หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 15
บทที่ 15
รถม้าวิ่งแล่นไปตามถนนหลวงอย่างไม่เร็วไม่ช้า เฉียวเจานอนตะแคงบนตั่งเตี้ยที่ตั้งอยู่ในตัวรถ รับฟังคำรายงานจากสาวใช้
คุณหนู นำยาสมานแผลไปมอบให้คุณชายจูแล้วเจ้าค่ะ
เฉียวเจาผงกศีรษะ กล่าวเสียงแหบแห้ง เช่นนั้นก็ดีแล้ว
หมอเทวดาหลี่ขยับมาใกล้จนสาวใช้ต้องหลบไปด้านข้าง เขากล่าวขึ้นว่า ดีนักนะแม่นางน้อย เอายาของข้าไปเป็นของกำนัลเอาใจผู้อื่น
เขายื่นมือส่งยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งให้ กินยาเม็ดนี้เสีย
เฉียวเจารับมากินโดยไม่ลังเลรีรอ
หมอเทวดาหลี่พึงใจในท่าทีนี้ของนางมากพอดู แต่กลับพูดแบบปากไม่ตรงกับใจ ให้อะไรเจ้าล้วนกล้ากิน ไม่กลัวเป็นยาพิษรึ
ท่านปู่หลี่มีใจเมตตาการุณย์ของผู้เป็นแพทย์เจ้าค่ะ เฉียวเจาเพิ่งกินยาลงไปก็รู้สึกสบายตัวขึ้นมาก จึงกล่าวยิ้มๆ
เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ หมอเทวดาหลี่นิ่งอึ้ง ความรู้สึกแปลกชอบกลนั่นรุนแรงยิ่งขึ้น
เฉียวเจาเอียงคอ ก็ท่านปู่หลี่น่ะสิ หรือไม่เรียกท่านว่าหมอเทวดาหลี่ดีเจ้าคะ
ตั้งแต่เล็กจนโต เวลาที่นางอยู่ร่วมกับหมอเทวดาหลี่ท่านนี้ยาวนานกว่ากับพ่อแม่พี่น้องเสียอีก เขามีนิสัยประหลาดไม่ชอบสุงสิงกับใคร แต่กลับกระตือรือร้นสนใจเด็กสาวที่เพิ่งพบหน้ากันคนหนึ่งเพียงนี้ ทำให้นางไม่อาจไม่ตรึกตรองให้ลึกลงไป
ใช่หรือไม่ว่าหมอเทวดาหลี่จับสังเกตอะไรได้แล้ว เขาจะรู้สึกว่านางคล้ายคลึงคนที่ตนเคยสอนสั่งชี้แนะอย่างมีน้ำอดน้ำทนคนนั้นหรือไม่
หมอเทวดาหลี่คลายยิ้ม เรียกว่าท่านปู่หลี่เถอะ แม่นางน้อยชื่อว่าอะไร
ชื่อก่อนออกเรือนของสตรีไม่พึงบอกต่อคนนอก แต่กับผู้อาวุโสเช่นนี้ย่อมไม่ต้องหลบเลี่ยง เฉียวเจาบอกอย่างเปิดเผย ข้าแซ่หลี มีนามคำเดียวว่า ‘เจา’ เจ้าค่ะ
‘เจา’ ตัวใดหรือ หมอเทวดาหลี่เลิกคิ้วขึ้น
สีหน้าของเฉียวเจาไร้รอยกระเพื่อมไหว ‘เจา’ ที่แปลว่าแจ่มแจ้งเจ้าค่ะ เช่นคำคมที่ว่านักปราชญ์พึงรู้เองให้แจ่มแจ้ง จึ่งสอนผู้อื่นให้รู้แจ่มแจ้ง
หมอเทวดาหลี่นิ่งงันไป ภาพเหตุการณ์หนึ่งวาบผ่านเข้ามาในหัวฉับพลัน
ดรุณีตัวน้อยนั่งอย่างเรียบร้อยบนม้านั่งหินทุบขาให้ท่านปู่ของตนอยู่ พอได้ยินเขาถามไถ่ก็เงยหน้าขึ้นบอกด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
‘ข้ามีนามว่าเฉียวเจาเจ้าค่ะ ‘เจา’ ที่แปลว่าแจ่มแจ้งเจ้าค่ะ เช่นคำคมที่ว่านักปราชญ์พึงรู้เองให้แจ่มแจ้ง จึ่งสอนผู้อื่นให้รู้แจ่มแจ้ง’
หมอเทวดาหลี่แลมองเฉียวเจานิ่งนานก่อนกล่าวทอดถอนใจเบาๆ คำอธิบายเช่นนี้มิได้ยินบ่อยนัก
คนส่วนใหญ่มักพูดว่า ‘เจา’ ที่แปลว่ากระจ่าง เหมือนคำว่าแสงตะวันจันทรากระจ่าง
ความรู้สึกแปลกชอบกลในใจชายชราทวีมากขึ้น ครั้นนึกไปถึงชีพจรของแม่นางน้อยที่บ่งบอกว่ามีลักษณะของอาการถอดวิญญาณ ความคิดที่คนทั้งหล้าต้องตะลึงพรึงเพริดอย่างหนึ่งผุดขึ้นวูบหนึ่ง จากนั้นเขาก็อดส่ายหน้ายิ้มๆ ไม่ได้
เวลานี้ฝ่ายนั้นน่าจะอยู่ที่แดนเหนืออันไกลโพ้นโน่น คงเพราะสองปีมานี้เขาหมกมุ่นลุ่มหลงกับศาสตร์พวกนั้นจนเหลวไหลเลอะเลือนไปแล้วเป็นแน่
พักผ่อนให้มากