขาปฏิบัติตามก็สิ้นเรื่อง ยังจะพูดจาส่งเดชทิ่มแทงใจท่านแม่ทัพอีกด้วยเหตุใด เขาเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ
“เซ่าจือ ความหมายของข้าคือปล่อยเขากลับไปเป็นผู้ดูแลเสิ่นของเขาตามเดิม”
“ท่านแม่ทัพ…” เซ่าจือฟังแล้วงุนงงมากขึ้น
“เจ้าให้เหลิ่งอี้บอกเขาว่ากลับไปทำหน้าที่ผู้ดูแลของเขาให้ดีๆ หากทำให้ผู้ใดสงสัยจนไม่ได้เป็นผู้ดูแลอีก เช่นนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่แล้ว”
หนนี้เซ่าจือเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง สายตาของเขาที่มองเซ่าหมิงยวนฉายแววเลื่อมใสศรัทธายิ่งขึ้น เขาประสานมือกล่าว “น้อมรับคำสั่งขอรับ”
ท่านแม่ทัพยังคงเป็นท่านแม่ทัพผู้กล้าหาญชาญฉลาดในใจเขา ต่อให้ท่านเสียใจถึงเพียงนี้ก็สามารถตัดสินใจเลือกทางที่เป็นผลดีมากที่สุดได้ดังเก่า
ยังไม่แตะต้องผู้ดูแลเสิ่นตอนนี้ แต่กุมความลับใหญ่ของเขาไว้ เท่ากับว่าต่อแต่นี้เป็นต้นไปความเคลื่อนไหวในจวนจิ้งอันโหวเกือบทั้งหมดก็จะตกอยู่ในการควบคุมของพวกเขาแล้ว
“ไปเถอะ รอตามหาเซี่ยอู่พบ รวบรวมพยานหลักฐานได้ครบทั้งหมดแล้วดูแลรักษาไว้ให้ดี อีกอย่างสืบทุกๆ เรื่องของเซี่ยอู่ตั้งแต่เล็กจนโตให้ข้าด้วย”
ถึงแม้มือมืดเบื้องหลังผู้นั้นเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน แต่จะประจวบเหมาะถึงขนาดเลือกเอาคนอย่างนั้นได้พอดีเช่นไร
เซ่าจือออกไปทำตามคำสั่งแล้ว เซ่าหมิงยวนรินน้ำอุ่นให้ตนเองถ้วยหนึ่ง เขาดื่มช้าๆ ชะล้างกลิ่นคาวเลือดในปาก จากนั้นเอนหลังพิงผนังห้องทรุดกายลงนั่งหลับตา
ท่านแม่…อยากให้ข้าตายใช่หรือไม่
ถ้าสิ่งที่ท่านแม่ต้องการคือชีวิตของข้า แล้วไยต้องทำร้ายคนอื่นด้วย!
อะ ไม่สิ นั่นมิใช่คนอื่น นั่นเป็นภรรยาคู่ชีวิตของข้าเซ่าหมิงยวน
ชายหนุ่มหลับตาลง แสงจันทร์สุกสกาวส่องลอดช่องหน้าต่างลายฉลุเข้ามาสาดกระทบใบหน้าของเขา ขับเน้นให้มันขาวจัดยิ่งกว่าหิมะบนเขาอาหลันที่แดนเหนือ
เขาพลันขบคิดได้กระจ่างก็เผยรอยยิ้มเยาะหยันตนเองอย่างสุดระงับ
ที่แท้สิ่งที่ท่านแม่ต้องการคือให้เขาตายทั้งเป็น
นี่คือความเป็นจริงที่แสนโหดร้ายเหลือเกิน
เลือดลมในกายพลุ่งพล่านขึ้นมาระลอกหนึ่ง เซ่าหมิงยวนยกมือวางทาบกลางอกสะกดเลือดลมที่ปั่นป่วนไว้
ในชั่วพริบตานั้น เขาอยากไปถามไล่เลียงโดยไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้นอย่างมาก แต่สุดท้ายยังคงล้มเลิกความคิดนั้น
ถามไล่เลียงแล้วจะทำอย่างไรต่อเล่า
เขาไม่อาจถืออาวุธเล็งไปที่มารดาของตนเอง บางทีจบชีวิตตนเองในดาบเดียวยังจะสบายกว่า
