หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 136
นายพรานหนุ่มฉวยท่อนไม้ฟาดใส่ท้ายทอยของเซ่าหมิงยวน ส่วนนายพรานวัยกลางคนหยิบมีดหั่นผักขึ้นมา
เขาเอียงศีรษะหลบ ท่อนไม้ตีโดนเตาไฟตามแรงเหวี่ยงจนเกิดเสียงดังสนั่น
เฉียวเจาที่อยู่ในห้องได้ยินเสียงผิดปกติ นางเอ่ยสั่งสาวใช้ “ไปดูสิ”
ปิงลวี่วิ่งไปที่หน้าห้องครัวแล้วยกมืออุดปากอย่างห้ามไม่อยู่ นางอึ้งไปนานครู่ใหญ่ถึงพูดตะกุกตะกัก “พวกเขา…พวกเขา…”
เซ่าหมิงยวนใช้เท้าหนึ่งเหยียบนายพรานหนุ่ม อีกมือหนึ่งจับนายพรานวัยกลางคนไว้ เขาสั่งปิงลวี่ด้วยสีหน้านิ่งเฉย “ไปหยิบเชือกตรงข้างผนังมานี่”
ในที่พำนักของนายพรานย่อมจะมีเชือกอยู่เป็นธรรมดา
“เจ้าค่ะ” ปิงลวี่ขานตอบอย่างงงงวย
นางหยิบเชือกมายื่นส่งให้แล้วในหัวยังคงสับสนมึนงง เห็นเซ่าหมิงยวนมัดมือมัดเท้านายพรานสองคนนั้น จึงเผลอตัวเอ่ยถามขึ้น “แม่ทัพเซ่า ไฉนท่านมัดพวกเขาไว้เจ้าคะ”
แม่ทัพ?
นายพรานสองคนมองหน้ากันไปมา หยุดดิ้นขัดขืนโดยพลัน ในดวงตาพวกเขาทอแววพรั่นพรึง
เซ่าหมิงยวนเหลือบตาขึ้น “ตักน้ำแกงยกไปให้คุณหนูหลี”
ครั้นเห็นสีหน้าเขามึนตึง ปิงลวี่ไม่กล้าพูดมากความ ตักน้ำแกงร้อนๆ สองชามแล้วรีบออกไป
“ทะ…ท่านเป็นแม่ทัพ?” นายพรานวัยกลางคนหน้าซีดเป็นไก่ต้ม
ฝีมือที่ต่างกันคนละชั้นทำให้พวกเขาหมดสิ้นความกล้าใดๆ ที่จะต่อต้าน เมื่อรู้ศักดิ์ฐานะของคนตรงหน้าก็ยิ่งทำสีหน้าสิ้นหวัง
“หากรู้แต่แรกว่าข้าเป็นแม่ทัพ เจ้าสองคนก็จะไม่ลงมือหรือ”
นายพรานสองคนพยักหน้าถี่รัวประหนึ่งไก่จิกเมล็ดข้าว
เซ่าหมิงยวนกลั้นยิ้มไม่อยู่ “หากเป็นคุณชายสูงศักดิ์ที่อ่อนแอไร้ทางสู้ วันนี้คงต้องสิ้นชีพด้วยน้ำมือของพวกเจ้าแล้วกระมัง”
นายพรานสองคนแข็งทื่อไปทั้งตัว เหงื่อกาฬแตกพลั่ก
“พอสังหารข้าแล้ว พวกเจ้าคิดจะทำอะไรกับสตรีสองนางนั่นหรือ” เซ่าหมิงยวนถามอย่างสงบนิ่ง ทว่าแววตาขุ่นเข้มเป็นพิเศษ
“พวกข้า…พวกข้าเพียงบังเกิดความโลภชั่ววูบ อยากได้เงินของท่าน แต่ไม่ได้คิดมิดีมิร้ายอื่นใดต่อแม่นางสองท่านนั้นเลย” นายพรานหนุ่มพูดแก้ตัวเป็นพัลวัน
เซ่าหมิงยวนหัวเราะ ยกมือชี้ที่ท้ายทอยของตนเอง “พี่ชาย เจ้าเล็งไม้ฟาดใส่ตรงนี้ของข้า ถ้าตีได้แม่นยำ ตอนนี้ข้ากลายเป็นศพหัวแบะไปแล้ว ลงมือโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ เจ้าอยากให้ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าจะละเว้นสตรีสองนางนั้น?”
