หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 133
บทที่ 133
เมื่อสายตามองเห็นคนที่อยู่เหนือศีรษะ เฉียวเจางงงันอยู่บ้างไปชั่วขณะ
เซ่าหมิงยวน?
เหตุใดเขาปรากฏกายขึ้นที่นี่
แม่ทัพหนุ่มใส่เสื้อฟางกันฝนและสวมงอบบนศีรษะ น้ำฝนไหลลงมาตามขอบงอบหยาดหยดลงมาเป็นสาย
เขาเอียงศีรษะไปด้านข้าง ถอดงอบมาสวมบนศีรษะเด็กสาว
ฝ่ายเฉียวเจายังคงมองเขาด้วยสีหน้าตะลึงงันราวกับโดนผีหลอกอยู่อย่างไรอย่างนั้น
คนผู้นี้ผลุบๆ โผล่ๆ ไปทุกที่หรือไร!
อีกอย่างเขาอุ้มเด็กสาวแปลกหน้าอีกแล้ว!
แม่นางเฉียวคิดอย่างฉงนฉงาย นัยน์ตากลมโตสุกใสฉายแววงุนงงเต็มเปี่ยม ประหนึ่งปกคลุมด้วยม่านหมอกบางๆ แต้มหยดน้ำค้างยามอรุณรุ่งไว้ชั้นหนึ่ง
เซ่าหมิงยวนกลับคิดคำนึงว่าแม่นางน้อยผู้นี้ตัวเบาดีจริง ราวกับยังหนักไม่เท่าดาบเล่มใหญ่ที่เขาใช้เป็นประจำ อุ้มไว้เช่นนี้คล้ายถือขนนกไว้ก็ไม่ปาน
เมื่อเดินไปถึงริมถนนกว้างขวาง เซ่าหมิงยวนไต่ถามขึ้น “คุณหนูหลี ท่านได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ยืนเองได้ใช่หรือไม่”
“แน่นอน” เฉียวเจาดึงสติคืนมา กล่าวตอบด้วยความรู้สึกสับสนปนเป นางแค่ถูกศพล้มทับ มิได้เจ็บขาเสียหน่อย
ชายหนุ่มได้ยินแล้ววางตัวเฉียวเจาลงทันที สายตาไม่ได้มองไปที่ตัวนางอยู่จนแล้วจนรอด เขาก้มหน้าถอดเสื้อฟางกันฝนออกคลุมบนร่างนาง
เสื้อฟางตัวนั้นเย็นเฉียบเช่นกันละม้ายไม่อาจรู้สึกถึงไออุ่นของเจ้าของเดิมของมันได้ เพียงคลับคล้ายได้กลิ่นฝักเจ้าจย๋า* ที่แสนอ่อนจางเสียจนเหมือนผ่านการชะล้างด้วยหิมะน้ำแข็ง
กระนั้นมันช่วยกันฝนไว้นอกกายได้จนสิ้น
เฉียวเจานิ่งมองเสื้อคลุมสีขาวของหมิงยวนที่โดนฝนสาดเปียกปอนในพริบตาเดียวจนแนบติดเรือนกาย เผยให้เห็นเส้นสายสรีระอันสูงโปร่งบึกบึน นางค่อยๆ เบนสายตาออก
เซ่าหมิงยวนมิได้พูดคุยกับนางอีก เขาหันหน้าไปตะโกนบอกหลงอิ่งที่อุ้มองค์หญิงเจินเจินหลบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ “พี่ชาย ฝนตกอย่างนี้จะยืนใต้ต้นไม้ไม่ได้นะ”
