หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 139
“แม่ทัพเซ่า?” เห็นเซ่าหมิงยวนยืนนิ่งอยู่หน้าประตู หยดน้ำไหลผ่านข้างแก้มส่งผลให้ดวงหน้าเขาคล้ายจะดูขาวมากขึ้น เฉียวเจาฉงนใจอยู่สักหน่อย
นางเลื่อนสายตาไปหยุดที่มือชายหนุ่ม พินิจดูครู่หนึ่งแล้วประหลาดใจอยู่บ้าง “ขิงป่า?”
ขิงป่าทำเป็นยาได้ มีสรรพคุณบรรเทาอาการปวดท้องปวดเอว อืม…ยังช่วยทำให้โลหิตไหลเวียนได้ดีและปรับระดู
โลหิตไหลเวียนได้ดีและปรับระดู!
เฉียวเจานิ่งขึงไป
ฉะนั้นตกลงว่าเซ่าหมิงยวนออกไปเก็บขิงป่ากลับมากำหนึ่งเพราะสรรพคุณใดกันแน่
จิตใจที่สงบนิ่งเป็นนิจของแม่นางเฉียวสับสนว้าวุ่นอย่างบอกไม่ถูกในชั่วพริบตา ดวงตากลมโตสุกใสจับจ้องคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูพลางคิดคำนึงในใจว่า เขาไม่น่าจะรู้เรื่องพรรค์นี้ของพวกสตรีกระมัง
“คุณหนูหลีรู้จักสิ่งนี้หรือ” หลังตกอยู่ในความเงียบเป็นเวลาสั้นๆ เซ่าหมิงยวนก้าวขายาวๆ เข้ามามองโจ๊กที่เดือดพล่านในหม้อ จากนั้นเดินไปตรงริมผนังก้มตัวตักน้ำล้างขิงป่าจนสะอาดค่อยโยนใส่ลงหม้อ
เฉียวเจาขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว “เช่นนี้รสชาติจะแปลกมากนะเจ้าคะ”
“อือ แต่กินแล้วมีประโยชน์ คุณหนูหลีทนสักนิดเถอะ” เซ่าหมิงยวนยืนอยู่ข้างเตาไฟ เสียงน้ำหยดลงกระทบฟืนดังแปะ
เฉียวเจาขยับไปด้านข้าง “แม่ทัพเซ่าผึ่งเสื้อผ้าให้แห้งเถอะ”
“อ้อ ขอบคุณ” พอคิดถึงวีรกรรมที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเองกระทำไว้ เซ่าหมิงยวนก็ไม่อาจปล่อยตัวตามสบายได้เฉกก่อนหน้า เขานั่งลงเงียบๆ ใคร่ครวญว่าสมควรเปิดเผยกับเด็กสาวอย่างไรดี
เสียงน้ำหยดลงบนเปลวไฟแล้วแห้งเหือดไปยังคงดังไม่หยุด ทว่าคนสองคนที่หน้าเตาไฟกลับนิ่งเงียบไป
ปิงลวี่รู้สึกได้ว่าบรรยากาศชอบกลๆ นางชะโงกมองลงไปในหม้อแล้วพูดอย่างไม่แน่ใจ “โจ๊กน่าจะต้มได้ที่แล้วกระมังเจ้าคะ”
เซ่าหมิงยวนดึงความคิดคืนมาแล้วพยักหน้า “เสร็จแล้ว”
เขาหมุนตัวจะไปหยิบชาม ปิงลวี่รีบพูดขึ้น “แม่ทัพเซ่าผิงไฟเถอะ ข้าทำเองก็ได้เจ้าค่ะ”
ปิงลวี่ตักโจ๊กสองชามอย่างว่องไว ยื่นชามหนึ่งให้เฉียวเจา อีกชามหนึ่งให้เซ่าหมิงยวนแล้วค่อยให้ตนเองหนึ่งชาม นางกุมชามโจ๊กด้วยสองมือพลางกล่าว “คุณหนู แม่ทัพเซ่า พวกท่านผิงไฟกันนะเจ้าคะ ข้าจะไปดูเจ้าคนเลวสองคนนั้นไว้มิให้พวกเขาหนีไป”
เฉียวเจาเห็นสาวใช้น้อยเดินลิ่วๆ จนลับร่างไปอย่างว่องไวแล้วกะพริบตาปริบๆ
นายพรานเคราะห์ร้ายสองคนนั้นถูกปิงลวี่ตีศีรษะสลบไปแล้วไม่ใช่หรือ ยังจะไปดูอะไรอีก
เซ่าหมิงยวนถือชามโจ๊กไว้พลางเอ่ยปากขึ้น “ปิงลวี่เป็นคนตีนายพรานสองคนนั้นสลบไปหรือ”
เฉียวเจาอึ้งไปเล็กน้อยก่อนพยักหน้า “ใช่เจ้าค่ะ”
นางคิดๆ แล้วเห็นว่าสาวใช้ประจำตัวดุร้ายเพียงนี้ดูเหมือนไม่ใคร่ดีนัก จึงพูดแก้ต่างให้ปิงลวี่
