หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 143
หมอเทวดาก้าวขาเดินเข้าไปแล้วบอกเสียงห้วนว่า “พวกเจ้ารออยู่ด้านนอก” จบแล้วก็ปิดประตูดังปัง ยอมให้ปิงลวี่อยู่ในห้องเท่านั้น
เสียงเอะอะอึกทึกเหล่านี้ยังคงไม่อาจปลุกคนบนเตียงให้ตื่นขึ้นได้
หมอเทวดาหลี่เดินปราดๆ เข้าไปยื่นมือแตะข้อมือของเด็กสาว
ปิงลวี่ถามอย่างวิตกกังวล “ท่านหมอเทวดา คุณหนูของข้าไม่เป็นไรกระมังเจ้าคะ”
“ไม่ถึงตาย”
ปิงลวี่กัดริมฝีปาก
ตาเฒ่าผู้นี้พูดจาอย่างไรนี่ เขามิใช่ท่านปู่บุญธรรมของคุณหนูหรือ ตายไม่ตายอะไรกัน ถุยๆๆ คุณหนูของข้าต้องอายุยืนร้อยปีนะ
ข้าเองก็ต้องอายุยืนร้อยปี ถึงตอนนั้นยังได้ปรนนิบัติรับใช้คุณหนู!
สาวใช้น้อยได้ตั้งปณิธานอันแสนยิ่งใหญ่ไว้แล้ว
หมอเทวดาหลี่ดึงมือกลับ หยิบขวดกระเบื้องใบหนึ่งจากหีบยาประจำตัว เปิดฝาเทยาลูกกลอนออกมาเม็ดหนึ่งป้อนใส่ปากเฉียวเจาแล้วเอ่ยสั่งปิงลวี่ “ป้อนน้ำนาง”
ดวงตาของปิงลวี่กลับจ้องเขม็งที่ถุงผ้าปักค่อนข้างเก่าในมุมหนึ่งของหีบยาที่เปิดอ้าอยู่อย่างใจลอย
หมอเทวดาหลี่ยกมือเคาะศีรษะปิงลวี่ทีหนึ่งแล้วพูดดุ “เจ้าหัวทึบใช่หรือไม่ ขืนยังไม่ป้อนน้ำอีก คุณหนูของเจ้าจะติดคอตายได้นะ”
สาวใช้ผู้นี้ไม่ฉลาดมีไหวพริบเท่าคนที่ชื่ออาจูนั่น
ปิงลวี่โดนตีเจ็บแทบน้ำตาไหลลงมา แต่นางมิได้ปริปากบ่นสักคำ เร่งรีบรินน้ำแล้วพยุงลำตัวท่อนบนของเฉียวเจาขึ้นและป้อนน้ำให้อย่างระมัดระวัง
เฉียวเจาเพียงหลับลึกอยู่เพราะตัวร้อน หาใช่หมดสติไม่รู้เรื่องรู้ราว จึงยังกลืนน้ำลงคอได้ตามสัญชาตญาณ
ปิงลวี่ถอนใจโล่งอก หยิบผ้าสะอาดมาเช็ดมุมปากให้ สายตาของนางอดเหลือบมองไปที่หีบยาซ้ำอีกคราไม่ได้
หมอเทวดาหลี่ชักโกรธจนหนวดกระดิก “เจ้าสาวใช้ผู้นี้แอบมองอะไรอยู่ได้”
ปิงลวี่เป็นคนที่เก็บคำพูดไม่อยู่ นางกัดริมฝีปากกล่าวขึ้น “ข้ากำลังมองถุงผ้าปักในหีบยาของท่านใบนั้นเจ้าค่ะ”
หมอเทวดาหลี่เบนสายตาไปมองแล้วหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย เขายกมือปิดหีบยาทันควัน หันมาจ้องหน้านางพลางพูดเสียงมึนตึง “ถุงผ้าปักมีอะไรน่ามอง รอแม่หนูเจาตื่นแล้ว ข้าต้องอบรมสั่งสอนนางสักยกหนึ่ง ไฉนสาวใช้ที่อยู่ข้างกายถึงไร้มารยาทเช่นนี้”
พอได้ยินว่าตนสร้างความอับอายให้คุณหนู ปิงลวี่ร้อนใจขึ้นมาทันใด นางรีบพูดแก้ตัวว่า “ไม่ใช่นะเจ้าคะ ท่านหมอเทวดา ข้าเห็นว่าถุงผ้าปักเก่าๆ ในหีบยาท่านใบนั้นคล้ายคลึงกับถุงผ้าปักของคุณหนูข้าอย่างมาก”
มันแสนจะน่าเกลียดได้อย่างมีเอกลักษณ์ปานนั้น นางต้องคิดจนหัวแทบแตกถึงหาเหตุผลกล่าวชมได้ นางน่ะจดจำได้ฝังใจเลย
“ถุงผ้าปักคล้ายกันมากหรือ” หมอเทวดาได้ยินวาจานี้แล้วหรี่ตาลง
ด้วยกลัวเขาไม่เชื่อ ปิงลวี่ลุกลนล้วงถุงผ้าปักสีเรียบๆ ใบหนึ่งจากอกเสื้อ ยื่นไปตรงหน้าเขาพร้อมกล่าว “ท่านดูสิเจ้าคะว่าคล้ายคลึงหรือไม่ ชั้นในถุงผ้าปักของคุณหนูข้ายังบุด้วยหนังปลา ข้าเห็นว่าคุณหนูชอบถุงผ้าปักใบนี้มาก เวลาผลัดอาภรณ์จะตั้งใจเก็บขึ้นเป็นอย่างดี…”
นางพูดไม่ทันจบ หมอเทวดาหลี่ก็ฉวยถุงผ้าปักไปเพ่งมองนานสองนาน สีหน้าเขาแปรเปลี่ยนไปทีละน้อย
รูปทรงของถุงผ้าปักใบนี้เหมือนกับใบที่แม่หนูเฉียวเคยมอบให้เขาจริงๆ แล้วชั้นในของมันก็บุด้วยหนังปลาเช่นกัน…
ชายชรากำถุงผ้าปักไว้แน่น ทอดสายตามองคนที่นอนอยู่บนเตียง
สองแก้มของเด็กสาวค่อยๆ มีสีเลือดขึ้นทีละน้อย ลมหายใจแผ่วเบาเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ยังคงไม่มีวี่แววว่าจะตื่นขึ้น
เหน็ดเหนื่อยมากไปและใช้กำลังกายเกินขีดจำกัด ยาดีเพียงใดก็มิอาจทดแทนประโยชน์จากการนอนพักได้
กระนั้นหมอเทวดาหลี่ก็ล้วงเข็มทองหลายเล่มออกมาอีกครั้งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาบอกกับปิงลวี่ว่า “เจ้าก็ออกไปด้วย”
ปิงลวี่มองผู้เป็นนายที่หลับสนิทอยู่แวบหนึ่งแล้วไม่ขยับตัว
“ออกไป ข้าจะฝังเข็ม ข้อห้ามร้ายแรงที่สุดคือถูกรบกวน”
“เจ้าค่ะ เช่นนั้นรบกวนท่านช่วยรักษาคุณหนูของข้าด้วย”
ปิงลวี่ออกไปแล้ว หมอเทวดาหลี่ฝังเข็มทองตามจุดชีพจรของเฉียวเจาหลายจุด ไม่นานนักเปลือกตาของนางก็กระดิกเบาๆ ก่อนลืมตาขึ้น
“ท่านปู่หลี่?”
เขายื่นถุงผ้าปักไปตรงหน้าเด็กสาว เอ่ยถามนางว่า “ถุงผ้าปักใบนี้ได้มาจากที่ใด”
“ข้าทำเองเจ้าค่ะ” ยามอยู่กับหมอเทวดาหลี่ เฉียวเจาไม่ต้องระแวงระวังตัวใดๆ นางตอบตามสบาย
“เจ้าทำเอง?” หมอเทวดาหลี่ใจเต้นรัวแรง จับจ้องเฉียวเจาไม่วางตา “เหตุใดเจ้าถึงบุหนังปลาไว้ชั้นในของถุงผ้าปัก”
“เพราะกันน้ำได้น่ะสิเจ้าคะ อย่างนั้นถ้าเป็นวันที่ฝนตก ของที่ใส่ไว้ในถุงผ้าปักก็จะไม่โดนน้ำจนเปียกแฉะ” เฉียวเจายิ้มละไม นางสบตากับเขาอย่างเปิดเผย
หัวใจของหมอเทวดาหลี่แทบกระดอนออกมานอกอก เขาอายุปูนนี้แล้วชักทนไม่ไหวอยู่บ้าง รีบหยิบยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งใส่ปากระงับอาการตื่นเต้นไว้
เมื่ออารมณ์สงบลง เขาหมุนกายไปเปิดหีบยาหยิบถุงผ้าปักเก่าๆ ใบนั้นออกมา
เฉียวเจามองอยู่เงียบๆ ด้วยสีหน้านิ่งสนิทตลอดเวลา
หมอเทวดาหลี่วางมันคู่กับถุงผ้าปักที่ได้มาจากปิงลวี่แล้วมองเด็กสาว
“แม่หนูเจา”
“หือ?”