“เพราะอะไรหรือ” หลงอิ่งไม่ได้เปล่งเสียง แต่เป็นปิงลวี่ซึ่งตั้งสติได้แล้วเอ่ยถามขึ้นอย่างลืมตัว
แม่ทัพหนุ่มหาได้ใส่ใจไม่ว่าใครคือผู้ถาม เขากล่าวอธิบาย “เพราะอาจจะโดนฟ้าผ่าได้…”
เพิ่งสิ้นเสียงเขา ลำแสงสายหนึ่งก็แลบแปลบปลาบแหวกม่านพิรุณพร้อมเสียงฟ้าคำรามก้องกระหึ่ม จากนั้นสายฟ้าฟาดเปรี้ยงใส่ต้นไม้ขนาดปากชามโคมต้นหนึ่งไม่ไกลนัก
ต้นไม้ต้นนั้นลุกไหม้เกิดสะเก็ดไฟกระเด็นรอบทิศและควันสีขาวฟุ้งตลบก่อนจะหักโค่นลงดังโครม
เฉียวเจา “…”
เมื่อครู่นี้นางนึกว่าตนเองก็ปากอัปมงคลพอดูแล้ว คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย
หลงอิ่งอุ้มองค์หญิงเจินเจินกระโจนออกจากใต้ต้นไม้ใบดกหนาทึบที่กำบังฝนอย่างว่องไวดุจสายฟ้าแลบ เขายืนทรงตัวนิ่งแล้วเหลียวกลับไปมองต้นไม้ใหญ่ที่ยังอยู่ในสภาพเดิมอย่างหวาดผวา
หากเมื่อครู่ฟ้าผ่าลงที่ต้นไม้ต้นนี้…
หลงอิ่งมองเซ่าหมิงยวนอย่างหลากใจแวบหนึ่งแล้วเอ่ยปากขึ้น “ขอบคุณท่านโหวมากขอรับ”
เสียงครางดังมาจากในอ้อมแขน หลงอิ่งก้มหน้าลงทันที “องค์หญิง ทรงเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ็บ…” ใบหน้าขององค์หญิงเจินเจินซีดเผือดแทบจะโปร่งแสงก็ไม่ปาน
หลงอิ่งรีบมองไปที่บาดแผลบนขาซ้ายของนาง ตรงนั้นมีเลือดซึมออกมาอีกแล้ว
เขาไม่มีแก่ใจพูดกับเซ่าหมิงยวนต่ออีก อุ้มองค์หญิงเจินเจินก้าวเท้าพรวดๆ ไปเบื้องหน้าเฉียวเจา กล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรน “คุณหนูหลี องค์หญิงมีพระโลหิตไหลออกมาอีกแล้ว ท่านโปรดฝังเข็มให้พระองค์โดยไวด้วย”
เฉียวเจาเดินเข้าไปเลิกชายกระโปรงขององค์หญิงเจินเจินขึ้น แกะผ้าพันแผลออกดูแผลเล็กน้อยแล้วสั่นศีรษะด้วยสีหน้าหนักใจ “วิชาเข็มทองหยุดโลหิตใช้กับบาดแผลจุดเดิมได้เพียงครั้งเดียว ถึงใช้อีกก็ไม่ใคร่ได้ผล”
“เช่นนั้นทำอย่างไรดี”
เฉียวเจายกมือถอดงอบยัดใส่มือหลงอิ่งและเอ่ยสั่ง “บังแผลให้องค์หญิงด้วย!”
