หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 144
“นอกจากเขา พวกเจ้าล้วนออกไปให้หมด”
หมอเทวดากล่าวถ้อยคำนี้ขึ้นห้วนๆ อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เขาเบนหน้ามองเฉียวเจาก่อนค่อยมองเซ่าหมิงยวนอีกที ใบหน้าฉายอารมณ์แปรปรวน “เจ้าก็ออกไปด้วยเถอะ”
คนทั้งกลุ่มถอยออกไปนอกห้องอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก
หยางโฮ่วเฉิงพูดอย่างอดกลั้น “ถิงเฉวียน ไฉนข้ารู้สึกว่าหมอเทวดาหลี่มองเจ้าด้วยสายตาแปลกๆ สายตาที่เขามองคุณหนูหลีก็แปลกมากเหมือนกัน…”
เซ่าหมิงยวนตวัดสายตามองฉือชั่นอย่างรวดเร็วก่อนกล่าวเสียงเรียบ “เจ้าตาฝาดไปแล้วเป็นแน่”
“เป็นไปไม่ได้ เมื่อครู่หมอเทวดาหลี่ก็จะเรียกเจ้าไว้คนเดียวมิใช่หรือ”
“แล้วตอนนี้คนที่ยืนอยู่ตรงนี้เป็นใครหรือ” ฉือชั่นปริปากอย่างไม่สบอารมณ์
หากคนป่วยต้องการอาหารตา เช่นนั้นสมควรให้เขาอยู่ในห้อง หาใช่เซ่าหมิงยวนไม่!
เป็นไปได้มากว่าตาเฒ่าผู้นั้นจะตาบอด!
“นั่นสินะ” หยางโฮ่วเฉิงเกาศีรษะแกรกๆ กล่าวพลางทอดถอนใจ “ยอดฝีมือเหล่านี้ล้วนมีนิสัยแปลกประหลาดเหลือเกิน ใครจะรู้ว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่”
เขาคิดเช่นนี้แล้วลอบมองเซ่าหมิงยวนแวบหนึ่งพลางรำพึงในใจ จะว่าไปแล้ว ถิงเฉวียนก็เป็นผู้มีความสามารถสูงเหมือนกัน ทอดสายตาไปทั้งเมืองหลวง หาผู้ใดมีฝีมือเชิงยุทธ์เทียบเคียงเขาได้
กระนั้นเรื่องนี้จะอิจฉาไปก็ป่วยการ ถิงเฉวียนมีพรสวรรค์เหนือใคร เป็นผู้ที่เกิดมาเพื่อฝึกยุทธ์ขนานแท้
ยังดีที่นิสัยใจคอของถิงเฉวียนเป็นปกติดี
ภายในห้อง
หมอเทวดาหลี่อ้าปากออก “เขา…”
เขามองหน้าเฉียวเจาแล้วเปลี่ยนเป็นพูดว่า “เจ้า…”
หางตาของเฉียวเจายังมีคราบน้ำตาอยู่ นางแย้มริมฝีปากออก “ท่านปู่หลี่อยากพูดอะไรเจ้าคะ”
“ข้า…” นั่นสิ เขาอยากพูดอะไรหรือ เขามีเรื่องอยากพูดมากมายเหลือเกิน
เหตุใดตอนนั้นถูกพวกต๋าจื่อจับตัวไป เสี้ยวขณะที่จบชีวิตรู้สึกอย่างไร เหตุใดถึงกลายเป็นอีกคนหนึ่ง ร่างกายมีอะไรผิดปกติหรือไม่
ไม่ว่าในฐานะผู้อาวุโสคนหนึ่งหรือว่าหมอคนหนึ่ง เขาล้วนมีคำถามอยากถามนับไม่ถ้วน แต่เพราะเจ้าหนุ่มผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าประตูทำให้ความคิดเขาสับสนยุ่งเหยิงไปหมด
เจ้าคนบัดซบนั่นเป็นคนสังหารแม่หนูเจา ยามเผชิญหน้ากับเขาอีกครานางมีความรู้สึกเช่นไร
“แม่หนูเจา เขา…รู้ว่าเจ้าเป็นใครหรือไม่”
น้ำเสียงระมัดระวังของชายชราเป็นเหตุให้เฉียวเจากลั้นยิ้มไม่อยู่ “ไม่รู้แน่นอนเจ้าค่ะ”
นางเม้มปากมองไปทางประตูที่งับปิดอยู่ กล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าจะบอกเขาได้อย่างไรกัน แท้จริงแล้วข้ากับเขาเป็นแค่คนแปลกหน้ากันนะเจ้าคะ”
หากมิใช่คำไหว้วานของท่านปู่หลี่ดึงทั้งคู่มาเกี่ยวข้องกันบ้างอย่างปราศจากเหตุผล สำหรับนางแล้ว เขาก็คือคนแปลกหน้าที่ผิดจากคนทั่วไปผู้หนึ่งเท่านั้นจริงๆ
“คนแปลกหน้าหรือ…” หมอเทวดาทวนคำพูดของนาง เขานิ่งคิดแล้วไต่ถาม “ไม่เกลียดชังเขา?”