“เจ้าไม่รู้สึกว่าถุงผ้าปักสองใบนี้คล้ายกันมากหรือ”
เฉียวเจายิ้มแล้ว “ดูไปแล้วเหมือนกันเจ้าค่ะ”
ฉะนั้นข้อกังขาและความรู้สึกคุ้นเคยคล้ายว่ารู้จักกันมาก่อนซึ่งเกิดขึ้นนับแต่พานพบกันโดยบังเอิญที่แดนใต้เหล่านั้น ในที่สุดท่านปู่หลี่ก็จะถามออกจากปากในเสี้ยวขณะนี้แล้วใช่หรือไม่
หมอเทวดาหลี่นิ่งเงียบไป เขากลับด้านในของถุงผ้าปักเก่าออกมา ชี้ให้นางดู “ชั้นในนี้ก็ทำจากหนังปลาเหมือนกัน”
เขาเพ่งมองเฉียวเจานิ่งๆ อ้าปากกล่าวเสียงเนิบนาบ “ถุงผ้าปักใบนี้เป็นหลานสาวอีกคนหนึ่งของท่านปู่มอบให้เมื่อหลายปีก่อน”
เฉียวเจายกมุมปากเล็กน้อย ริมฝีปากซีดขาวเริ่มมีสีอมชมพูจางๆ นางพูดยิ้มๆ “ท่านปู่หลี่เก็บถุงผ้าปักเก่าๆ ใบนี้ไว้นานเหลือเกินนะเจ้าคะ”
หมอเทวดาหลี่ไม่พูดตอบ เพียงมองนางอยู่อย่างนี้ราวกับจะมองให้ลึกเข้าไปถึงในใจนาง
หลังอยู่ในความเงียบเนิ่นนาน หมอเทวดาหลี่ถึงเอ่ยถามเสียงแหบพร่า “แม่หนูเจา เป็นเจ้าใช่หรือไม่”
เฉียวเจาหลุบตาลง น้ำตารื้นขอบตาทีละน้อย ขนตาหนาเป็นแพดุจขนนกกระพือขึ้นลงเบาๆ หยาดน้ำตาใสแวววาวเอ่อล้นออกมาหยดหนึ่ง มันไหลลงมาตามข้างแก้มขาวลอออย่างช้าๆ
เด็กสาวเหลือบตาขึ้นมองชายชราที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม กล่าวเสียงเบาว่า “ใช่เจ้าค่ะ”
ต่อแต่นี้เป็นต้นไป ใต้หล้านี้มีคนผู้หนึ่งที่นางสามารถเป็นเฉียวเจายามอยู่เบื้องหน้าเขาได้แล้วในที่สุด
หมอเทวดาหลี่คล้ายไม่อยากเชื่อว่าจะได้รับคำตอบยืนยันอย่างง่ายดาย
เขาตะลึงงันไป นานครู่ใหญ่ถึงคว้าข้อมือของเฉียวเจาหมับ จ้องนางตาเขม็ง ดวงตาทอประกายแรงกล้า “เป็นไปได้อย่างไร เป็นไปได้อย่างไรกัน”
เขาสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่งก่อนคลายมือออก จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังอย่างบ้าคลั่ง
ที่แท้สิ่งที่เขาศึกษามาหลายปีนี้มิใช่ความงมงายเพ้อฝัน เขาไม่ได้หมกมุ่นจนสติวิปลาส
ประหนึ่งว่าก้อนหินที่กดทับตรงกลางอกมานานแสนนานถูกยกออกไป เสียงหัวร่อของหมอเทวดาฟังดูทั้งบ้าคลั่งทั้งลำพองใจเกินไป เป็นเหตุให้คนที่อยู่ด้านนอกผลักประตูวิ่งกรูกันเข้ามา
เสียงหัวเราะของหมอเทวดาหลี่หยุดกะทันหัน เขาปั้นหน้าบึ้งพูดตวาด “ไสหัวออกไปให้หมด! ข้ายังรักษาไม่เสร็จนะ”
ฉือชั่นยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับกาย “ท่านหมอเทวดากล่าวคำนี้ไม่ถูกต้องกระมัง ข้าเห็นคุณหนูหลีตื่นแล้ว…”
ไม่ทันสิ้นเสียง เขาก็เห็นหมอเทวดาหลี่สะบัดแขนเสื้อ ห่าเข็มเงินก็พุ่งตรงมาหาราวกับเทพธิดาโปรยดอกไม้
หยางโฮ่วเฉิงซึ่งเคยได้ลิ้มรสชาติของเข็มเงินเล่มเล็กมาก่อนรู้ซึ้งถึงฤทธิ์เดชของมันดี เขาหน้าถอดสีตะโกนขึ้น “ไม่ได้การแล้ว เข็มเงินมีพิษ!”
ชั่วพริบตานั้น เซ่าหมิงยวนจับคอเสื้อของฉือชั่นผลักตัวเขาไปข้างหลัง พร้อมกับสะบัดมืออีกข้างหนึ่งใช้แขนเสื้อปัดเข็มเงินตกลงบนพื้นทั้งหมดอย่างว่องไวโดยที่สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน
“ท่านหมอเทวดาโปรดระงับโทสะ พวกข้าจะออกไปเดี๋ยวนี้” เซ่าหมิงยวนยังคงอมยิ้มตรงมุมปาก กล่าวอย่างสุขุมมีมารยาท
เขามองเฉียวเจาปราดหนึ่ง พยักหน้าแล้วจะถอยออกไป แต่หมอเทวดาหลี่กลับเอ่ยปากขึ้น “ประเดี๋ยวก่อน!”