หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 124
หมอเทวดาหลี่เห็นเฉียวโม่ทำท่าราวกับครุ่นคิดอะไรอยู่ ก็พูดกำชับขึ้นว่า “พักฟื้นให้มากๆ อายุยังน้อยอย่าคิดเยอะเกินไป”
“ข้าทราบแล้วขอรับ”
หมอเทวดาหลี่ลุกออกไป ก็พบเซ่าหมิงยวนรออยู่ในโถง
“ท่านหมอเทวดา พี่ชายภรรยาข้าเป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
“ไม่เป็นอะไรมาก ส่งเขากลับเรือนไปพักผ่อนให้มากๆ ก็พอ”
“เป็นเช่นนั้นก็ดีขอรับ” เซ่าหมิงยวนโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด มุมปากมีรอยยิ้มผุดขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เขามีรูปโฉมหล่อเหลาคมคาย อุปนิสัยเปิดเผยใจกว้าง พาให้รอยยิ้มสดใสกระจ่างดุจแสงจันทร์ดั่งสายน้ำ
หมอเทวดาเห็นแล้วสองจิตสองใจเล็กน้อยถึงเอ่ยถามอย่างตะขิดตะขวง “เจ้าให้หมอมาตรวจอาการหรือยัง”
“ยังขอรับ ก่อนหน้านี้ข้าไม่ทราบว่าพี่เฉียวโม่จะสุขภาพอ่อนแอเช่นนี้ โชคดีที่มีท่านอยู่”
“ไม่ใช่ ข้าหมายความว่าตัวเจ้าเองน่ะให้หมอตรวจอาการหรือยัง”
เจ้าคนโง่ผู้นี้!
เซ่าหมิงยวนอึ้งไปเล็กน้อย เขานิ่งเงียบครู่หนึ่งก่อนกล่าวยิ้มๆ “เคยให้หมอตรวจดูตอนอยู่ในค่ายทหารขอรับ”
“หมอว่าอย่างไรบ้าง”
“หมอบอกว่าหมดปัญญาขอรับ”
“แล้วเจ้าตั้งใจจะทำเช่นไร” หมอเทวดาหลี่มองเซ่าหมิงยวนทางหางตา
ขอร้องข้าสิ ขอร้องข้าดีๆ ถ้าข้าอารมณ์ดี บางทีอาจจะเปลี่ยนใจก็ได้
“ตอนนี้ยังทนไหวขอรับ ถ้ามีวาสนาได้พบหมอชื่อดังที่ขับพิษเย็นได้ก็จะเป็นการดีที่สุด หากไม่ได้พบ ข้าก็ไม่แข็งขืนขอรับ” เซ่าหมิงยวนพูดอย่างไม่สะทกสะท้าน
ถ้ามีวาสนาได้พบหมอชื่อดัง?
มุมปากของหมอเทวดาหลี่กระตุกริก
เจ้าหนุ่มนี่ตาบอดหรือไร ยังมีหมอชื่อดังคนใดที่มีชื่อเสียงมากกว่าข้าอีก
ช่างน่าโมโหนัก เพราะข้าบอกว่ารักษาแค่คนเดียว เจ้าหนุ่มนี่ก็ไม่รู้จักพูดอ้อนวอนสองสามคำใช่หรือไม่ ฮึ…อย่างนั้นรอข้ากลับมาค่อยว่ากันอีกทีเถอะ
ถึงอย่างไรก็ยังไม่ตายในชั่วประเดี๋ยวประด๋าว!
“จริงสิ ข้าตั้งใจจะออกจากเมืองหลวง อาการแผลไฟไหม้บนใบหน้าของเฉียวโม่สาหัสมาก ข้าจำเป็นต้องไปเสาะหาตัวยาที่ชายทะเลแดนใต้”
ชายหนุ่มได้ยินหมอเทวดากล่าววาจานี้แล้วไม่พูดมากอีก เขาบอกทันทีว่า “เช่นนั้นข้าจะจัดเตรียมคนคอยอารักขาท่านหมอเทวดาเดี๋ยวนี้เลยขอรับ”
หมอเทวดาหลี่เกลียดชังเป็นที่สุดเวลาคนอื่นออกความเห็นเรื่องการรักษาโรค เขาเห็นเซ่าหมิงยวนเด็ดขาดฉับไวเฉกนี้ก็พลันถูกชะตากับเขาหลายส่วน ถึงกับรำพึงในใจว่า ผู้รบทัพจับศึกกระทำการใดตรงไปตรงมาจริงๆ ไม่เหมือนพวกผู้สูงศักดิ์กับขุนนางฝ่ายบุ๋นเหล่านั้นที่มัวแต่พูดพล่ามพิรี้พิไรอยู่ร่ำไป
“ข้าไม่ต้องการให้มีคนติดตามหลายคน วุ่นวายเกินไป เอาอย่างนี้เถอะ ให้เยี่ยลั่วตามข้าไป เพิ่มสารถีรถม้าที่วิชายุทธ์ดี ว่ายน้ำเก่ง และนิสัยดีอีกหนึ่งคนก็พอ ขอเท่านี้ไม่มากกระมัง”
“ไม่มากขอรับ…ไม่ทราบว่าที่ท่านหมอเทวดาบอกว่านิสัยดีนี้หมายถึงอะไร”
วิชายุทธ์ดี ว่ายน้ำเก่ง คุณสมบัติเช่นนี้อาจหาได้ไม่ง่ายในเมืองหลวง แต่ในกองทัพเขากลับมีอยู่ไม่น้อย แค่ว่า ‘นิสัยดี’ นี้ถามให้แน่ชัดเป็นการดี
หมอเทวดาลูบเครา “นิสัยดีน่ะหรือ…พูดน้อยทำมาก ข้าบอกให้ไปทางซ้าย เขาจะไปทางขวาไม่ได้ แล้วก็อย่ายืนนิ่งเป็นท่อนไม้ทั้งวันเหมือนเยี่ยลั่วเท่านั้นเป็นพอ”
“ได้ขอรับ” เซ่าหมิงยวนอมยิ้มมองเยี่ยลั่วที่ตามติดอยู่ด้านหลังหมอเทวดาปราดหนึ่ง
เยี่ยลั่วทำหน้าคับใจ ท่านแม่ทัพ ข้าไม่อยากไปแดนใต้กับหมอเทวดานิสัยประหลาดผู้นี้นะ!
