หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 145
“น่าจะเป็นเช่นนั้นกระมัง” ครั้นนึกไปถึงฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งและหลีกวงเหวินกับภรรยา เฉียวเจาก็ยิ้มน้อยๆ
หมอเทวดาหลี่ยื่นมือไปเขกหน้าผากนาง กล่าวเทศนาว่า “ยังจะยิ้มอีก เจ้าเด็กผู้นี้ช่างไม่ทุกข์ร้อนเอาเสียเลย”
เฉียวเจายกมือกุมหน้าผาก แต่ยิ้มละไมดุจเก่า “พวกฮูหยินผู้เฒ่าล้วนเป็นคนดีเจ้าค่ะ”
สำหรับเรื่องชื่อเสียงของสตรีพรรค์นี้ ถึงอย่างไรก็สูญสิ้นไปนานแล้วตั้งแต่ตอนถูกล่อลวง ตอนนี้นางกลับผ่อนคลายสบายใจเสียอีก เพราะผู้อื่นมักไม่ตั้งความหวังกับเด็กสาวที่ถูกล่อลวงผู้หนึ่งจนสูงเกินไป
ส่วนสิ่งที่เรียกว่า ‘จารีตประเพณี’ ดังเช่นว่าสตรีถูกแตะต้องแค่ชายเสื้อก็แทบอยากให้จบชีวิตตนเองเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์และรักษาชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลใจจะขาดนั้น แม่นางเฉียวเย้ยหยันดูแคลนมาแต่ไหนแต่ไร
“ท่านย่าผู้นั้นของเจ้าไม่เลว แต่มารดาในตอนนี้…” หมอเทวดาทบทวนความทรงจำครู่หนึ่งแล้วเดาะลิ้นส่ายหน้า
เฉียวเจาไม่เห็นพ้องด้วย นางกล่าวยิ้ม “ท่านแม่ตอนนี้ก็ดีมากเจ้าค่ะ”
ความทุ่มเทใจต่อบุตรสาวของเหอซื่อนั้นไร้ข้อตำหนิติเตียน พฤติกรรมบางอย่างที่ไม่ถูกกาลเทศะของนางมีต้นเหตุมาจากพื้นนิสัยเดิมและการอบรมเลี้ยงดู คนเป็นบุตรสาวไม่มีเหตุผลที่จะเลือกมาก
“เจ้านี่นะ” หมอเทวดาหลี่โคลงศีรษะยิ้มๆ อย่างสะท้อนใจ
นี่คือหลานสาวของสหายเก่าจริงๆ กิริยาวาจาถอดแบบมาจากผู้เป็นปู่ขนานแท้
ตอนเขาประชดประชันพวกโฉดเขลาเบาปัญญา สหายเก่าเคยกล่าวไว้ว่าแผ่นดินนี้มิใช่เป็นของคนฉลาดเท่านั้น หรือว่าคนโง่งมตั้งแต่เกิดล้วนสมควรตายให้หมดอย่างนั้นหรือ หัวเราะเยาะผู้อื่นเพราะข้อบกพร่องโดยกำเนิด ไม่มีอื่นใดนอกจากยังขัดเกลาจิตใจได้ไม่ดีพอ
นั่นเป็นการพบกันครั้งแรกเมื่อครั้งวัยหนุ่มของคนทั้งสอง สำหรับเขาแล้วมิใช่การเริ่มต้นที่น่าอภิรมย์ ทว่านับจากนั้นกลับกลายเป็นมิตรชั่วชีวิต
“เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าเห็นว่าพวกเขาดี ก็ใช้ชีวิตอยู่ในจวนสกุลหลีดีๆ จะอย่างไรบัดนี้เจ้าคือบุตรสาวสกุลหลีแล้ว”
