หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 137
รูม่านตาของเฉียวเจาหดแคบลง นัยน์ตาทั้งคู่ทอประกายเข้มขึ้น
คานรถม้าโดนคนทำหัก?
นี่หมายความว่ารถม้าพลิกคว่ำเพราะฝีมือคนหรือ
รถม้าเป็นของจวนตะวันตก ถึงแม้นางน่าจะเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ของคนทั้งจวนตะวันออก แต่พวกเขาไม่น่าจะเอื้อมมือมาได้ไกลเพียงนี้
ถ้าเป็นคนของจวนตะวันตก…
หลีเจี่ยวหรือ เด็กสาวผู้หนึ่งเฉกนางจะคิดเลื่อยคานรถม้า?
ในใจเฉียวเจาเกิดข้อกังขาขึ้น นางเห็นเซ่าหมิงยวนยังมองตนอยู่เงียบๆ ก็คลายยิ้ม “ทราบแล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านแม่ทัพที่ช่วยข้าไว้”
“คุณหนูหลีไม่ต้องเกรงใจ” เซ่าหมิงยวนยิ้มอย่างนุ่มนวล เขาอยากบอกว่าหมอเทวดาให้เขาคอยดูแลนางเป็นพิเศษ แต่กลัวว่าเช่นนี้จะทำให้นางอึดอัดใจจึงไม่พูดอะไรมาก เขาสองจิตสองใจครู่หนึ่งถึงเอ่ยถาม “คุณหนูหลี ท่านเจ็บที่ตรงใดอยู่ใช่หรือไม่”
เฉียวเจาอึ้งไปกับคำถามนี้ นางไม่กล่าวตอบ
เซ่าหมิงยวนงุนงงอยู่บ้าง ดูเหมือนเขาไม่ได้ถามปัญหาที่ตอบได้ยากอันใดนะ
พอเห็นท่าทางกระอักกระอ่วนของเขา เฉียวเจานึกขันอยู่สักหน่อย ยกยิ้มตรงมุมปากที่ขาวซีดพลางกล่าว “ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ”
“ดีขึ้นมากแล้วก็ดี” แม่ทัพหนุ่มไม่กล้าถามสุ่มสี่สุ่มห้าต่ออีก
เฉียวเจากลับเป็นฝ่ายไต่ถาม “แม่ทัพเซ่า ท่านผ่านมาทางนี้ได้อย่างไรเจ้าคะ”
หนนี้เป็นคราวชายหนุ่มนิ่งเงียบบ้าง
แม่นางเฉียวค่อนขอดในใจ นี่คือจะแก้ลำข้าสินะ
รอบห้องตกอยู่ในความเงียบอึดใจหนึ่ง เซ่าหมิงยวนอ้าปากพูด “ข้าไปจุดโคมประทีปที่วัดต้าฝู”
เฉียวเจาแจ่มแจ้งแล้ว ที่แท้เป็นอย่างนี้เอง
ตามประเพณีของทางเมืองหลวง เมื่อในเรือนมีคนล่วงลับ หลังนำลงฝังแล้ววันถัดมาประมุขหญิงของเรือนจะส่งคนไปอัญเชิญโคมประทีปไม่มีวันดับที่วัด แต่ไปทำที่วัดต้าฝูนั้นมีค่าใช้สอยสูงลิบลิ่ว ต่อให้เป็นตระกูลเศรษฐีผู้สูงศักดิ์ก็มิใช่ว่าจะรับภาระจ่ายได้ไหว
ดูจากท่าทางนี้ของเซ่าหมิงยวน เห็นชัดว่ามิใช่การจัดแจงของฮูหยินของจิ้งอันโหว คนที่อยู่ต่างเมืองเป็นเวลานานอย่างเขายังจดจำเรื่องนี้ได้ สร้างความประหลาดใจให้นางพอสมควรจริงๆ
“ไฉนคุณหนูหลีถึงออกจากเรือนในวันที่อากาศเช่นนี้ได้”
เฉียวเจาทำหน้ายิ้มๆ “ข้าจะไปที่อารามซูอิ่งคัดลอกพระธรรมกับซือไท่ที่นั่นทุกๆ เจ็ดวันเจ้าค่ะ”
“เป็นอู๋เหมยซือไท่ท่านนั้นใช่หรือไม่”
“แม่ทัพเซ่ารู้จักอู๋เหมยซือไท่เช่นกัน?”