“เยี่ยลั่ว หลังจากนี้ต้องคุ้มครองความปลอดภัยของท่านหมอเทวดาให้ดี เข้าใจหรือไม่”
ท่านแม่ทัพหนุ่มตวัดสายตามองไปด้วยแววตาเรียบเฉย องครักษ์ชั้นผู้น้อยที่คับข้องเต็มอกก้มหน้าลงทันที “ขอรับ ท่านแม่ทัพโปรดวางใจได้ ข้าสาบานว่าจะคุ้มครองความปลอดภัยของท่านหมอเทวดาจนตัวตาย”
“พอแล้วๆ ทำอย่างกับข้าจะไปถ้ำเสือแดนมังกรกระนั้น จริงสิ ข้ายังอยากฝากฝังอีกเรื่องหนึ่ง”
“ท่านหมอเทวดาเชิญกล่าว”
“หลานสาวบุญธรรมของข้า เจ้ารู้จักกระมัง”
เซ่าหมิงยวนนิ่งขึงไปชั่วอึดใจ ภาพเด็กสาวผู้มีรอยยิ้มน้อยๆ อย่างเยือกเย็นผุดขึ้นในห้วงความคิดทันใด
เขาพยักหน้า “รู้จักขอรับ”
“คิดไปแล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะลืมได้รวดเร็วอย่างนั้น คราวก่อนเพิ่งกินข้าวที่จวนนางนี่นะ”
เยี่ยลั่วได้ยินแล้วสองหูกางผึ่งฉับพลัน
อะไรนะ ท่านแม่ทัพกินอาหารที่จวนของหลานสาวบุญธรรมท่านหมอเทวดา? นี่เป็นเรื่องตั้งแต่เมื่อไร ไฉนข้าไม่ล่วงรู้
เซ่าหมิงยวนอับจนวาจาเป็นอันมาก ท่านหมอเทวดากล่าวเช่นนี้ เหตุใดถึงรู้สึกคล้ายเขาตั้งใจไปขอกินอาหารที่เรือนผู้อื่น
“ข้าก็มิได้จะขออะไรมาก แม่นางน้อยนั่นเป็นคนอาภัพ ระหว่างที่ข้าไม่อยู่เมืองหลวงช่วงนี้ เจ้าช่วยดูแลนางแทนข้า ว่าอย่างไร”
ดูแล?
