หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 120
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขรมอยู่ริมใบหู
“พวกเจ้าดูสิ คนผู้นั้นเป็นใครกัน ไฉนน่ากลัวเฉกภูตผี”
“คนผู้นั้นต้องเป็นคุณชายสกุลเฉียวที่เสียโฉมไปแล้วเป็นแน่”
“คุณชายสกุลเฉียว? จุๆ เขาคือบุรุษหน้าหยกสกุลเฉียวที่ได้รับขนานนามว่าเป็นหนุ่มรูปงามคู่กับคุณชายฉือชั่นของวังองค์หญิงใหญ่เมื่อสองปีที่แล้วน่ะหรือ”
“เขานั่นเอง”
“เฮ้อ…คุณชายเฉียวเสียโฉมไปแล้ว เหตุใดไม่ปิดหน้าไว้สักหน่อยนะ”
“ใครจะไปรู้เล่า จุๆ ดูแล้วน่ากลัวจริงๆ”
เสียงซุบซิบนินทาเหล่านั้นดังอื้ออึงเซ็งแซ่สุดจะเปรียบ ราวกับมีฝูงแมลงวันนับไม่ถ้วนบินฉวัดเฉวียนอยู่ข้างหู
เฉียวเจารู้สึกวิงเวียนตาลายอยู่บ้าง แต่นางเหยียดแผ่นหลังตรงแล้วลดมือลง
พี่ชายของนางเสียโฉมแล้วทว่าไม่ได้กระทำเรื่องน่าอัปยศอันใด คนชั่วที่จิตใจโสมมก่อกรรมทำเข็ญพวกนั้นยังไม่กลัวที่จะสู้หน้าใคร แล้วเพราะอะไรพี่ชายนางต้องกลัว
ไม่ว่านางหรือพี่ชายไม่เคยประพฤติตนเยี่ยงเต่าหดหัวในกระดอง
เฉียวเจามองตามเฉียวโม่จนตาลอย ฝีเท้าก็เคลื่อนไปตามจังหวะก้าวเดินของเขา
“นี่ แม่นางน้อย ไฉนไม่มองทางเล่า”
ชายหนุ่มแววตาหลุกหลิกผู้หนึ่งยื่นมือมาจับข้อมือนาง
ปิงลวี่ตกใจยกใหญ่ ตวาดเสียงดุดัน “ปล่อยคุณหนูของข้านะ!”
สาวใช้น้อยพูดพร้อมเงื้อเท้าเตะกลางหว่างขาชายหนุ่ม
ต่อจากนั้นเขาก็ร้องเสียงโหยหวนดังก้องฟ้า ตัวงอล้มกลิ้งไปตรงกลางถนน เป็นเหตุให้เสียงบรรเลงดนตรีประกอบพิธีแห่ศพเงียบลง
เซ่าหมิงยวนชะงักฝีเท้า มองไปยังทิศทางที่เกิดเหตุขึ้นทันควันตามสัญชาตญาณจากการทำศึกมานานปี สายตาเขาก็ปะทะเข้ากับดวงตาที่มีน้ำตาคลอเบ้าคู่หนึ่ง
เขานิ่งขึงไปอย่างสุดระงับ
พักนี้ดูเหมือนจะได้พบคุณหนูหลีผู้นี้บ่อยๆ
มีคนของจวนจิ้งอันโหวเข้าไปลากตัวชายหนุ่มเคราะห์ร้ายออกไปอย่างว่องไว เสียงดนตรีเศร้าอาดูรดังขึ้นอีกครา ขบวนแห่ศพก็เคลื่อนหน้าต่อไป
ชั่วขณะนั้นเฉียวเจามิได้สังเกตเห็นสายตาที่มองมาของเซ่าหมิงยวน เพราะนางจับจ้องมองตามเฉียวโม่ไม่ละสายตาอย่างประหม่าแกมวาดหวัง ทว่าพี่ชายนางไม่หันหน้ามาอยู่จนแล้วจนรอด
เฉียวเจาพลันรู้สึกน้อยใจมาก พาให้น้ำตาไหลพรากๆ
เซ่าหมิงยวนดึงสายตาคืนอย่างกระดากใจ
ด้านเจียงหย่วนเฉาที่ติดตามขบวนแห่ศพมาตลอดอย่างลับๆ ทำสีหน้าครุ่นคิด ดวงตาเขาทอประกายไหววูบ
แม่นางน้อยผู้นั้นมามุงดูเช่นกันหรือ
นางร้องไห้ด้วยเหตุใด
สายตาของนาง…
เจียงหย่วนเฉาเอียงคอมองขบวนแห่
ไม่ได้มองที่กวนจวินโหว นางกำลังมอง…
เจียงหย่วนเฉามองตามสายตาของนางไปแล้วก็ได้คำตอบว่า นางมองเฉียวโม่อยู่!