แววตาของแม่ทัพหนุ่มแปรเปลี่ยนเป็นลุ่มลึกขึ้น “รู้จัก ข้าเคยไปที่วัดต้าฝูมาก่อน”
ชะรอยว่าท่วงทีกิริยาสงบเยือกเย็นของเด็กสาวกับอาณาบริเวณอันเงียบสงบแห่งนี้ทำให้มีความปรารถนาอยากเล่าความในใจ เซ่าหมิงยวนอมยิ้มตรงมุมปาก พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าจำได้ว่าตอนนั้นเป็นวันประสูติของพุทธองค์ พี่ชายของภรรยาข้าก็ไปที่นั่นด้วย ผลปรากฏว่าถูกหญิงสาวมากมายรุมล้อม เขาตกใจวิ่งหนีจนเกือบทำรองเท้าหลุด…”
เฉียวเจาใจกระตุกวูบหนึ่ง
ปีนั้นนางอายุสิบสี่ปี เซ่าหมิงยวนสมควรอายุสิบสี่ปีเท่ากัน แล้วเขาไปวัดต้าฝูกับพี่ใหญ่ได้อย่างไรกัน ครั้งนั้นเป็นความซุกซนของนางแท้ๆ ที่เขียนสารหลอกพี่ชายไปที่นั่น
“แม่ทัพเซ่ารู้จักกับพี่ชายของภรรยามานานถึงเพียงนั้นแล้วหรือถึงไปเที่ยววัดต้าฝูด้วยกัน” เฉียวเจาหยั่งเชิงถามด้วยสีหน้านิ่งสนิท
นางตั้งใจมองดูอยู่ เห็นรอยเก้อเขินจางๆ ในดวงตาคนตรงหน้าได้ชัดเจนก็กระหายอยากรู้ยิ่งขึ้น
พอถูกดวงตาสีดำขลับของเด็กสาวจ้องมอง เซ่าหมิงยวนจะนิ่งเงียบก็ไม่เป็นการดี เขากล่าวพร้อมรอยยิ้มตรงมุมปาก “ไม่ใช่ เห็นโดยบังเอิญถึงได้รู้”
นานทีปีหนจะกล่าวคำโกหกทำให้ชายหนุ่มรู้สึกร้อนผ่าวๆ ที่ใบหู
แน่นอนว่านั่นมิใช่ความบังเอิญ แต่เขาได้ยินมาว่าคู่หมั้นมาที่เมืองหลวง ด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็กหนุ่ม ประกอบกับแรงยุจาก ‘สหายกินสหายเที่ยว’ สองสามคนถึงไปป้วนเปี้ยนแถวๆ จวนสกุลเฉียว และได้พบพี่ชายของภรรยาออกจากเรือนโดยไม่ตั้งใจ เขาลอบติดตามไป หวังว่าจะได้ ‘บังเอิญเจอ’ กับคู่หมั้น
เพียงน่าเสียดายที่สุดท้ายแล้วไม่ได้พบกัน ต่อมาภายหลังท่านพ่อล้มป่วยหนักที่แดนเหนือ จวนจิ้งอันโหวง่อนแง่นเต็มที ด้วยเหตุนี้ความแปลกใหม่และความวาดหวังทั้งหมดทั้งมวลของเด็กหนุ่มจึงถูกทิ้งไว้ในเมืองหลวงอันรุ่งเรืองเฟื่องฟูแห่งนี้
ส่วนเขากลายเป็นแม่ทัพที่มือเปื้อนเลือดคนนับไม่ถ้วน ไม่อาจกลับไปเป็นคนเดิมได้อีกต่อไป…
