หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 119
หลีเจี่ยวพูดพลางดึงแขนเสื้อของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งพลางคลี่ยิ้มพริ้มพราย “พวกเราสองพี่น้องไปด้วยกัน ท่านย่าก็จะได้วางใจ ท่านว่าดีหรือไม่เจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งพยักหน้า ตั้งท่าจะบอกว่าดีก็ได้ยินเสียงราบเรียบเฉยเมยดังขึ้น “ไม่ดีเจ้าค่ะ”
หญิงชราอึ้งงันไป
หลีเจี่ยวคิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าเฉียวเจาจะปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมาถึงเพียงนี้ รูม่านตาของนางหดแคบลงยามมองดูอีกฝ่าย
ต่อหน้าท่านย่า หลีซานกล้าปฏิเสธเช่นนี้ได้อย่างไร หรือนางคิดจริงๆ ว่าได้รับความสนใจจากอู๋เหมยซือไท่ก็ยิ่งใหญ่คับฟ้าแล้ว
หลีเจี่ยวมองเฉียวเจา ขอบตาพลันแดงเรื่อขึ้น “ข้าคงทำอะไรบางอย่างให้น้องเจาไม่พอใจ น้องเจาจะบอกให้ข้ารู้เรื่องได้หรือไม่”
นางเบนสายตามองไปทางฮูหยินผู้เฒ่า น้ำตาคลอเปียกซึมขนตา
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งตบมือนางเบาๆ ตามความเคยชิน นางมองเฉียวเจาพลางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มดังเก่า “เจาเจาเอ๊ย ไฉนไม่เต็มใจออกไปซื้อของพร้อมกับพี่เจี่ยวของเจ้าเล่า พวกเจ้าไปด้วยกันสองคน จะได้มีเพื่อน”
สีหน้าของเฉียวเจานิ่งเฉยไม่เปลี่ยนแปลง ราวกับน้ำตาแห่งความน้อยใจของหลีเจี่ยวไม่อาจสั่นคลอนจิตใจนางได้แม้แต่น้อย “การเดินตลาดเดิมทีเป็นเรื่องเบิกบานสำราญใจ แต่ไปกับพี่เจี่ยว ข้ากลับรู้สึกผวากลัวไม่หายอย่างห้ามไม่อยู่เจ้าค่ะ”
“น้องเจา นี่เจ้าหมายความว่าอะไร”
เฉียวเจาเหลือบตาขึ้นประสานสายตากับหลีเจี่ยวอย่างเฉยเมย “หลายเดือนก่อนข้าออกไปข้างนอกพร้อมกับพี่เจี่ยว ผลปรากฏว่าถูกโจรค้าทาสล่อลวงไปน่ะสิ”
วันนี้นางออกจากเรือนเพื่อไปพบกับพี่ใหญ่ เรื่องสำคัญเฉกนี้จะพาคนที่ประสงค์ร้ายต่อนางอยู่แล้วผู้หนึ่งไปด้วยได้เช่นไร
ท่านปู่เคยกล่าวว่ายามที่ต้องเด็ดขาดแล้วไม่เด็ดขาด จะพบกับความวุ่นวายตามมาอย่างแน่นอน ฉะนั้นการฝึกปฏิเสธคนให้เป็นสำคัญกว่าที่ใครๆ คิดไว้
วันนี้แทนที่นางจะตอบตกลงออกไปข้างนอกกับหลีเจี่ยวที่แสร้งทำท่าเป็นพี่น้องกลมเกลียวกัน มิสู้ปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมาจะดีกว่า ถึงจะทำให้ท่านย่าไม่พึงใจ แต่ผลลัพธ์ต้องดีกว่าปล่อยให้อีกฝ่ายสร้างปัญหาให้นางเป็นอันมาก
หลีเจี่ยวได้ยินคำกล่าวของเฉียวเจาแล้วลอบแตกตื่น
นี่หลีซานหมายความว่าอะไร หรือคิดจะพูดต่อหน้าท่านย่าว่าข้าเป็นตัวการที่ทำให้นางถูกล่อลวงไปในวันเทศกาลกำเนิดบุปผานั่น? นางมีหลักฐานอะไร!