“นางเป็นห่วงว่าสองคนนั้นจะแก้มัดได้แล้วข้าจะมีอันตรายเจ้าค่ะ”
“ไม่ได้”
เฉียวเจาได้ยินคำนี้แล้วเงยหน้าขึ้น สายตาก็ปะทะเข้ากับดวงตาดำเข้มพราวระยับดุจผืนน้ำ
“ข้าใช้วิธีมัดคนแบบพิเศษ ไม่มีทางแก้หลุดได้”
เฉียวเจาแย้มปากยิ้ม “ข้าทราบเจ้าค่ะ”
เขาคือแม่ทัพเป่ยเจิงผู้ทรงเกียรติ และกวนจวินโหวผู้มิเคยพ่ายศึก ถ้าแม้แต่นายพรานสองคนก็ยังหนีพ้นมือเขาไปได้ เขาคงมีชีวิตอยู่ไม่ถึงตอนนี้แล้ว
เซ่าหมิงยวนคลายยิ้ม เขาคิดมาโดยตลอดว่าการวิสาสะกับสตรีเป็นเรื่องยากลำบากมาก แต่เมื่อพูดคุยกับคุณหนูหลีแล้วราวกับว่าไม่มีปัญหานี้
ชายหนุ่มจับจ้องเปลวไฟที่เต้นระริกนานครู่ใหญ่แล้วชายตามองเฉียวเจาปราดหนึ่ง
ศีรษะของเด็กสาวโพกด้วยผ้าผืนยาวไว้ลวกๆ ที่ดูท่าจะฉีกจากอาภรณ์ของตน นางในลักษณาการนี้ห่างไกลจากคำว่า ‘สง่างาม’ ลิบลับ กระนั้นสีหน้าแววตากลับสงบผ่อนคลาย เสี้ยวหน้าด้านข้างงดงามเย็นตา
เซ่าหมิงยวนรวบรวมความกล้าอยู่ในใจแล้วถามหยั่งเชิง “คุณหนูหลี ก่อนหน้านี้ข้าบอกว่ารถม้าของท่านมีร่องรอยโดนทำหักด้วยฝีมือคน…”
แพขนตาของเฉียวเจากระพือขึ้นลงเบาๆ นางนิ่งเงียบรอเขาพูดต่อไป
เซ่าหมิงยวนโดนนางจ้องหน้าแล้วเริ่มกระดากใจ คำพูดสารภาพที่เตรียมไว้ในทีแรกมาจ่อรอที่ปลายลิ้นแล้วกลับกลายเป็น “ท่านรู้หรือไม่ว่าใครเป็นคนทำ”
“ข้า?” เฉียวเจาใช้ไม้เขี่ยไฟเบาๆ แล้วส่ายหน้า “ข้าไม่ทราบเจ้าค่ะ”
“ถ้ารู้แล้ว…ท่านตั้งใจจะทำอย่างไร”
เฉียวเจาฟังแล้วกวัดแกว่งไม้เขี่ยไฟในมือไปมา เปล่งเสียงหัวร่อในลำคอ “เช่นนั้นย่อมต้องให้เขาได้เจอดีแน่ หาไม่แล้วสะสางความแค้นด้วยคุณความดี แล้วจะตอบแทนคุณความดีด้วยสิ่งใดเล่า”
นางกล่าวจบไม่เห็นเซ่าหมิงยวนพูดตอบเลยหันไปมองเขา “แม่ทัพเซ่า ท่านว่าใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ผู้นำทัพออกศึกมานาน ไม่มีทางเป็นคนเมตตาใจอ่อนกระมัง ปัญหาพรรค์อย่างนี้ยังต้องถามด้วยหรือ
“ฮ่าๆ” แม่ทัพหนุ่มหัวเราะฝืดๆ
ดังนั้นถ้าเขาเปิดเผยความจริงตอนนี้ คุณหนูหลีจะเอาไม้เขี่ยไฟท่อนนี้ประเคนใส่เขาใช่หรือไม่
เฉียวเจาเป็นคนเฉียบไว นางรู้สึกได้อย่างรวดเร็วว่าหลังจากเซ่าหมิงยวนออกไปข้างนอกมาก็ดูผิดไปจากก่อนหน้านี้อยู่บ้าง นางครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนถามขึ้น “แม่ทัพเซ่า หรือท่านรู้เงื่อนงำใด”
ไม่เช่นนั้นเขาเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาอีกมีความหมายว่าอะไรเล่า คงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะช่วยหาตัวคนผู้นั้นออกมาแล้วค่อยสั่งสอนผู้บงการเบื้องหลังแทนนางกระมัง ถ้าอย่างนั้นเขาออกจะทุ่มเทใจเกินไปแล้ว
หรือว่า…
เฉียวเจานึกถึงความเป็นไปได้ประการหนึ่งขึ้นมาโดยพลัน พาให้สีหน้าขรึมลงทันที
เจ้าคนบัดซบผู้นี้ หรือว่ากระดูกของข้ายังไม่ทันเย็น เขาก็มีจิตปฏิพัทธ์ต่อหญิงอื่นแล้ว