บุตรสาวของอาลักษณ์ชั้นผู้น้อยในสำนักราชบัณฑิตจ้องมองคุณชายสกุลเฉียวที่เสียโฉมอย่างไม่วางตา
เจียงหย่วนเฉารู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าไม่ใคร่ชอบมาพากล แต่ในวันเช่นนี้เขาไม่มีแก่ใจอะไรจะขบคิดลึกไปถึงต้นสายปลายเหตุ เพียงเหยียดมุมปากดึงสายตาคืนอย่างเฉยชา
หยางโฮ่วเฉิงที่อยู่ในขบวนยื่นหน้าไปที่ข้างหูฉือชั่น กระซิบบอกว่า “เมื่อครู่ดูเหมือนข้าเห็นคุณหนูหลีอยู่ในกลุ่มคนด้วย”
“อย่างนั้นหรือ” ฉือชั่นเหลือบซ้ายแลขวาอย่างอดใจไม่อยู่
“ทางนั้นๆ พวกเจ้ารีบดูสิ คุณหนูหลีตามพวกเรามาด้วย” หยางโฮ่วเฉิงแอบชี้ให้ฉือชั่นกับจูเยี่ยนดู
แต่เขาเป็นฝ่ายอึ้งงันไปก่อน “คุณหนูหลีร้องไห้แล้ว”
ฉือชั่นหันขวับไปมอง
สองข้างทางเต็มไปด้วยชาวบ้านที่ยืนมุงดูกันคึกคัก คนส่วนใหญ่ล้วนเดินตามขบวนแห่มา
เด็กสาวที่อยู่ด้านหน้าสุดละม้ายเรือเล็กลำหนึ่งลอยล่องไปตามคลื่นฝูงชน นางสวมอาภรณ์แสนเรียบง่ายเหมือนๆ กับคนในขบวนแห่ยาวเหยียดนี้
ฉือชั่นรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างไร้สาเหตุ เรียวคิ้วได้รูปมุ่นเข้าหากัน
นางเป็นอะไรไป จู่ๆ ร้องไห้เพราะเหตุใด นิสัยอย่างนางไม่คล้ายคนที่เดินเตร็ดเตร่ตามขบวนแห่ศพเพื่อมุงดู
อีกประการหนึ่ง ดีชั่วนางก็นับเป็นบุตรสาวในตระกูลใหญ่ เช่นนี้เข้าท่าหรือ ไม่กลัวถูกโจรล่อลวงไปอีก หรือโดนพวกอันธพาลนอกลู่นอกทางลวนลามเอาใช่หรือไม่
ฉือชั่นเม้มริมฝีปากแดงเข้มจนแน่น ดึงสายตาคืนอย่างเคืองโกรธ แต่ไม่ถึงชั่วอึดใจก็อดมองไปอีกไม่ได้ เขาทำเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนสุดท้ายแน่ใจว่าเฉียวเจาตามพวกตนมาจริงๆ
ขบวนแห่ศพค่อยๆ เข้าใกล้ประตูเมืองทีละน้อยก็เคลื่อนช้าลงอีก เพราะต้องผ่านออกไปทางนี้ ดูคล้ายมังกรยักษ์สีขาวเงินตัวหนึ่งหมอบอยู่ตรงนั้นนิ่งๆ โดยไม่ขยับเขยื้อน