เฉียวเจามองดูสีหน้าของคนเบื้องหน้าสายตาที่เปลี่ยนจากอ่อนโยนเป็นหดหู่อยู่เงียบๆ ไม่รู้เพราะเหตุใดนางก็ลอบทอดถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง
“ไฉนแม่ทัพเซ่าไปที่วัดต้าฝูคนเดียวเจ้าคะ”
ด้วยศักดิ์ฐานะของเขา จะไปที่ใดมาที่ใดโดยไม่พาองครักษ์ติดตามมาด้วยสักคนสองคนอย่างนั้นหรือ
“คนเดียวสะดวกกว่า” เซ่าหมิงยวนกล่าวด้วยท่าทางคล้ายไม่ใส่ใจ
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับภรรยา เขาไม่อยากให้ใครเข้ามายุ่งเกี่ยวมากเกินความจำเป็น ทั้งไม่อยากให้คนอื่นเห็นเขาในสภาพอ่อนแอหมดท่าแม้ว่าจะเป็นองครักษ์ประจำตัวเขาเองก็ตาม
แต่ว่า…
เซ่าหมิงยวนดึงความคิดคืนมาแล้วมองเด็กสาวตรงหน้าอย่างพินิจ
อันที่จริงก็มิใช่ว่าไม่ได้พาใครมาเลยสักคน
องครักษ์ใต้อาณัติเขาคนหนึ่งคอยสอดส่องดูแลคุณหนูหลีอยู่อย่างใกล้ชิด เมื่อเช้านี้ที่ปากทางเข้าวัดต้าฝู องครักษ์ผู้นั้นก็มารายงานให้เขารู้ว่าคุณหนูหลีมาที่นี่
รอเมื่อเขาสะสางธุระส่วนตัวเรียบร้อย องครักษ์ก็รายงานว่ารถม้าของคุณหนูหลีเพิ่งกลับไปได้ไม่นาน แต่องครักษ์ผู้นั้นกลับท้องเสียเลยมิได้ติดตามไป เขาดูสีท้องฟ้าแล้วเห็นว่าไม่เข้าที เป็นห่วงว่าจะนางจะประสบปัญหาใดถึงทิ้งองครักษ์ไว้ที่นั่นแล้วออกจากวัดก่อน
ชายหนุ่มมองเด็กสาวหน้าตาซีดเซียวอีกครา คิดคำนึงในใจว่า โชคดีที่ไล่ตามมาทัน ไม่เช่นนั้นถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณหนู ข้าคงละอายใจต่อท่านหมอเทวดา
อีกอย่าง…
เซ่าหมิงยวนพลันนึกถึงคำกล่าวซึ่งได้ยินที่นอกประตูก่อนหน้านี้ว่า ‘ข้าไม่รู้เช่นกัน แต่ข้าเคารพในทางเลือกของเขา’
เด็กสาวเฉกนี้สมควรอยู่ดีมีสุข แผ่นดินนี้มีคนที่ดีงามถูกทำลายมากมายเกินไปแล้ว
ปิงลวี่เห็นทั้งคู่ผลัดกันถามผลัดกันตอบแล้วยิ้มแก้มแทบปริด้วยความปลื้มใจ นางจรดฝีเท้าเดินไปตรงหน้าประตูชะโงกศีรษะมองไปข้างนอกแล้วอดตกใจไม่ได้ เพราะเห็นสองคนนั้นถูกมัดหันหลังชนกัน ในปากยัดผ้าเก่าๆ ไว้ ดวงตาฉายแววตื่นกลัวเต็มที่
แม่ทัพเซ่าจะจัดการสองคนนี้อย่างไรกันแน่นะ จะฆ่าคนจริงๆ หรือ