“เจ้าค่ะ” เฉียวเจาขานตอบหมอเทวดาหลี่อย่างว่าง่าย
ชายชราคิดๆ แล้วเอ่ยขึ้นอีกว่า “ถ้าเจอปัญหายุ่งยากก็ไปหาเซ่าหมิงยวน ถึงอย่างไรเขาก็ติดค้างเจ้าอยู่”
เฉียวเจาอมยิ้ม “เจ้าค่ะ”
หมอเทวดาถึงวางใจได้ เขาลุกขึ้นเดินไปที่หน้าห้องแล้วเปิดประตูออก
ชายหนุ่มรูปงามไม่สามัญสี่คนยืนเรียงแถวกันตรงระเบียงทางเดิน ขณะที่ปิงลวี่สาวใช้น้อยจับจ้องหน้าประตูตาเขม็งอยู่
หมอเทวดาหลี่กวาดสายตาผ่านตัวพวกเซ่าหมิงยวน ชั่วอึดใจนั้นพลันบังเกิดความคิดหนึ่งขึ้น
รูปโฉมของเจ้าหนุ่มสี่คนนี้ยังพอใช้ได้ หากมีคนหนึ่งเป็นสามีของแม่หนูเจาก็นับว่านางได้คู่ชีวิตที่ดี
เขามองเซ่าหมิงยวนเป็นคนแรกแล้วตัดออกทันที
ไม่ได้ไม่ได้ ถึงแม้เจ้าคนบัดซบผู้นี้จะถูกใจข้าเอาการอยู่ แต่เวลาลงไม้ลงมือจริงๆ ก็แล้งน้ำใจอย่างยิ่ง ถ้าแม่หนูเจาต้องพบกับเคราะห์ร้ายเพราะเขาซ้ำอีกครั้ง จะไปไล่เลียงเอาเรื่องที่ใครได้!
เขาเลื่อนสายตาไปทางฉือชั่นแล้วส่ายหน้า
คนนี้ยิ่งไม่ได้ รูปงามเกินไป กินแทนข้าวก็ไม่ได้ ซ้ำมีแต่จะสร้างปัญหาให้ แม่หนูเจาออกเรือนไป ใช่หรือไม่ว่ายังต้องคอยเอาอกเอาใจเขา แล้วจะไม่เหนื่อยใจน่าดูหรือ!
ส่วนเจ้ายักษ์ปักหลั่นคนนี้…
หมอเทวดามองหยางโฮ่วเฉิงแล้วสั่นศีรษะถี่รัว ถึงขั้นย่นหัวคิ้วเข้าหากันอย่างรังเกียจเดียดฉันท์
คนนี้ก็ไม่ได้ ทำอะไรหุนหันพลันแล่น ข้าใช้เข็มเงินเล่นงานกำเดียวก็หมอบแล้ว
สายตาของหมอเทวดาหลี่หยุดที่ตัวจูเยี่ยนเป็นคนสุดท้าย ดวงตาเขาเปล่งประกาย
คนนี้ได้ ดูท่าทางสุภาพนุ่มนวลดุจหยก น่าจะเป็นคนช่างเอาใจใส่…
ขณะที่หมอเทวดาหลี่กำลังพินิจพิเคราะห์ผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมเป็นว่าที่หลานเขยอยู่ในหัวอย่างเป็นจริงเป็นจัง เปรียบเทียบเลือกเฟ้นอย่างจู้จี้จุกจิกเป็นร้อยเป็นพันตลบ พวกคนที่ถูกกันไว้ข้างนอกกลับงงงันกันไปหมด
ท่านหมอเทวดาประเดี๋ยวส่ายหน้าประเดี๋ยวพยักหน้า ซ้ำยังขมวดคิ้วกับแค่นหัวเราะเป็นระยะ นี่หมายความว่าอะไรกันแน่
ปิงลวี่ถึงกับหน้าเสีย น้ำตาร่วงเผาะๆ ยกมือปิดปากไต่ถาม “ท่านหมอเทวดา หรือว่าคุณหนูของข้าไม่รอดแล้ว”