ยามมองไปที่เสื้อคลุมสีขาวที่ดูสีเดิมไม่ออกแล้วบนตัวชายหนุ่ม นางหนาวเหน็บใจเหลือจะกล่าว
แม้จะพูดว่าบัดนี้นางกลายเป็นหลีเจาแล้วต่างฝ่ายต่างไม่เกี่ยวข้องกันอีก ทว่าเห็นอดีตสามีกระทั่งเวลาปีเดียวยังทนรอไม่ไหวก็มีใจหมายปองเด็กสาว นางบังเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากฟาดเขาด้วยไม้เขี่ยไฟสักทีหนึ่ง
รังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านทั่วสรรพางค์กายของสาวน้อยทำให้เซ่าหมิงยวนรีบขยับออกห่าง เขาพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “คุณหนูหลี เป็นไปได้มากว่าข้าดูผิดไปเอง”
เขายอมกลับไปซ้อมเจ้าหนุ่มตัวเหม็นผู้นั้นให้น่วมแล้วคอยดูแลนางให้เต็มที่ในวันหน้า ดีกว่าบอกความจริงกับคุณหนูหลีที่น่ากลัวเช่นนี้
“คิกๆ แม่ทัพเซ่าอย่าปลอบใจข้าเลย” เฉียวเจารู้สึกว่ามีพิรุธมากขึ้น นางทำหน้าตึงกล่าวขึ้น “แม่ท่านเซ่าอย่าเห็นข้าเป็นเด็กสาวขี้ขลาดตาขาว แทนที่จะไม่รู้เรื่องรู้ราวใดเลย ข้าอยากรู้ว่าคนที่เล่นงานข้าลับหลังเป็นใครมากกว่า วันหน้าถึงจะไม่พลาดท่าเสียทีอีก”
เซ่าหมิงยวน “…” เด็กสาวผู้นี้ล่อหลอกได้ยากเหลือเกิน
เขาเริ่มสองจิตสองใจระหว่างรับสารภาพกับเป็นผู้ร้ายปากแข็งอีกคำรบหนึ่ง
เฉียวเจาปรายตามองเขาแล้วกล่าวเสียงเรียบ “อันที่จริงเรื่องคนที่ทำรถม้าข้าพังน่ะ ข้าพอจะเดาได้รางๆแล้ว”
“เอ๊ะ?” แววตาของเซ่าหมิงยวนไหวระริก
“ความเป็นไปได้ที่รถม้าจะมีปัญหาตอนไปที่วัดต้าฝูนั้นมีไม่มาก ไม่เช่นนั้นคงพังไปแต่แรกแล้ว อีกทั้งจะถูกสารถีจับได้ง่าย ข้าเดาว่าความเป็นไปได้มากที่สุดคือตอนสารถีรอข้าอยู่นอกวัด มีคนฉวยจังหวะเขาเผลอทำให้คานรถม้าหัก เช่นนั้นแล้วคนที่กระทำเรื่องนี้มีโอกาสแปดถึงเก้าในสิบส่วนที่จะเป็นคนที่ไปไหว้พระ” เฉียวเจาพูดพินิจพิเคราะห์ด้วยน้ำเสียงเนิบช้า “รถม้าขององค์หญิงประสบกับเหตุไม่คาดฝันกลางทาง พวกเขายอมอาศัยรถม้าของข้าแสดงว่าพวกเขาไม่รู้ว่ามันมีปัญหา จึงตัดพวกเขาออกไปได้ ทว่าวันนี้มิใช่วันพิเศษอะไร ซ้ำยังอากาศไม่ดี คนที่ไปไหว้พระที่วัดต้าฝูน่าจะมีไม่มากนัก ดังนั้นข้าย้อนกลับไปถามดู ไม่แน่ว่าอาจได้เบาะแสบ้างก็เป็นได้”
คนบางคนตัดสินใจได้ในพริบตา เขาบอกความจริงจะดีกว่า
“คุณหนูหลี…” เซ่าหมิงยวนเรียกขานคำหนึ่ง
เฉียวเจาวางไม้เขี่ยไฟลง นวดๆ ตรงข้อมือเบาๆ พลางเอ่ย “หือ?”
“จริงๆ แล้ว…ผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าเป็นคนที่ทำให้รถม้าของท่านพัง…”
เฉียวเจาหยิบไม้เขี่ยไฟขึ้นอีกคราโดยไม่รู้ตัว
นี่มันเรื่องอะไรกัน ก่อนหน้านี้เซ่าหมิงยวนบอกนางว่าคานรถม้าโดนทำหักด้วยฝีมือคน ตอนนี้ก็บอกนางอีกว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเป็นคนทำพัง ถ้าอย่างนั้นนางจะเข้าใจได้หรือไม่ว่าเจ้าบัดซบผู้นี้หาเรื่องชวนคุยเพื่อเกี้ยวพาราสีเด็กสาว