ฉือชั่นบอกกับจูเยี่ยนและหยางโฮ่วเฉิงเสียงเบาๆ “ข้าจะไปทางนั้นสักหน่อย”
“สือซี…” จูเยี่ยนอดเรียกเขาไว้ไม่ได้
ฉือชั่นเหลียวหน้ามา
“ข้ารู้สึกว่าคุณหนูหลีไม่ได้ตามพวกเรามานะ”
ฉือชั่นฟังแล้วยิ่งไม่สบอารมณ์ พูดเสียงเยาะๆ “ข้าจะลองถามดู”
เขาผละจากสหายรักทั้งสองเดินออกนอกขบวนไปตรงหน้าเฉียวเจา
คนมุงดูอยู่มากมายจนแทบจะปนเปไปกับขบวนแห่ศพ ด้านหน้าเด็กสาวมีคนเบียดเสียดผ่านไปเป็นระยะๆ ขณะที่นึกว่ามีคนบังสายตาตน แม่นางเฉียวซึ่งจ้องมองพี่ชายของตนอย่างจดจ่อจึงขยับตัวไปด้านข้างทันทีทันใด
ฉือชั่น “…” แม่นางน้อยตัวดีผู้นี้มองไม่เห็นข้าสักนิด?
“คุณหนู…” ปิงลวี่กับอาจูกระตุกแขนเสื้อผู้เป็นนายเป็นเชิงเตือนพร้อมกัน ทว่าคนหนึ่งตื่นเต้น คนหนึ่งเยือกเย็น
เฉียวเจารู้ตัวแล้ว นางเอ่ยถามด้วยสุ้มเสียงอ่อนนุ่มติดจะแหบพร่าเพราะผ่านการร้องไห้มา “พี่ฉือ ท่านอยู่ที่นี่ได้อย่างไรเจ้าคะ”
“ถ้าข้าบอกว่าข้าอยู่ที่นี่ตลอด เจ้าเชื่อหรือไม่” คุณชายฉือทำหน้าบึ้งถามอย่างอดกลั้น
เฉียวเจานิ่งเงียบ นางไม่ได้สังเกต
นี่เป็นคราครั้งแรกที่คุณชายฉือได้สัมผัสกับความรู้สึกที่ถูกคนมองข้ามโดยสิ้นเชิงเช่นนี้ เขาเลิกคิ้วขึ้นไต่ถาม “เจ้ามามุงดูพิธีพวกนี้ด้วยเหตุใด”
“ข้าออกมาซื้อของแล้วพบเจอโดยบังเอิญ การมุงดูมิใช่วิสัยของปุถุชนหรือเจ้าคะ พี่ฉือเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ”
“…” ฉือชั่นข่มอารมณ์ชั่ววูบที่อยากเตะแม่นางน้อยตัวเหม็นตรงหน้าให้ลอยกระเด็นไปเอาไว้ พูดเสียงลอดไรฟัน “ย่อมต้องไม่เหมือนกัน ข้ามาร่วมพิธีแห่ศพ!”
เฉียวเจาอึ้งไป นางเลินเล่อไปแล้ว อันว่าวาจาจะกล่าวส่งเดชไม่ได้จริงๆ
“แล้วเจ้ามองใครอยู่รึ” ฉือชั่นหันศีรษะไปมองขบวนแห่ยาวเหยียดปราดหนึ่ง แววตามึนตึงขึ้น “กวนจวินโหว?”