งอบเกี่ยวโดนสร้อยมุกรัดผมหลุดออก เรือนผมดำยาวเฟื้อยของเด็กสาวก็แผ่สยายลงราวม่านน้ำตกท่ามกลางสายฝนพรำ
เฉียวเจายกมือจับปอยผมที่รุ่ยลงปรกหน้าผากไปเหน็บหลังหู ล้วงมือเข้าไปในเสื้อฟางหยิบขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกมา เปิดฝาออกโรยผงสีเขียวอ่อนบนแผลขององค์หญิงเจินเจิน
นางยังถอดเสื้อฟางออกด้วยแล้วบุ้ยใบ้บอกให้หลงอิ่งรับไปบังฝนให้องค์หญิง จากนั้นใช้สองมือออกแรงฉีกชายเสื้อของตนเอง
เด็กสาวเรี่ยวแรงน้อย พยายามฉีกดึงอยู่หลายครั้งหลายหนก็ไม่ประสบผล นางอดกัดริมฝีปากไม่ได้
ฝ่ามือใหญ่ที่เห็นข้อกระดูกชัดเจนคู่หนึ่งพลันยื่นมาฉีกชายกระโปรงของนางขาดเป็นเศษผ้ายาวๆ ชิ้นหนึ่งอย่างคล่องแคล่ว
เฉียวเจาเหลือบตาขึ้นประสานสายตาดำเข้มของเซ่าหมิงยวน เอ่ยเสียงเรียบๆ “ขอบคุณเจ้าค่ะ”
นางรับเศษผ้ามาพันแผลให้องค์หญิงเจินเจินอย่างรวดเร็ว เลือดสีแดงสดเปียกซึมผ้าสีเขียวอ่อนในเวลาอันสั้น
เซ่าหมิงยวนเห็นดังนั้นก็ฉีกชายเสื้อสีขาวบนตัวออกมาหลายชิ้นยื่นส่งให้อย่างฉับไว
เฉียวเจาไม่เงยหน้าขึ้น รับเศษผ้ายาวๆ มาพันปิดบาดแผลชั้นแล้วชั้นเล่าและผูกปมอย่างสวยงามในตอนท้าย
ตลอดเวลานี้องค์หญิงเจินเจินกัดริมฝีปากสุดแรง สองมือเกาะหัวไหล่ของหลงอิ่งไว้แน่นจนปลายเล็บจิกลงในเนื้อเขา
นางมองเจียวเจาแล้วค่อยมองไปทางเซ่าหมิงยวน ก่อนจะหมดสติไปในที่สุด
“องค์หญิง” สีหน้าของหลงอิ่งแปรเปลี่ยนไปโดยพลัน
“องครักษ์หลง” เฉียวเจาเรียกขานเขาแล้วบอกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ท่านต้องพาองค์หญิงกลับวังโดยเร็วที่สุด”
หลงอิ่งอุ้มองค์หญิงเจินเจินแนบอกพลางมองไปที่ริมถนน
รถม้าคันนั้นรับน้ำหนักมากเกินไปจนคานหักล้มตะแคงอยู่บนพื้น ส่วนม้าแก่ตัวนั้นกับสารถีหายไปไม่เห็นวี่แววแต่แรก เห็นได้ว่าเพราะม้าตื่นตกใจวิ่งเตลิดไปแล้วเขาไล่ตามไป
ชั่วพริบตานั้น ทั้งที่กำลังร้อนรนเหลือแสน ในหัวหลงอิ่งกลับมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นอย่างไร้เหตุผล
ครอบครัวคุณหนูหลีจะต้องยากจนมากกระมัง นี่มันรถม้าชั้นเลวอะไรกัน
“ขี่ม้าข้าไปสิ” เซ่าหมิงยวนจูงอาชาสีขาวตัวหนึ่งมาเมื่อใดก็สุดรู้ เขาเอาสายบังเหียนยัดใส่มือหลงอิ่ง
หลงอิ่งตาเป็นประกาย
เขาเป็นองครักษ์ประจำตัวองค์หญิง เห็นม้าพันธุ์ดีมามากมายเท่าใด ม้าของกวนจวินโหวตัวนี้เป็นอาชาพันลี้ชั้นเลิศอย่างไร้ข้อกังขา