เซ่าหมิงยวนก้มหน้าลงยกสองมือขยุ้มผมตนเอง ความเย็นยะเยือกแผ่ลามจากภายในสู่ภายนอกจนหนาวเหน็บไปทั้งกาย
อากาศร้อนมากขึ้นทีละน้อย ในที่สุดวันแห่ศพนางในร่างเดิมไปฝังซึ่งเฉียวเจาตั้งตารอคอยอยู่ลับๆ ก็มาถึง
เอ่อ…คิดเช่นนี้ดูเหมือนจะแปลกประหลาดอยู่สักหน่อย
ทุกคราที่หญิงสาวคิดถึงตรงนี้จะอดหัวเราะไม่ได้ เยาะหยันในใจว่านับวันตนเองยิ่งเปิดใจกว้างมากขึ้น
วันนี้นางตื่นแต่เช้าตรู่ ดวงหน้าขาวเกลี้ยงเกลาไม่ทาเครื่องประทินโฉมใดๆ สวมเสื้อคลุมตัวบนสีเขียวไข่กาคู่กับกระโปรงผ้าทอนูนสีขาว ไม่ใส่เครื่องประดับใดๆ ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้ายกเว้นต่างหูไข่มุกขาวคู่เดียว
ตอนไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง นางกล่าวขึ้นว่า “ท่านย่า พรุ่งนี้เป็นวันที่ต้องไปอารามซูอิ่ง ข้าอยากไปเดินดูของที่ร้านหมึกพู่กัน หาซื้อของขวัญไปมอบให้ซือไท่เพื่อขอบคุณที่ท่านชี้แนะสั่งสอนข้าในช่วงที่ผ่านมานี้เจ้าค่ะ”
“ข้าได้ยินว่าข้าวของเครื่องใช้ของอู๋เหมยซือไท่ล้วนเป็นทางราชสำนักจัดส่งไปให้ หากน้องเจาอยากมอบของขวัญให้ท่านต้องทบทวนไตร่ตรองให้มากเป็นการดี” หลีเจี่ยวดูภายนอกคล้ายเอ่ยเตือนด้วยความเอาใจใส่ หากในใจกลับชิงชังเฉียวเจามากยิ่งขึ้น
ช่วงนี้สำนักศึกษาหญิงของจวนตะวันออกหยุดพักมาโดยตลอด เดิมทีที่นั่นตั้งขึ้นเพื่อคุณหนูรอง บัดนี้หลีเจียวไม่ย่างเท้าออกนอกเรือน มีทีท่าว่านับจากนี้จะถอนตัวจากแวดวงคุณหนูสูงศักดิ์ของเมืองหลวง ด้วยเหตุนี้ทางจวนตะวันออกจึงแทบจะไม่ให้ความสนใจกับเรื่องสำนักศึกษาหญิงเป็นธรรมดา
จะว่าไปแล้วทั้งหมดนี้มีต้นเหตุมาจากหลีซานเพียงผู้เดียว ถ้าไม่ใช่เพราะนางทำให้น้องเจียวต้องอับอายขายหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า นางจะไม่ได้ไปเล่าเรียนจนถึงตอนนี้ได้อย่างไร
กระนั้นคนที่สมควรได้รับบทเรียนที่สุดกลับสมดังใจไปเสียทุกเรื่อง นี่มันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
“ข้าแค่มีความตั้งใจจริงเท่านั้นเป็นพอ ไม่จำเป็นต้องทบทวนไตร่ตรอง” เฉียวเจากล่าวเสียงเอื่อยๆ
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งพยักหน้า “น้องเจาของเจ้าพูดถูก กับซือไท่ท่านนั้นมิจำเป็นต้องเจตนาประจบเอาใจ ตั้งใจเต็มที่ก็เพียงพอแล้ว เจาเจา ไปเถอะ รีบไปรีบกลับ”
หลีเจี่ยวแค่นหัวเราะอยู่ในใจ แต่สีหน้ากลับแย้มยิ้มอ่อนโยน “ท่านย่า ข้าจะไปเป็นเพื่อนน้องเจาเอง พอดีข้าอยากซื้อกระดาษเหมือนกันเจ้าค่ะ”