“หุบปาก!” ฉือชั่นทำหน้าตึง เดินอ้อมผ่านตัวหมอเทวดาหลี่เข้าไปข้างใน
เซ่าหมิงยวนดึงสายตากลับมามองหมอเทวดาหลี่ “ท่านหมอเทวดา คุณหนูหลีไม่เป็นไรกระมังขอรับ”
หมอเทวดาหลี่เห็นท่าทางเยือกเย็นอย่างมากของเขาแล้วหัวเสีย พักความคิดในหัวเมื่อครู่นี้ไว้ก่อนทันใด เขาพูดพลางยิ้มเยาะ “เจ้าฉือน้อยยังรู้จักร้อนใจ ข้าดูแล้วท่านโหวไม่ใคร่เป็นห่วงแม่หนูเจาสักเท่าไรเลยนะ”
เซ่าหมิงยวนโดนพาลใส่อย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เรื่องนี้ก็นำมาเทียบกันได้ด้วยหรือ แต่เห็นหมอเทวดาหลี่โมโหจนหนวดกระดิก ดูท่าทางต้องการคำตอบจากเขาสักอย่างให้ได้ เซ่าหมิงยวนยิ้มอย่างจนปัญญา “เอ่อ…ข้า…”
เขาอยากบอกว่าข้าก็เป็นห่วงอาการของคุณหนูหลี แต่รู้สึกว่ากล่าวเช่นนี้ดูเหมือนไม่ค่อยเหมาะเท่าไร คล้ายว่าเขามีความคิดอะไรสักอย่างที่ไม่พึงมีกระนั้น แต่จะบอกว่าไม่เป็นห่วงจริงๆ…
ภาพเสี้ยวหน้าด้านข้างงดงามเย็นตาของเด็กสาวผุดขึ้นในห้วงความคิดของชายหนุ่ม
พูดจากใจจริงแล้ว เขาย่อมหวังว่าคุณหนูหลีจะสุขสบายดีอย่างแน่นอน
“ข้าไม่อาจทำตามที่ท่านฝากฝังไว้ได้ ขออภัยจริงๆ ขอรับ…”
“ขออภัยๆ ดีแต่แก้ตัวทีหลัง มีเวลาว่างพูดแก้ตัวทีหลังเช่นนี้ ไม่รู้จักไสหัวเข้าไปดูรึ”
เซ่าหมิงยวน “…” ข้าหุบปากแล้ว ข้าจะเข้าไปดูประเดี๋ยวนี้เลย จะยั่วโทสะหมอเทวดาที่อารมณ์คุ้มดีคุ้มร้ายมิได้!
รอเมื่อคนอื่นๆ เข้าห้องกันไปหมดแล้วเหลือแค่จูเยี่ยนกับหยางโฮ่วเฉิงสองคน หยางโฮ่วเฉิงเกาศีรษะแกรกๆ อย่างจับต้นชนปลายไม่ถูกโดยสิ้นเชิง “นี่มันเรื่องอะไรกัน”
“อาจจะ…น่าจะ…เป็นเพราะหมอเทวดาหลี่อยากให้ถิงเฉวียนดูแลคุณหนูหลีดีๆ กระมัง”
“เพราะอะไรหรือ” หยางโฮ่วเฉิงนวดๆ ตรงหว่างคิ้ว รู้สึกว่าเรื่องราวค่อนข้างซับซ้อน
จูเยี่ยนหัวเราะเบาๆ “นั่นสิ ข้าก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร”
เขาทอดสายตามองไปทางกอดอกกุหลาบที่สวยงามละลานตาตรงข้างกำแพงพลางลอบถอนใจเฮือกหนึ่ง
เฉียวเจาเห็นฉือชั่นเข้ามาแล้วแปลกใจพอสมควร นางเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับเรียกขาน “พี่ฉือ”