สาวใช้น้อยหันหน้ามองเซ่าหมิงยวนแวบหนึ่ง ค่อยมองไปทางคุณหนูของตน คิดคำนึงในใจว่า กระทั่งถูกศพทับตัวคุณหนูยังใจเย็นยิ่งกว่าข้ามาก น่าจะไม่กลัวกระมัง
“คุณหนูหลี ข้าออกไปดูข้างนอกสักหน่อย ท่านพักผ่อนมากๆ”
เฉียวเจาเห็นเซ่าหมิงยวนก้าวขายาวๆ เดินออกนอกประตูแล้ว นางคลายมือที่กุมท้องไว้ตลอดออก เบนหน้าไปอีกทางแล้วเริ่มอาเจียน แต่ยังคงกระเด็นใส่หนังเสือที่ห่อตัวไว้ไม่น้อย
“คุณหนู!” ปิงลวี่สะดุ้งโหยง นางนึกไว้แล้วเชียวว่าของพวกนี้สกปรกเกินไป คุณหนูจะทนไหวได้เช่นไร
“อย่าเอะอะสิ รีบเก็บกวาดให้สะอาดแล้วค่อยตักน้ำแกงมาให้ข้าอีกชาม…” ถ้อยคำหลังของเฉียวเจาขาดหายไปกะทันหัน
เซ่าหมิงยวนสาวเท้าปราดๆ เข้ามาโน้มตัวอุ้มนางขึ้นแล้วเดินออกไปข้างนอก
“ท่านแม่ทัพ ท่านจะพาคุณหนูของข้าไปที่ใดเจ้าคะ” ปิงลวี่เห็นดังนั้นก็ลุกลนไล่ตามไป
เซ่าหมิงยวนพาเฉียวเจามาที่ห้องครัว วางตัวบนม้านั่งเล็กๆ หน้าเตาไฟ พูดเสียงนุ่ม “ตรงนี้อบอุ่น”
ความหมายที่แฝงอยู่คือถอดหนังเสือที่เปรอะอาเจียนออกได้แล้ว
ถึงปกติเฉียวเจาจะเยือกเย็นปานใดก็ยังรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเมื่อถูกคนเห็นของที่อาเจียนออกมา ซ้ำยังเลอะไปบนตัวเขาอีก นางถอดหนังเสือออกไปเสียเลยแล้วหยิบไม้เขี่ยไฟในเตาโดยไม่เปล่งเสียงพูด
เซ่าหมิงยวนไม่เอาใจใส่ เดินไปทั่วห้องครัวรอบหนึ่ง พบข้าวกล้องเหลือติดอยู่ก้นไหตรงข้างผนัง เขาหยิบมากำหนึ่งแล้วบอกกับเฉียวเจา “น้ำแกงเนื้อสัตว์นั่นอย่าดื่มเลย ข้าต้มโจ๊กให้”
“ให้ปิงลวี่ทำเถอะเจ้าค่ะ” เฉียวเจาหายกระอักกระอ่วนใจในที่สุด นางนึกในใจว่าเมื่อครู่เซ่าหมิงยวนออกไปคงมิใช่ดูออกว่านางอยากอาเจียนแต่ทนฝืนไว้กระมัง
ช่างสังเกตจนน่าหมั่นไส้จริงๆ จะเข้ามาช้าหน่อยมิได้รึ
ปิงลวี่ได้ยินแล้วดึงๆ ชายเสื้อผู้เป็นนายทันที
คุณหนูอย่าล้อเล่นเลย นางต้มโจ๊กข้าวกล้องพรรค์นี้เป็นตั้งแต่เมื่อไรกัน นางไม่เคยกินด้วยซ้ำไป
เฉียวเจาผู้ชาญฉลาดเกินใครเข้าใจความหมายของสาวใช้น้อยอย่างเห็นได้ชัด มุมปากของนางกระตุกริกอย่างสุดระงับ
“ข้าทำเองดีกว่า” เซ่าหมิงยวนอมยิ้มกล่าวขึ้น
“ได้เจ้าค่ะ” เฉียวเจาตอบอย่างว่องไว