หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 126
เด็กสาวเอียงคอเผยยิ้มบางๆ “อาจจะ…น่าจะ…เป็นเพราะว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของพี่เจียงถูกข้าจับได้สองครั้ง…”
นางหยุดเว้นจังหวะเล็กน้อยแล้วกล่าวต่อท้าย “ติดๆ กัน”
เจียงหย่วนเฉา “…” สมควรให้เจียงเฮ่อเจ้าหน้าโง่นั่นขัดถังส้วมทุกวัน!
ท่านสิบสามซึ่งอับอายจนพาลโกรธอยู่บ้างสืบเท้าขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง เขาก้มลงมองเฉียวเจาอย่างวางอำนาจ “แล้วเจ้าไม่กลัวหรือ”
เฉียวเจานิ่งขึงไปก่อนกล่าวยิ้มๆ “ข้าเห็นว่าองครักษ์จินหลินที่เลื่องชื่อลือนามโดยมากจะกระทำเรื่องดังเช่นสืบคดีหรือริบทรัพย์สินนักโทษพวกนั้น หรือว่ายังรังแกสตรีวัยเยาว์ที่อ่อนแอไร้ทางสู้คนหนึ่ง โดยเฉพาะ…”
นางเพ่งสายตามองเจียงหย่วนเฉาพลางพูดเตือน “ข้าเป็นเพียงบุตรสาวของอาลักษณ์ชั้นผู้น้อยในสำนักราชบัณฑิตคนหนึ่ง”
“บุตรสาวของอาลักษณ์ในสำนักราชบัณฑิตหรือ” ชายหนุ่มหรี่ตาลง เขาพลันยกมือจับปลายคางนางไว้เบาๆ “ถ้าอย่างนั้นคุณหนูหลีจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าในฐานะบุตรสาวของอาลักษณ์ชั้นผู้น้อยคนหนึ่ง เหตุใดเห็นคุณชายเฉียวแล้วถึงร้องไห้อย่างเสียใจปานนั้น”
คิ้วเรียวยาวของเฉียวเจาขมวดเข้าหากัน ใครต่อใครถึงได้พูดว่าพวกองครักษ์จินหลินน่าชิงชังที่สุด เหิมเกริมอุกอาจไม่กริ่งเกรงอะไรทั้งสิ้น
ในสายตาพวกเขาคงจะไม่แยกแยะชายหญิง มีแค่คนสองจำพวกคือผู้ต้องสงสัยกับยังมิใช่ผู้ต้องสงสัยกระมัง ฉะนั้นถึงได้แตะเนื้อต้องตัวเด็กสาวผู้หนึ่งตามใจชอบได้
ทว่าเฉียวเจาไม่หลบ
ภายใต้สถานการณ์ที่พละกำลังต่างกันโดยสิ้นเชิง หญิงสาวที่อ่อนแอบอบบางผู้หนึ่งเฉกนางหลบหลีกหรือเอะอะโวยวาย ก็แค่เสียแรงเปล่าและเป็นการฉีกหน้าตนเองเท่านั้น
นางมองเขานิ่งๆ อยู่อย่างนี้ด้วยแววตานิ่งสนิท ถึงแม้จะรู้สึกได้ว่าผิวเนื้อที่สัมผัสตรงปลายคางตนจะหยาบกร้านอยู่สักหน่อยก็ยังคงไม่แสดงความรู้สึกใดๆ
ด้วยเหตุนี้สายตาของเจียงหย่วนเฉาจึงมองลึกเข้าไปในดวงตาของเด็กสาวโดยไม่ทันตั้งตัว
ชั่วพริบตานั้น เขานึกถึงคนผู้หนึ่งกะทันหันแล้วพลันรู้สึกร้อนลวกที่ปลายนิ้ว จนต้องคลายมือที่จับปลายคางของเด็กสาวไว้อย่างลนลานและรีบเบนสายตาออก ใบหูของเขาร้อนผะผ่าว
เฉียวเจาแปลกใจอยู่บ้าง
คนอย่างเขาก็กระดากอายเป็นด้วยหรือ
เป็นบุรุษเต็มตัวผู้หนึ่งแล้วกลับจับใบหน้าของนางส่งเดช นางจะจดบัญชีแค้นนี้ไว้
“เห็นคุณชายเฉียวแล้วร้องไห้ เพราะว่าเขาเสียโฉม”
“เพราะเรื่องแค่นี้น่ะหรือ เขาเสียโฉมแล้วเกี่ยวข้องอะไรกับท่านด้วย” เจียงหย่วนเฉาไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด
เฉียวเจามองเขาแวบหนึ่ง ตอบอย่างเต็มปากเต็มคำ “ย่อมต้องเป็นเพราะคุณชายเฉียวมีหน้าตาชวนพิศแน่นอน ถ้ารูปโฉมดาษดื่นสามัญ เสียโฉมไปแล้วก็ไม่เห็นความแตกต่าง ข้าคงไม่ร้องไห้”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น พลันรู้สึกอยู่ไม่วายว่าตอนนางพูดว่ารูปโฉมดาษดื่นสามัญนั่นหมายถึงเขา
เขาอาจจะไม่รูปงามหล่อเหลาเท่าเฉียวโม่ แต่ไม่ถึงขั้นที่เสียโฉมแล้วไม่เห็นความแตกต่างกระมัง
เจียงหย่วนเฉารู้สึกหมดปัญญากับสาวน้อยตรงหน้าฉับพลัน
วิธีจัดการผู้กระทำความผิดขององครักษ์จินหลินพวกนั้น เขาคงไม่ใช้กับเด็กสาวผู้หนึ่งเป็นธรรมดา แต่เห็นได้ชัดว่าแม่นางน้อยคนนี้ไม่กลัวเขา ซ้ำร้ายทุกครั้งที่ทั้งคู่ปะทะกันล้วนเป็นนางที่ครองความได้เปรียบอยู่ลึกๆ
เมื่อประจักษ์ได้เช่นนี้ ท่านสิบสามบังเกิดความคับอกคับใจอยู่บ้าง เขายกมือลูบๆ จมูก กระแอมกระไอเสียงเบาคราหนึ่ง “ท่านสมควรกลับเรือนได้แล้ว ข้าจะพาท่านไปส่ง”
“ไม่ต้องเจ้าค่ะ” เฉียวเจาปฏิเสธอย่างฉับไว นางยกมือชี้พลางเอ่ย “สาวใช้ข้าว่าจ้างรถม้ามาแล้ว คงไม่ต้องรบกวนพี่เจียง แล้วพบกันใหม่นะเจ้าคะ”
เด็กสาวกล่าวจบแล้วยกชายกระโปรงเดินเยื้องกรายไปหาปิงลวี่ที่รออยู่ริมถนน นางยื่นมือตบไหล่สาวใช้เบาๆ แล้วก้าวขึ้นรถม้า
เจียงหย่วนเฉาแย้มปากยิ้ม สาวเท้าก้าวใหญ่เดินไปนั่งลงข้างๆ สารถี
เฉียวเจายังไม่ทันปล่อยม่านประตูรถม้าลง “…” คนผู้นี้หน้าหนาพอดู!
เจียงหย่วนเฉารับแส้ม้าจากมือสารถีอย่างสุขุมเยือกเย็น เขาหวดแส้ใส่ต้นขาม้าเบาๆ ทีหนึ่ง รถม้าเคลื่อนตัวออกอย่างเนิบนาบ
ปิงลวี่ได้สติเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน นางกล่าวอย่างร้อนรน “ประเดี๋ยวก่อน ข้ายังไม่ได้ขึ้นไปเลยนะ”
สาวใช้น้อยวิ่งทะยานตามไปแล้วกระโดดขึ้นรถม้า ยกมือเท้าเอวเอ่ยถาม “ท่านเป็นใครกัน”
พอเห็นเจียงหย่วนเฉาเพียงยิ้มไม่เอื้อนเอ่ยวาจา ทำท่าทางไม่อนาทรร้อนใจ ปิงลวี่ก็โมโหยกใหญ่ ยื่นมือไปผลักเขา “นี่ ท่านรีบลงไปเสีย มีคนอย่างท่านที่ใดกัน!”
เจียงหย่วนเฉานั่งนิ่งไม่สะดุ้งสะเทือน เขามองไปทางเด็กสาวที่เลิกม่านประตูขึ้น “คุณหนูหลี สาวใช้ของท่านเจ้าอารมณ์ไม่เบา”
“นางแค่ทำตามหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด กลับเป็นพี่เจียงที่ทำให้ข้างุนงงเสียแล้ว ท่านทำเช่นนี้เข้าข่ายเกินความจำเป็นนะเจ้าคะ”
สีหน้าของเจียงหย่วนเฉาไม่เปลี่ยนแปลง เขาพูดเรียบๆ “จะเกินความจำเป็นได้เช่นไร พวกท่านเป็นเด็กสาวยังอ่อนต่อโลก นึกว่าว่าจ้างรถม้าแล้วจะปลอดภัยหรือ”
เขาชายหางตาไปทางสารถีเล็กน้อย “ถ้าเกิดสารถีเป็นคนเลวเล่า พาพวกท่านที่เป็นสาวน้อยสองคนไปยังที่ที่ลับตาผู้คน ถึงตอนนั้นอยากร่ำไห้ก็ไม่ทันกาลแล้ว”
สารถีทำหน้าเหลอหลา “…” ทำกันเยี่ยงนี้มิได้นะ พวกท่านจะเย้าแหย่หยอกเอินกันตามประสาคู่รัก เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย ข้าเป็นเพียงสารถีผู้หนึ่ง กระทั่งแส้ม้าก็ยกให้ท่านแล้ว ยังจะเอาอย่างไรอีก