เซ่าหมิงยวนปฏิเสธโดยไม่หยุดคิด “ชายหญิงต่างกัน หลานสาวของท่านเป็นสตรีในเรือนหลังของตระกูลใหญ่ เกรงว่าเซ่าหมิงยวนจะช่วยอะไรไม่ได้ขอรับ”
“ไม่ได้ให้เจ้าตบแต่งนางเป็นภรรยาสักหน่อย” หมอเทวดาหลี่กลอกตาขึ้น แต่กลับลอบถูกใจในความสำรวมระวังตัวของเซ่าหมิงยวนอย่างยิ่ง ส่งผลให้เขาวางใจมากขึ้น “ถ้าเจ้าได้ยินว่านางประสบปัญหาใดหรือโดนคนรังแก คอยหนุนหลังนางก็พอแล้ว”
เซ่าหมิงยวนลังเลใจชั่วครู่ก่อนพยักหน้าในที่สุด “ข้าจะทำเท่าที่ความสามารถจะทำได้แน่นอนขอรับ”
“เท่านี้ข้าก็สบายใจได้ ข้าจะกลับไปเก็บของแล้ว รอเมื่อเตรียมการทุกอย่างพร้อมพรักก็จะออกเดินทางทันที ถึงตอนนั้นเจ้าไม่ต้องไปส่งข้า หากมีเรื่องอื่นอีกข้าจะส่งคนมาบอกกล่าวเจ้าเอง”
“ขอรับ เช่นนั้นข้าขออวยพรล่วงหน้าให้ท่านหมอเทวดาเดินทางโดยสวัสดิภาพ กลับเมืองหลวงในเร็ววัน”
ส่วนที่หมอเทวดาหลี่ชมชอบในตัวเซ่าหมิงยวนคือไม่มีนิสัยโยกโย้ร่ำไร เขาตบไหล่ชายหนุ่มอย่างพึงพอใจ จากนั้นพาเยี่ยลั่วออกไปทางประตูหลังของโรงหมอ
ชาวบ้านที่มุงดูอยู่หน้าโรงหมอค่อยๆ แยกย้ายกันไป มีเพียงคนที่เดินผ่านไปผ่านมาไม่กี่คนหยุดฝีเท้าอย่างสนใจใคร่รู้เพราะเหล่าคนหนุ่มสาวท่วงทีสง่างามไม่สามัญด้านหน้า ครั้นรออยู่ครู่หนึ่งไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดก็เดินต่อไปตามทางของตนเอง
เหลือแต่เฉียวเจาที่ไม่ขยับกายไปที่ใด สายตาของนางจับจ้องที่หน้าประตูอยู่ตลอด
ในที่สุดก็เห็นเกี้ยวคันเล็กขนาดสองคนหามสีเขียวไม้ไผ่หลังหนึ่งหยุดอยู่ตรงทางเข้าโรงหมอบังสายตาที่มองมาจากด้านนอก
เฉียวเจาก้าวขาเดินเข้าไปโดยไม่ลังเล ตอนนางไปถึง เกี้ยวสีเขียวก็ถูกยกขึ้น
ดวงตาเรียบเฉยของแม่ทัพหนุ่มที่มองมาดูคล้ายหลากใจกับคนที่ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้า แววตาที่เฉยเมยแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนละมุนลง
เขาผงกศีรษะเบาๆ เป็นเชิงทักทาย ค่อยส่งสัญญาณให้เคลื่อนเกี้ยวได้แล้วออกเดินไปข้างหน้าพร้อมกัน
พวกองครักษ์หนุ่มที่ยืนอยู่หน้าประตูตั้งแถวตามคุ้มกันประกบอยู่สองฝั่งของเกี้ยวกับเซ่าหมิงยวนทันที
เฉียวเจามองตามเกี้ยวสีเขียวกับแผ่นหลังผึ่งผายของคนผู้นั้นที่ห่างไปไกลขึ้นทุกทีแล้วร้องเรียกเสียงหนึ่ง “แม่ทัพเซ่า”
เซ่าหมิงยวนชะงักเท้า ทำมือบอกพวกองครักษ์ให้ไปต่อ ส่วนตนเองหมุนกายย่างเท้าหลายก้าวกลับมายืนตรงหน้านาง
เขามีเรือนกายสูงใหญ่ เฉียวเจาพลันรู้สึกว่าแสงสว่างถูกบดบังไปมากกว่าครึ่ง นางจำต้องแหงนคอมองเขา
ใต้เงาแสง บุรุษที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมขาวเกลี้ยงดุจหยกน้ำแข็ง กระทั่งริมฝีปากก็เป็นสีอ่อนจาง
เฉียวเจาเลิกคิ้วขึ้นโดยไม่รู้ตัว
นี่เซ่าหมิงยวนพานพบเรื่องใดมา ราวกับว่าสภาพร่างกายจะย่ำแย่ลงกว่าเดิม
“คุณหนูหลี เรียกข้าไว้ด้วยเรื่องอันใด”
น้ำเสียงนุ่มนวลดึงความสนใจของนางกลับมา
“แม่ทัพเซ่า ท่านปู่บุญธรรมของข้าอยู่ในโรงหมอใช่หรือไม่”
เซ่าหมิงยวนเข้าใจแล้ว เขาตอบด้วยรอยยิ้มจางๆ “ที่แท้คุณหนูหลีมาหาท่านหมอเทวดา แต่ท่านออกไปทางด้านหลังของโรงหมอแล้ว”
“อ้อ” เฉียวเจาหาได้แปลกใจไม่
ด้วยนิสัยไม่ชอบปัญหาวุ่นวายของท่านปู่หลี่ หลังหลุดพ้นจากวังอ๋องและได้รับอิสรภาพอีกคราอย่างไม่ง่ายดาย ไหนเลยจะอยากตกเป็นเป้าสายตาอีก เป็นธรรมดาที่จะไปมาอย่างเงียบๆ มิให้ใครรู้เห็น
เซ่าหมิงยวนมองเด็กสาวที่ใกล้แค่เอื้อมอย่างสงบนิ่ง เขาเห็นนางขานตอบเสียงเรียบๆ ดูไม่ออกว่าผิดหวังหรือไม่ ทั้งไม่รู้ว่าสมควรพูดอะไรจึงจะดี ด้วยเหตุนี้เขาจึงกล่าวขึ้น “หากคุณหนูหลีหมดธุระแล้ว ข้าขออำลา”
เฉียวเจาเหลือบตาขึ้น ถามไถ่ด้วยท่าทางคล้ายอยากรู้อยากเห็นคล้ายตามสบาย “คนป่วยผู้นั้นเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”