พอคิดไปถึงหลักฐาน หลีเจี่ยวก็สงบอกสงบใจลงได้ดังเดิม
ใช่แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่หลีซานจะมีหลักฐาน ข้าจะกลัวอะไร
“น้องเจา เจ้ากล่าวเช่นนี้ทำร้ายจิตใจกันเหลือเกิน ท่านย่า ท่านเห็นเจี่ยวเอ๋อร์มาตั้งแต่เล็กจนโต ข้าเป็นคนที่จิตใจชั่วร้ายดุจอสรพิษ เป็นต้นเหตุให้น้องสาวแท้ๆ ของตนเองถูกโจรค้าทาสล่อลวงไปอย่างนั้นหรือ…”
ก่อนที่ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งจะมีท่าทีอะไร เฉียวเจาก็ตัดบทหลีเจี่ยวด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ “ข้าไม่ได้พูดว่าพี่เจี่ยวเป็นต้นเหตุนะ ข้าเพียงบอกว่าวันนั้นข้าออกไปข้างนอกพร้อมกับพี่เจี่ยว ผลปรากฏว่าถูกโจรค้าทาสล่อลวงไป เรื่องนั้นได้กลายเป็นเงามืดในใจไปชั่วชีวิต ดังนั้นถ้าออกไปกับพี่เจี่ยวอีก ข้าจะอดคิดถึงมันไม่ได้ และเมื่อข้าคิดขึ้นมาก็ย่อมจะหวาดผวาเป็นธรรมดา แล้วจะเบิกบานสำราญใจได้เช่นไร”
มาตรว่าท่านย่าผู้นี้นับเป็นคนเข้าใจเหตุผลดี แต่สิบนิ้วยังมีสั้นยาว คนเราจะมีใจลำเอียงก็หาใช่เรื่องแปลกอันใด
หลีเจี่ยวกำพร้ามารดาแต่วัยเยาว์ แทบจะอยู่กับฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งจนเติบใหญ่ หญิงชราจะลำเอียงรักนางมากกว่าบ้างก็ช่วยมิได้
หากหลังจากหลีเจี่ยวกล่าวถ้อยคำนั้นแล้วปล่อยให้ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งแสดงท่าทีก่อน นางค่อยพูดประโยคนี้ก็จะสายไปแล้ว
ยามผู้อาวุโสส่วนใหญ่ทำพลาดต่อหน้าผู้เยาว์ มีน้อยคนนักจะเต็มใจยอมรับ อีกทั้งเพื่อพิสูจน์ว่าตกเป็นฝ่ายถูกยังจะให้ผู้เยาว์ทำตามการตัดสินใจของตน
สมดังคาดเพราะเฉียวเจาเอ่ยปากขึ้นก่อน ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งยกมือที่วางทาบบนมือหลีเจี่ยวในทีแรกขึ้นแล้วตบหัวไหล่เฉียวเจาเบาๆ “เจาเจา เรื่องที่ผ่านไปแล้วอย่าคิดมากอีกเลยนะ ในเมื่อเจ้ารู้สึกอึดอัดใจ เช่นนั้นก็ไปคนเดียวเถอะ”
เฉียวเจาคลี่ยิ้มบางๆ สีหน้าอ่อนหวานไร้เดียงสาเฉกสาวน้อยปรากฏขึ้นอีกครา “ข้าขอบคุณท่านย่าอย่างมากเจ้าค่ะ”
พอเห็นหลานสาวตัวน้อยปีติยินดีจากใจจริง หญิงชราพลันรู้สึกว่าตนเองตัดสินใจได้ถูกต้อง นางกล่าวด้วยรอยยิ้มอิ่มเอมใจ “ไปเถอะ”
หลีเจี่ยวมองดูเฉียวเจาออกไปอย่างสดใสร่าเริงต่อหน้าต่อตา ปลายเล็บของนางแทบจะจิกเข้าเนื้อกลางอุ้งมือ
เกิดอะไรขึ้นกับหลีซานกันแน่ เหตุใดคล้ายฉลาดขึ้นในชั่วข้ามคืนก็ไม่ปาน ในกาลก่อนเป็นคนอื่นล่อหลอกนางให้ติดกับได้ไม่เคยพลาด ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นนางล่อหลอกคนอื่นให้ติดกับได้ไม่เคยพลาดเสียแล้ว
เมื่อครู่โดนหลีซานพูดยอกย้อนเช่นนั้น คำกล่าวของนางกลับกลายเป็นฟังดูร้อนตัว