นี่คือสาเหตุที่เซ่าหมิงยวนบันดาลโทสะ
ถ้าหากนายพรานหนุ่มไม่ได้จะตีท้ายทอยเขา แค่คิดจะทำร้ายให้บาดเจ็บ ยังเป็นไปได้ว่ามุ่งหวังในทรัพย์สิน แต่เริ่มต้นมาก็ลงไม้ลงมืออย่างอำมหิตอย่างนี้ หลังจัดการบุรุษเพียงคนเดียวได้ เป้าหมายคืออะไรก็เห็นประจักษ์ชัดโดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ย
“ท่านแม่ทัพโปรดไว้ชีวิตด้วย พวกข้าแค่เกิดโลภขึ้นมาชั่ววูบ ปกติก็เป็นชาวบ้านทำมาหากินอย่างสุจริตเสมอนะขอรับ” นายพรานสองคนพร่ำขอความเมตตาไม่หยุด
เซ่าหมิงยวนไม่สนใจพวกเขาสองคนอีก ก้มหน้าผึ่งเสื้อผ้าบนกายให้แห้งอยู่เงียบๆ
ปิงลวี่ยกน้ำแกงกลับห้องไปป้อนให้เฉียวเจากิน
นางใช้สองมือประคองชามกินน้ำแกงร้อนๆ ลงท้องไปหลายคำ เริ่มมีแรงพูดจาไหวมากขึ้นแล้ว “เกิดเรื่องอะไรขึ้นในครัวหรือ”
“แม่ทัพเซ่าจับนายพรานสองคนนั้นมัดไว้เจ้าค่ะ”
“อ้อ” เฉียวเจาหลุบตากินน้ำแกงอีกคำ
ปิงลวี่กะพริบตาปริบๆ “คุณหนู ท่านไม่สนใจอยากรู้เลยหรือเจ้าคะ”
เฉียวเจาเหลือบเปลือกตาขึ้น ไอควันกรุ่นๆ ของน้ำแกงลอยคลอเคลียใบหน้า พาให้พวงแก้มซับสีแดงระเรื่อ “สนใจอยากรู้อะไรล่ะ แม่ทัพเซ่าทำอย่างนั้นย่อมจะมีเหตุผลของเขาเป็นธรรมดา”
ตอนได้ยินปิงลวี่บอกว่าเซ่าหมิงยวนไปรอน้ำแกงที่ห้องครัว นางก็คาดคะเนว่าเขาน่าจะรู้สึกว่านายพรานสองคนนั้นมีพิรุธ หาไม่แล้วแม่ทัพที่รบทัพจับศึกผู้หนึ่งต้องมีเวลาว่างปานใดถึงชมชอบเฝ้าห้องครัวกัน
บัดนี้ดูไปแล้วเขาคาดเดาไม่ผิด ส่วนนางก็คาดคะเนได้ถูกต้อง
“คุณหนู…” ปิงลวี่กัดริมฝีปาก พูดอ้ำๆ อึ้งๆ “ข้ารู้สึกว่าแม่ทัพเซ่าอาจจะโมโหแล้วเจ้าค่ะ”
“เหตุใดรึ”
“แม่ทัพเซ่าสุภาพนุ่มนวลและอัธยาศัยดีเสมอ แต่เมื่อครู่นี้ข้าถามเขาว่าเพราะอะไรถึงมัดคนไว้ เขาก็ทำสีหน้าเคร่งขรึมทันที ท่านว่าเช่นนี้จะมิใช่โมโหแล้วหรือ แต่ข้าไม่รู้สึกว่าถามแล้วผิดตรงที่ใด ลองเปลี่ยนเป็นใครก็ได้ จู่ๆ เห็นคนถูกมัดจะไม่ถามหรือเจ้าคะ”
สาวใช้น้อยกล่าวจบแล้วนิ่งขึงไป ดูเหมือน…คุณหนูของข้าก็มิได้ถามนะ
เฉียวเจาหมุนชามไปมาให้อุ่นมือ นางมองปิงลวี่พลางถอนใจ “เจ้าเผยศักดิ์ฐานะของเขาแล้วใช่หรือไม่”
ปิงลวี่อึ้งไป นางก้มหน้าลง “ข้าเรียกเขาว่าแม่ทัพเซ่าเจ้าค่ะ”
“นั่นอย่างไรเล่า เจ้าเผยศักดิ์ฐานะของเขาออกมา ทีนี้เขาจะจัดการสองคนนั้นเช่นไรดีเล่า จะปล่อยพวกเขารึ สองคนนั้นต้องประสงค์ร้ายต่อพวกเราแน่นอน แต่เพราะเจอกับแม่ทัพเซ่าถึงไม่สำเร็จ กระนั้นถ้าเป็นชาวบ้านทั่วไป เกรงว่าคงถูกพวกเขาเอาชีวิตแล้ว วันนี้ปล่อยคนเยี่ยงนี้ไป จะรู้ได้อย่างไรว่าวันหน้าจะไม่เป็นเภทภัยต่อผู้อื่นอีก ต่อให้พวกเขาทำความชั่วเป็นครั้งแรกด้วยความคิดชั่วแล่นจริงๆ ทว่าตอนนี้พวกเขารู้ศักดิ์ฐานะของแม่ทัพเซ่า ถ้าเกิดปล่อยตัวไปแล้วเอาเรื่องไปพูดจาส่งเดชจนทั่วจะทำประการใดดี”