“เช่นนั้นก็รบกวนพี่เจียงด้วย ปิงลวี่ เข้ามา” เฉียวเจาปล่อยม่านลง
“เจ้าค่ะ” ปิงลวี่ถลึงตาใส่เขาก่อนจะก้มตัวลอดเข้าไปในตัวรถม้า
ม่านประตูสีเขียวไม้ไผ่แบบเรียบง่ายไหวพะเยิบพะยาบ เจียงหย่วนเฉาดึงสายตาคืน พลางตวัดแส้ม้าในมือเบาๆ
องครักษ์ที่รับคำสั่งของเซ่าหมิงยวนให้กลับมาลอบคุ้มครองเฉียวเจาเห็นสภาพการณ์นี้ก็เบิกตากว้างอย่างสุดระงับ
นี่มันเรื่องอะไรกัน
คุณหนูท่านนั้นมิใช่คนที่ท่านแม่ทัพมอบใจให้แต่แรกพบมิใช่หรือ ไฉนถึงไปกับท่านสิบสามแห่งกององครักษ์จินหลินเสียแล้ว
องครักษ์ตรึกตรองครู่หนึ่งก็กระจ่างแจ้ง เขาเริ่มร้อนใจแทนท่านแม่ทัพของตนอย่างห้ามไม่อยู่
แย่แล้ว ท่านแม่ทัพ ดูคนอื่นสิ ทำหน้าที่เป็นสารถีให้เองแล้ว ส่วนท่านส่งองครักษ์เล็กๆ มาคนเดียว ซ้ำยังคุ้มครองอยู่ลับๆ นี่มิใช่พ่ายแพ้ราบคาบอย่างชัดเจนแล้วหรือ
ไม่ได้ องครักษ์เล็กๆ อย่างข้าต้องแสดงฝีมือครั้งใหญ่!
องครักษ์รีบไล่กวดตามไปทันที
ภายในรถม้า ปิงลวี่พูดบ่นเบาๆ “คุณหนู นั่นเป็นใครหรือเจ้าคะ เห็นแล้วก็ชังน้ำหน้า!”
มีอย่างที่ใดเร่งควบขับรถม้าออกไปเลยโดยไม่รอนางซึ่งเป็นสาวใช้อาวุโส
เฉียวเจาลดสุ้มเสียงเบาลง แย้มปากยิ้ม “น่าชังมาก เขาเป็นองครักษ์จินหลิน”
“หา?!” ปิงลวี่อุทานเสียงห้วนสั้นแล้วรีบปิดปากแน่นๆ นานครู่ใหญ่ถึงลดมือลง เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “องครักษ์จินหลิน? องครักษ์จินหลินที่เอะอะอะไรก็ริบทรัพย์สินหรือประหารชีวิตทั้งตระกูลหรือเจ้าคะ”
“ใช่ องครักษ์จินหลินพวกนั้นล่ะ”
“สวรรค์! คุณหนู ท่านไปตอแยกับองครักษ์จินหลินได้อย่างไรเจ้าคะ” ปิงลวี่กลอกตาไปมา ใบหน้าซีดขาว “หรือว่านายท่านก่อเรื่องขึ้น”
“ไม่มี”
อันที่จริงท่านพ่อที่เคารพก่อเรื่องอยู่เสมอ แต่ไม่มีใครคิดเล็กคิดน้อยกับอาลักษณ์ที่ดักดานอยู่ในสำนักราชบัณฑิตมาสิบกว่าปีคนหนึ่ง
ปิงลวี่ถอนใจโล่งอก “มิใช่นายท่านก็ไม่เป็นไรแล้ว”
คิดๆ ดูแล้วเป็นไปไม่ได้ที่คนอื่นในจวนจะไปตอแยกับองครักษ์จินหลินกระมัง
สาวใช้น้อยลอบเลิกม่านประตูขึ้นมุมหนึ่งมองสำรวจแผ่นหลังสง่าผึ่งผายของบุรุษผู้ควบรถม้า จู่ๆ ก็หัวไวขึ้นมาในเวลานี้ นางปล่อยม่านลงหันหน้าไปพูดกับเฉียวเจาพร้อมรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นข้าเข้าใจแล้ว ต้องเป็นเพราะคุณหนูโฉมงาม คนผู้นั้นเลยหมายปองคุณหนูสินะ…”
ถึงอย่างไรองครักษ์จินหลินก็ไม่มีทางครองตัวไร้คู่ไปตลอดชีวิตกระมัง
“แค่กๆๆ…” เสียงไออย่างรุนแรงดังขึ้นนอกรถม้า
สารถีซึ่งถูกแย่งงานไปแลมองชายหนุ่มที่ไอจนหน้าแดงระเรื่อแล้วเบะปากอย่างดูแคลน
นึกไว้แล้วเชียว เป็นเจ้าหนุ่มหมายปองแม่นางน้อยถึงจงใจเข้ามาใกล้ชิดกระมัง ทั้งยังใช้ข้าเป็นสื่อรักอีก อันว่าศีลธรรมถดถอย จิตใจคนเสื่อมลงนั้นเป็นความจริง!