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งมองหลีเจี่ยวแวบหนึ่ง “เจี่ยวเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องคิดมากไปนะ ถึงเดินชมตลาดเป็นเรื่องสนุกสนานอย่างหนึ่ง แต่ฝืนใจไปด้วยกันนั้นไม่เป็นการดีจริงๆ เจ้าต้องเห็นอกเห็นใจว่าน้องเจาของเจ้ามีปมในใจอยู่…”
คุณหนูใหญ่สกุลหลีผู้วางตัวอ่อนโยนเป็นกุลสตรีต่อหน้าผู้คนเสมอเกือบกลอกตาขึ้น
ที่แท้หลีซานถูกล่อลวงไปครั้งเดียวกลายเป็นดั่งตุ๊กตาแก้วใสแสนเปราะบางไปเสียแล้ว ไม่อาจโดนกระทบกระแทกสักน้อยนิด รู้แต่แรกให้นางถูกล่อลวงไปเองก็สิ้นเรื่อง
แน่นอนว่าถ้อยคำนี้จะพูดออกมาไม่ได้ หลีเจี่ยวสงบอารมณ์ลงแล้วเม้มปากกล่าว “ข้าอยากไปซื้อของจริงๆ เจ้าค่ะ แต่ในเมื่อน้องเจาไม่เต็มใจไปกับข้า เช่นนั้นข้าไปเองก็ได้เจ้าค่ะ”
“ไปเถอะๆ อีกสักพักอากาศจะร้อนเกินไปแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาเหมาะแก่การเดินชมตลาดพอดี”
เฉียวเจาออกจากเรือนแล้วไม่ได้นั่งรถม้าของจวนสกุลหลี แต่สั่งให้ปิงลวี่ว่าจ้างรถม้าคันหนึ่งตรงไปที่ร้านหมึกพู่กันเลือกซื้อหมึกจิ้งเยียน* ชั้นดีหนึ่งแท่งเรียบร้อยก่อนจะรุดไปที่จวนจิ้งอันโหว
รถม้าแล่นไปได้ครึ่งทางก็เจอกับฝูงชนเนืองแน่นล้นหลามขวางอยู่ด้านหน้าจนไปต่อไม่ได้ เฉียวเจาจึงพาสาวใช้สองคนลงรถม้าแล้วเดินเท้าต่อ
จะงานมงคลหรืองานอวมงคล ชาวบ้านชาวเมืองล้วนชอบชมความครึกครื้น ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงพิธีแห่ศพของฮูหยินกวนจวินโหวไปฝังซึ่งมีแขกเหรื่อมาร่วมงานเหลือคณานับ มิใช่ทายาทเชื้อพระวงศ์ คุณชายสูงศักดิ์ ก็เป็นขุนนางบุญหนักศักดิ์ใหญ่ รถม้ากับเกี้ยวจอดต่อๆ ไปจากหน้าจวนจิ้งอันโหวเป็นแถวยาวเหยียดไกลหลายลี้ ดึงความสนใจให้ผู้คนมามุงดูก็หาใช่เรื่องน่าแปลกอันใด
เฉียวเจาเดินมุ่งหน้าไปเรื่อยๆ ผ่านเพิงเสาสูงประดับผ้าหลากสีที่ต่อขึ้นชั่วคราวเรียงรายกันไปตลอดทาง ข้างหูเป็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความตื่นเต้นของเหล่าราษฎร ยังมีพ่อค้าเร่มากมายที่ฉวยจังหวะเดินเร่ขายของจำพวกเมล็ดแตงที่เหมาะกับการชมความครึกครื้นมากที่สุด ประหนึ่งว่าพิธีศพครั้งนี้เป็นงานรื่นเริงที่คนทั้งเมืองแห่กันออกมาร่วมเฉลิมฉลอง และหลังจากนี้จะต้องกลายเป็นเรื่องโจษจันกันในวงน้ำชายามว่างของชาวเมืองหลวงไปอีกนาน
ส่วนนางก็คือตัวเอกของเรื่องนั้นหรือนี่
“มาแล้วๆ” กลางหมู่คนเกิดความวุ่นวายชุลมุนระลอกหนึ่ง
ขบวนแห่ศพอย่างใหญ่โตเอิกเกริกเคลื่อนมาจากทางทิศเหนือ เป็นสีขาวโพลนผืนใหญ่สุดลูกหูลูกตาละม้ายหิมะเกล็ดใหญ่ๆ ปลิวว่อนอยู่ใต้ดวงตะวันแจ่มจ้ากลางฟ้า
มีคนไม่น้อยอุทานขึ้น “ดูเร็วเข้า กวนจวินโหวเป็นคนถือธงเองด้วย!”