เขาแค่นหัวเราะก่อนพูดเสียงต่ำ “หลีซาน ข้าขอเตือนให้เจ้าถอดใจเสีย เท่าที่ข้ารู้จักเซ่าหมิงยวนมา เขาไม่มีทางยอมตบแต่งภรรยาภายในเร็ววันนี้ เกรงว่าเจ้ายังไม่รู้กระมังว่าเขาตั้งใจกราบทูลฮ่องเต้ขอลาราชการหนึ่งปีเพื่อไว้ทุกข์ให้ภรรยาที่ล่วงลับไป”
เฉียวเจาเห็นพี่ชายที่เสียโฉมก็ปวดใจและเป็นทุกข์จนอารมณ์ไม่สงบอยู่แต่แรก ครั้นได้ยินฉือชั่นกล่าวคำนี้ นางไม่อาจทำใจเย็นได้อีก จึงกล่าวขึ้นอย่างเฉยเมยว่า “กวนจวินโหวเป็นอย่างไรมิใช่กงการอะไรของข้า แล้วข้าจะมองใครนั้นก็ดูเหมือนมิใช่กงการอะไรของพี่ฉือนะ”
“ได้ เป็นข้ายุ่งไม่เข้าเรื่องเอง เช่นนั้นเจ้าก็ตามไปเถอะ พอพลาดหวังคงยังจะมีคนยุ่งไม่เข้าเรื่องช่วยเจ้าอีกสิ!” ฉือชั่นพูดประโยคนี้ทิ้งท้ายไว้แล้วสะบัดแขนเสื้อจากไป
เฉียวเจาเม้มปาก ดูเหมือนนางจะเสียมารยาทไปบ้าง แต่ในเวลานี้นางหมดแก่ใจจะล่อหลอกคนหัวดื้ออย่างคุณชายฉือจริงๆ
ฉือชั่นกลับเข้าขบวนด้วยสีหน้าขุ่นมัวเต็มที่
“เป็นอะไรไป” จูเยี่ยนเอ่ยถาม
ฉือชั่นยิ้มเยาะ “ข้ามันยุ่งไม่เข้าเรื่องเอง! พวกเจ้าฟังไว้นะ วันหน้าต่อให้แม่นางน้อยผู้นั้นถูกสุนัขป่าคาบไป ถ้าข้ากะพริบตาอีกสักครั้งก็ไม่ได้แซ่ฉือ”
“เช่นนั้นเจ้าคิดจะแซ่อะไรหรือ” หยางโฮ่วเฉิงถามโดยไม่ทันคิด
จูเยี่ยนยื่นมือตบไหล่ฉือชั่นเบาๆ พลางพูดปลอบแบบขอไปทีอย่างชัดเจน “เอาน่า ในงานอย่างนี้อย่ามีน้ำโหไปเลย วันหน้าพวกเราตัดไมตรีกับคุณหนูหลีเสีย พอใจแล้วกระมัง”
ไฟโทสะที่สุมอยู่เต็มอกฉือชั่นดับมอดไปโดยพลัน เจ้าบัดซบสองคนนี้หมายความว่าอะไรกันแน่
ขบวนแห่ศพเคลื่อนไปอย่างเอื่อยเฉื่อย เฉียวเจาเบนสายตาจากพวกฉือชั่นสามคนกลับไปมองที่เฉียวโม่อีกครา
ไม่รู้ว่าสวรรค์เมตตาหรือเป็นความบังเอิญแต่ประการเดียว เฉียวโม่ตวัดสายตามองมาทางนี้โดยไม่ตั้งใจในที่สุด
ชั่วอึดใจที่สบตากับพี่ชายของตน เฉียวเจานิ่งงันอยู่กับที่น้ำตาหลั่งรินอย่างไร้สุ้มเสียง
จากนั้นมีคนผู้หนึ่งยื่นมือมาดึงตัวนางเข้าไปกลางฝูงชน