ถึงแม้จะไม่กระจ่างแจ้งว่าเหตุใดเซ่าหมิงยวนถึงใส่ใจดูแลนางในร่างของหลีเจาเฉกนี้ แต่นางมั่นใจว่าคนผู้นั้นต้องไม่มีทางปล่อยให้ใครทำลายชื่อเสียงของนาง
ปิงลวี่ฟังแล้วอ้าปากค้าง พูดเสียงพึมพำว่า “ถ้าไม่ปล่อยเล่า”
“ไม่ปล่อย?” เฉียวเจามองหน้าประตูยิ้มๆ “อย่างนั้นคงได้แต่ฆ่าทิ้ง แต่ทำเช่นนี้ บางทีแม่ทัพเซ่าอาจไม่สบายใจกระมัง จะอย่างไรก็มาขออาศัยเรือนผู้อื่น ยังสวมอาภรณ์ของเขา ดื่มน้ำแกงที่เขาต้ม หากในอดีตสองคนนั้นไม่เคยก่อกรรมทำเข็ญมาก่อน แค่เพราะเจอสิ่งล่อใจเลยบังเกิดเจตนาร้ายชั่ววูบ แล้วพวกเขาถูกล่อใจในครานี้กลับเป็นเพราะพานพบกับพวกเรา”
แก่นแท้ของมนุษย์มิอาจแบ่งเป็นสีดำหรือสีขาวอย่างชัดเจน คนเลวอาจจะมีความสงสารเห็นใจ คนดีก็อาจจะทำชั่วในบางเวลา เซ่าหมิงยวนจะทำเช่นไร นางชักสนใจใคร่รู้เสียแล้วสิ
หลังฟังเฉียวเจากล่าวพินิจพิเคราะห์จบ ปิงลวี่นึกละอายแก่ใจอยู่บ้างอย่างที่ไม่เป็นบ่อยนัก “ล้วนเป็นเพราะข้าผลีผลามเกินไปเองเจ้าค่ะ”
ตายจริง ถ้าแม่ทัพเซ่าสังหารนายพรานสองคนนั้น คุณหนูจะรังเกียจว่าเขาเป็นคนเลือดเย็นหรือไม่นะ หากเป็นเช่นนั้น นางมิได้เป็นคนให้ร้ายท่านแม่ทัพหรอกหรือ
ท่านแม่ทัพเป็นคนดี ยังสานหมวกฟางให้นางด้วย
สาวใช้น้อยมองคุณหนูของตนอย่างระมัดระวังปราดหนึ่งก่อนถามหยั่งเชิง “คุณหนู ท่านว่าแม่ทัพเซ่าจะทำอย่างไรเจ้าคะ”
เฉียวเจาวางชามลง กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าไม่รู้เช่นกัน แต่ข้าเคารพในทางเลือกของเขา”
จะฆ่าก็ดีหรือไม่ฆ่าก็ช่าง ในฐานะเป็นฝ่ายที่ถูกช่วยไว้ หากยังชี้นิ้วบงการอีกออกจะเป็นการไม่รู้ดีชั่วเกินไป เรื่องที่ไร้มโนสำนึกพรรค์นี้ นางไม่มีทางทำหรอก
เซ่าหมิงยวนแอบฟังอยู่นอกห้องถึงตรงนี้ เขาค่อยเปล่งเสียงพูดขึ้นในที่สุด “คุณหนูหลี ข้าเข้าไปได้หรือไม่”
เฉียวเจานิ่งงันไปเล็กน้อยก่อนผงกศีรษะกับสาวใช้
ปิงลวี่รีบเดินไปที่หน้าประตูเชิญชายหนุ่มเข้ามา
เซ่าหมิงยวนก้าวเข้าประตูก็เห็นเด็กสาวห่มหนังเสือนั่งอยู่บนเก้าอี้มองมาเงียบๆ ดวงหน้าของนางซีดขาว เนื้อตัวมอซอ ทว่าแววตายังคงเรียบเฉยใสบริสุทธิ์ดุจเดิม ส่งผลให้แม้จะอยู่ในสภาพมอซอกลับไม่ดูมอซออีก
ความรู้สึกเฉกนี้ทำให้เขาฉุกคิดถึงคนผู้หนึ่ง เป็นอีกคราครั้งหนึ่งที่เขาคิดถึงคนผู้นั้น
เขาต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ
เซ่าหมิงยวนหัวเราะขื่นๆ อยู่ในใจ เขาย่างเท้าเดินเข้าไป “คุณหนูหลีดีขึ้นบ้างหรือไม่”
“ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ” สายตาของนางจับอยู่ที่ตัวชายหนุ่ม เห็นอาภรณ์บนกายเขาแห้งแล้วครึ่งหนึ่งก็รู้สึกโล่งอกอย่างปราศจากเหตุผล
“ได้เช่นนั้นก็ดี รอฝนหยุดแล้ว พวกเราค่อยออกเดินทางต่อ” เซ่าหมิงยวนพูดจบแล้วนิ่งเงียบไปชั่วครู่ถึงเอ่ยขึ้น “คานของรถม้าจวนท่านมีร่องรอยโดนทำให้หักด้วยฝีมือคน”