“ขอบคุณขอรับ” หลงอิ่งไม่เสียเวลาพูดมากความ อุ้มองค์หญิงเจินเจินพลิกกายขึ้นม้า
เจ้าอาชากลับไม่เต็มใจมาก มันยืนนิ่งกับที่ไม่ขยับ ยื่นหัวไปถูไถกับมือของเซ่าหมิงยวนอย่างคับข้องหมองใจเต็มที
ใบหน้าของแม่ทัพหนุ่มอ่อนละมุนลง เขาลูบหัวม้าเบาๆ กล่าวปลุกปลอบเสียงทุ้มต่ำ “เฟยอิ่งเป็นเด็กดีนะ กลับมาแล้วจะให้เจ้ากินน้ำตาล”
เขาพูดจบก็ตบท้องมันเบาๆ ม้าสีขาวก็ควบฝีเท้าพาพวกหลงอิ่งจากไป
สายฝนโปรยปรายไม่หยุดทำให้สายตาพร่ามัว ไม่นานนักก็มองไม่เห็นเงาของม้าสีขาวอีก
เฉียวเจาดึงสายตากลับแล้วระบายลมหายใจแผ่วเบา ขอเพียงองค์หญิงเจินเจินกลับถึงวังได้เร็วที่สุดก็จะไม่เป็นอะไรแล้ว
เมื่อจิตใจผ่อนคลายลง เฉียวเจาเพิ่งรู้สึกหนาวจากน้ำฝนเย็นเยียบที่กระทบเนื้อตัว นางสั่นสะท้านอย่างสุดระงับ
“คุณหนู…” ปิงลวี่คล้องแขนกับนาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความสงสาร “ท่านยกงอบกับเสื้อฝนให้องค์หญิงไปแล้ว ท่านจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
คุณหนูของนางสุขภาพอ่อนแอตั้งแต่เด็ก ตากฝนเช่นนี้กลับไปต้องล้มป่วยแน่
“ไม่เป็นไร” ความรู้สึกวิงเวียนจู่โจมเฉียวเจา นางกัดปลายลิ้นดึงสติสัมปชัญญะไว้ กล่าวปลอบปิงลวี่เสียงนุ่ม
เฉียวเจายื่นมือจับๆ ถุงผ้าปัก ยาลูกกลอนขับไอเย็นหมดไปแล้ว
ในถุงผ้าใบนั้นแบ่งเป็นช่องลับหลายช่อง ใส่ของที่ใช้แก้ขัดเฉพาะหน้านานาชนิด ทว่าแต่ละอย่างมีจำนวนไม่มาก เพราะเตรียมไว้เผื่อเหตุหนึ่งในหมื่นเท่านั้น
คงได้แต่รอกลับถึงจวนค่อยฟื้นฟูร่างกายอีกที เฉียวเจาทนอาการไม่สบายตัวพลางคิดคำนึง
“คานรถม้าหักแล้ว หลบใต้ต้นไม้ก็ไม่ได้ ไม่มีที่กำบังฝนสักที่เดียว” ปิงลวี่ร้อนอกร้อนใจเหลือหลาย
“พวกท่านรอสักครู่” เซ่าหมิงยวนเปล่งเสียงบอก
เฉียวเจาอดมองไปทางเขาไม่ได้
แม่ทัพหนุ่มเดินไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่งแล้วพลันกระโจนกายขึ้น สองเท้าไขว้กันเหยียบอยู่บนคาคบไม้ ตอนเขาทิ้งตัวลงพื้น ในมือก็เต็มไปด้วยใบไม้ใบใหญ่ๆ
เซ่าหมิงยวนก้มหน้าลง นิ้วมือทั้งสิบของเขาขยับพลิกพลิ้วว่องไว ไม่นานนักก็สานหมวกฟางขนาดใหญ่ออกมาได้ใบหนึ่ง เขายื่นมือเอามันสวมบนศีรษะของเฉียวเจา จากนั้นหลุบตาเริ่มสานหมวกอีกใบ
* ฝักเจ้าจย๋า เป็นสมุนไพรจีนชนิดหนึ่ง นอกจากใช้ทำเป็นยาแล้ว ยังสามารถนำน้ำต้มเมล็ดใช้แทนสบู่และซักล้างเสื้อผ้าได้อีกด้วย