ฝูงชนเขย่งส้นเท้ายื้อแย่งกันดูยกใหญ่
เฉียวเจาไม่สนใจอะไรแล้ว นางแทรกตัวไปอยู่แถวหน้าสุด
“คุณหนู คุณหนูระวังนะเจ้าคะ” ปิงลวี่ดันคนที่อยู่ใกล้ๆ เฉียวเจาออกไปด้านข้างไม่หยุด นางร้อนใจจนหน้าซีดเผือด
นี่คุณหนูเป็นอะไรไป ความสุขุมเยือกเย็นในยามปกติหายไปที่ใดหมด เพื่อจะดูกวนจวินโหวก็ทุ่มสุดตัวเกินไปแล้ว!
ใบหน้าของอาจูอาจไม่เผยแววร้อนรน แต่นางตามประกบติดเฉียวเจาคอยคุ้มครองโดยไม่กล้าว่อกแว่กสักนิด
ทว่าชั่วขณะนี้เฉียวเจาไม่คำนึงถึงสิ่งใดทั้งสิ้น นางเขม้นตามองขบวนแห่ศพซึ่งเคลื่อนจากที่ไกลเข้ามาใกล้ขึ้นๆ อย่างเนิบช้า ไม่ว่าท่านแม่ทัพหนุ่มที่ถือธง รวมถึงสหายรักของเขาอย่างฉือชั่นและจูเยี่ยนที่มาร่วมพิธี ยังมีเซ่าซียวนน้องชายสามีที่เข้ากันได้ไม่เลว จะเป็นใบหน้าที่คุ้นเคยหรือแปลกตาล้วนไม่อาจผ่านเข้าสู่คลองจักษุของแม่นางเฉียวได้เลย
ด้วยสายตาของนางจับจ้องอยู่ที่คนผู้เดียวอย่างไม่คลาดคลาตลอด
คนผู้นั้นมีเรือนกายสูงเพรียวดุจต้นสนดั่งต้นไผ่ ยามมองจากไกลๆ เพียงรู้สึกว่าสง่าผ่าเผยไม่เป็นสองรองใคร แต่เมื่อเขาเดินมาใกล้ก็จะเห็นว่าดวงหน้าหล่อเหลาที่พึงแจ่มกระจ่างปานแสงจันทร์นั้นถูกทำลายไปซีกหนึ่งอย่างไร้ความปรานี
ฝั่งที่เฉียวเจายืนอยู่มองเห็นใบหน้าซีกที่เสียโฉมไปของเฉียวโม่ได้ชัดเจนแจ่มแจ้งพอดี
ตอนถูกชาวต๋าจื่อผู้โหดเหี้ยมชั่วช้าลักพาตัวไป แม่นางเฉียวมิได้ร่ำไห้
ตอนถูกสามีซึ่งตนจับเจ่าเฝ้ารอนานนับสองปีปลิดชีพด้วยธนูดอกเดียว แม่นางเฉียวก็มิได้ร่ำไห้
ตอนลืมตาฟื้นขึ้นอีกครั้งต้องเผชิญกับเสียงหัวเราะเยาะและคำประณามว่ากล่าวของบรรดาคนนานาประเภท แม่นางเฉียวยิ่งมิได้ร่ำไห้
แต่เสี้ยวเวลานี้ เฉียวเจายกมือขึ้นปิดตากะทันหัน
น้ำตาไหลรินลงมา
* หมึกจิ้งเยียน เป็นชนิดหนึ่งของหมึกฮุยซึ่งเป็นหมึกคุณภาพดีจากเมืองหวงซานแคว้นอันฮุย จุดเด่นคือสีดำสวยสม่ำเสมอ ติดกระดาษนาน ไม่เหนียวติดพู่กัน และกลิ่นหอมมาก แบ่งเป็นชีเยียน (เก็บรักษาได้นาน) อิ๋วเยียน (สีหมึกเป็นมันเงาเหมาะแก่การวาดภาพเขียนอักษร) เฉวียนเยียน (นิยมใช้คู่กับอิ๋วเยียน) จิ้งเยียน (เหมาะกับงานทุกประเภท) และซงเยียน (ละลายน้ำได้ง่ายเหมาะกับการวาดรายละเอียดของภาพเหมือนคน)