เฉียวเจาคิดว่าชั่วชีวิตนี้ บางทีปัญหานี้อาจถูกถามครั้งนี้ครั้งเดียว ดังนั้นนางจึงตอบอย่างจริงจังเช่นกัน “ไม่เจ้าค่ะ ท่านปู่หลี่ไม่เคยไปแดนเหนือ จริงๆ แล้วความโหดเหี้ยมของชาวต๋าจื่อน่ากลัวยิ่งกว่าเสียงเล่าลือมากมายนัก ตอนที่ข้าตกอยู่ในมือพวกเขา พบกับจุดจบเช่นนั้นยังนับว่าโชคดี”
หากถูกเจ้าเดรัจฉานพวกนั้นผลัดกันย่ำยีจนตายจริงๆ เมื่อลืมตาฟื้นคืนชีพอีกครั้ง คงเป็นไปไม่ได้ที่จิตใจของนางจะเป็นเช่นนี้ เช่นที่สามารถปรับตัวทีละน้อยทีละนิดเพื่อเผชิญหน้ากับอนาคต
“แค่ว่าพอเห็นเขา จะนึกถึงเรื่องไม่น่ารื่นรมย์ได้ง่ายเจ้าค่ะ” ยามแม่นางเฉียวกล่าวคำนี้แฝงน้ำเสียงน้อยใจอย่างที่ตัวนางเองไม่ทันสังเกต
ทว่าหมอเทวดาหลี่จับสังเกตได้ เขายกมือขึ้นลูบผมนางเบาๆ พลางกล่าวปลุกปลอบ “นี่เป็นเรื่องปกติ มันเป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่ติดค้างคาใจเลยแม้แต่น้อยนิด แม่หนูเจาอย่าใจร้อน อดทนอีกไม่กี่ปี เจ้าหนุ่มบัดซบนั่นก็จะตายเพราะทนความเจ็บปวดจากพิษเย็นไม่ไหว ถึงตอนนั้นไม่มีใครขัดหูขัดตาเจ้า”
“ท่านปู่หลี่…” เฉียวเจาไม่รู้จะร่ำไห้หรือหัวเราะดี
ท่านปู่หลี่จงใจพูดเช่นนี้กระมัง
มิต้องเอ่ยถึงว่านางไม่ได้ชิงชังเขา ต่อให้เป็นเช่นนั้น นางก็ไม่อยากให้ดาวแม่ทัพของต้าเหลียงเป็นเช่นดาราดับแสงลาลับฟ้า เช่นนั้นจะเป็นเภทภัยของสตรีนับพันนับหมื่นเฉกเช่นนาง และนำความวิบัติมาสู่แผ่นดิน
“ท่านปู่หลี่ไม่ตั้งใจจะขับพิษเย็นให้เขาหรือเจ้าคะ”
หมอเทวดาหลี่เอ่ยด้วยรอยยิ้มพราย “นั่นสุดแท้แต่เจ้าแล้ว แม่หนูเจาต้องการ ข้าก็ขับพิษเย็นให้เขา แม่หนูเจาไม่ต้องการ เขาตายไปก็มิใช่กงการอะไรของข้า”