แม้ว่าในวันพิธีส่งศพจะขุ่นเคืองใจกันอยู่บ้าง แต่นางได้ระบายออกไปในตอนนั้นแล้ว นางมิใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้น ส่วนว่าฉือชั่นเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นหรือไม่ นางหาได้สนใจไม่
ชะรอยว่าได้ปลดพันธนาการของหลีเจาออกต่อหน้าหมอเทวดาหลี่ มาตรว่าชั่วขณะนี้เฉียวเจายังไม่ค่อยสบายตัวนัก แต่กลับอารมณ์ดีไม่เลว สีหน้าแววตาจึงเผยความรู้สึกแช่มชื่นเบิกบานอย่างเต็มที่
นางสยายผมยาวเฟื้อยดำสลวยลง ดวงหน้าเล็กเท่าฝ่ามือซีดขาวที่ฉายอารมณ์แช่มชื่นเบิกบานเฉกนี้ทำให้คนรู้สึกว่าทั้งเปราะบางทั้งล้ำค่ามาก
ฉือชั่นเห็นแล้วใจสั่นวูบหนึ่ง เขาคิดอย่างกระดากกระเดื่อง คิดไม่ถึงว่าหลีเจาเห็นข้าแล้วจะดีใจเพียงนี้ เห็นได้ว่านางรู้ว่าวันนั้นทำไม่ถูกสินะ
“ยังนึกว่าเจ้าจะเป็นอะไรไปแล้ว ดูท่าทางสบายดีมิใช่หรือ” คุณชายฉืออ้าปากพูดอย่างเฉยชา
เฉียวเจามิได้ใส่ใจ นางกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ “สบายดีเจ้าค่ะ พี่ฉือตั้งใจมาเยี่ยมข้าหรือ”
ใบหูของฉือชั่นแดงก่ำ เขาทำสีหน้ารังเกียจพลางพูดเยาะๆ “เจ้าคิดมากเกินไป พวกข้าบังเอิญดื่มสุราอยู่ที่นี่พอดี รอแล้วรอเล่าเซ่าหมิงยวนก็ไม่มาเสียที ถึงได้มาดูว่าใครก่อความวุ่นวายอีกต่างหาก”
เพลานี้เซ่าหมิงยวนเข้ามาในห้องแล้ว เขาได้ยินฉือชั่นเอ่ยถึงตนก็ยืนอยู่ที่เดิมอย่างกระอักกระอ่วน
เฉียวเจามองไปทางนั้น นางผงกศีรษะน้อยๆ กับเขาเป็นเชิงทักทาย ทั้งยังเรียกขานจูเยี่ยนกับหยางโฮ่วเฉิง จากนั้นบอกกับหมอเทวดาหลี่ “ท่านปู่หลี่ ข้าสมควรกลับแล้วเจ้าค่ะ”
ชายชราพยักหน้าก่อนเอ่ยกับเซ่าหมิงยวน “ข้าจะกลับไปพร้อมกับแม่หนูเจา”
“ขอรับ ข้าจะไปเตรียมการประเดี๋ยวนี้เลย”
ฉือชั่นเห็นยามพวกเขาพูดคุยกัน เด็กสาวนิ่งฟังอย่างตั้งใจแล้วคับอกคับใจอยู่หลายส่วนชอบกล ด้วยเหตุนี้เขาจึงหาเรื่องชวนนางคุย “หรือว่าชื่อของเจ้ามีคำว่า ‘เจา’ อยู่ด้วย”
“ใช่ ข้ามีนามจริงว่า ‘เจา’ เจ้าค่ะ”
“‘เจา’ ตัวใดรึ” ฉือชั่นถามไปเรื่อยเปื่อย
เซ่าหมิงยวนหันไปมองโดยไม่รู้ตัว
ฉือชั่นถามโดยไม่คิดอะไร ส่วนเฉียวเจาก็ตอบตามสบาย
“เป็นอักษร ‘เจา’ ในคำกล่าวว่า ‘นักปราชญ์พึงรู้เองให้แจ่มแจ้ง จึ่งสอนผู้อื่นให้รู้แจ่มแจ้ง’ เจ้าค่ะ”