เฉียวเจา “…” ท่านปู่หลี่ยังคงถือใจตนเป็นใหญ่ปานนั้น
เมื่อปัญหานี้ถูกโยนมาให้นางตัดสินใจ ในใจนางรู้สึกแปลกๆ ชอบกลอยู่ไม่วาย
เฉียวเจาเป็นคนใจกว้างปล่อยวางได้ ในเมื่อนางไม่เกลียดชังเซ่าหมิงยวนก็จะไม่มีการพิพักพิพ่วนเป็นธรรมดา จึงเอ่ยขึ้นอย่างตรงไปตรงมาว่า “ท่านปู่หลี่ขับพิษเย็นให้เขาเถอะเจ้าค่ะ มีเขาอยู่ ราษฎรยังได้มีชีวิตสุขสงบมิใช่หรือ”
หมอเทวดาหลี่ขึงตาใส่นาง พูดอย่างจนใจ “เจ้าเด็กผู้นี้ กลับถอดแบบนิสัยท่านปู่เจ้ามาทั้งสิบส่วน”
ยามยากต้องตั้งตนอยู่ในความดีงามทั้งกายใจ ยามมีต้องเพียรทำคุณประโยชน์ต่อคนทั่วหล้า
สหายเก่ามีจิตใจสูงส่งและไม่ยึดติดสิ่งใด อบรมสอนสั่งเด็กผู้นี้ได้ดีเหลือหลาย ทำให้บางครั้งเขาอดคับแค้นใจแทนนางไม่ได้ อยากจะลากคอเจ้าหนุ่มตัวเหม็นที่อยู่ข้างนอกผู้นั้นมาถามดูว่า ‘เจ้าสังหารเด็กสาวที่ดีอย่างนี้ ไม่เสียใจภายหลัง ไม่ทรมานใจเลยใช่หรือไม่’
เขายังเรียกร้องน้อยเกินไป เพียงให้เจ้าคนบัดซบผู้นั้นดูแลแม่หนูเจาจะได้อย่างไร ต่อให้แม่หนูเจาจะเป็นแม่หนูหลี เจ้าหนุ่มนั่นก็สมควรดีต่อแม่หนูเจาอย่างสุดจิตสุดใจ ถึงต้องมอบชีวิตให้นางล้วนสมควรดีแล้ว
เมื่อได้รู้ความจริงว่าเฉียวเจาอยู่ในร่างนี้ ความโกรธแค้นอาฆาตต่อเซ่าหมิงยวนของหมอเทวดาหลี่ก็ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
น่าเสียดายที่เขาพูดไม่ได้ มันน่าอัดอั้นตันใจเจียนตายจริงๆ แต่ในเมื่อเขาไม่ได้อยู่เป็นสุข เขาก็จะไม่ให้เจ้าหนุ่มบัดซบนั่นได้อยู่เป็นสุขเร็วนักเช่นกัน
“ท่านปู่หลี่?”
หมอเทวดาหลี่มองนางด้วยหางตาปราดหนึ่ง พูดเสียงฮึดฮัดว่า “ร้อนใจอะไรกัน รอข้ากลับจากแดนใต้แล้วค่อยว่ากันอีกที ไม่ต้องรักษาใบหน้าพี่ชายเจ้าแล้วรึ”
แม่นางเฉียวโดนตัดพ้อต่อว่าอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทว่านางมิได้ร้อนใจ แน่นอนว่าต้องรักษาใบหน้าพี่ใหญ่ก่อนอยู่แล้ว
ยามนางคิดถึงพิษเย็นของเซ่าหมิงยวน ในใจบังเกิดความสงสารเล็กๆ น้อยๆ แต่เวลาคิดถึงใบหน้าพี่ใหญ่จะเจ็บปวดหัวใจนัก
อีกประการหนึ่ง การขับพิษเย็นของเซ่าหมิงยวนนั้นค่อนข้างยุ่งยากและต้องใช้เวลามาก อันที่จริงนางก็ทำได้เช่นกัน ทว่าแผลไฟไหม้ของพี่ชายกลับสุดปัญญา หากวันหน้าท่านปู่หลี่ไม่เต็มใจรักษาให้เซ่าหมิงยวน นางหาโอกาสช่วยเขาได้ แน่นอนว่าในสถานการณ์ที่ท่านปู่หลี่ยอมรักษาเขา นางอย่ารนหาเรื่องใส่ตัวจะดีกว่า
“ท่านปู่หลี่ ท่านไปแดนใต้ต้องระวังเนื้อระวังตัวให้มากนะเจ้าคะ โดยเฉพาะแถบริมทะเล ได้ยินว่ามีพวกวอโค่วออกอาละวาดอยู่ ไม่ปลอดภัยสักเท่าไร”
“ข้ารู้ ข้าพาเยี่ยลั่วไปด้วย ทั้งยังมีสารถีวรยุทธ์สูงอีกคน ล้วนเป็นระดับมือหนึ่งที่เจ้าหนุ่มนั่นหามาให้ข้า”
“สองคนจะน้อยเกินไปหรือไม่เจ้าคะ” เฉียวเจายังไม่วางใจ
หมอเทวดาหลี่โบกมือไปมา “ไม่น้อยแล้ว ข้าตาเฒ่าหงำเหงือกผู้เดียว ไม่มีเงินทองล่อตา ไม่มีรูปโฉมล่อใจ ขอแค่ออกจากเมืองหลวงแล้วไม่เปิดเผยฐานะ ใครจะจับตามองข้า พาไปสองคนก็เพียงพอแล้ว มีผู้ติดตามมากๆ กลับจะดึงดูดความสนใจ วุ่นวายด้วย”
เฉียวเจารู้ว่าหมอเทวดาหลี่มีนิสัยหัวรั้นจึงไม่เกลี้ยกล่อมต่อ เพียงแอบหมายใจไว้ว่าประเดี๋ยวค่อยไปพูดเตือนเซ่าหมิงยวนสักหน่อยให้ส่งคนตามอารักขาในที่ลับเพิ่มอีกสองสามคนเป็นอันสิ้นเรื่อง
“แม่หนูเจา ร่างนี้ของเจ้าอ่อนแอกว่าเมื่อก่อนมาก เจ้าอย่าลืมฝึกฝนร่างกายตามกระบวนท่าอู่ฉินซี่* ที่ข้าสอนให้นะ จะเกียจคร้านไม่ได้”
“เจ้าค่ะ” เฉียวเจายิ้มฝืดๆ
นางไม่มีพรสวรรค์ในเชิงนี้เท่าไรจริงๆ แต่เพื่อให้สุขภาพแข็งแรงขึ้นก็ควรมุมานะต่อไป
หมอเทวดาหลี่พยักหน้า “ข้าจะไปจากเมืองหลวงวันพรุ่งนี้ แต่เมื่อรู้ว่าเจ้าคือแม่หนูเจา กลับไปข้าจะรวบรวมของบางอย่างไว้ให้”
จากนั้นว่าแล้วถามถึงเรื่องที่นางตากฝน เฉียวเจาก็บอกเล่าเก้าสิบที่มาที่ไปของเรื่องนี้
เขาฟังจบแล้วมองสีท้องฟ้านอกหน้าต่าง เอ่ยถามขึ้นว่า “เวลานี้ยังไม่เห็นเจ้ากลับไป คนของจวนสกุลหลีน่าจะออกตามหาเจ้าแล้วกระมัง”
* อู่ฉินซี่ เป็นการออกกำลังกายเสริมสุขภาพที่สืบทอดกันมา โดยจะเลียนแบบท่าทางของสัตว์ห้าชนิดได้แก่ เสือ กวาง หมี ลิง และนก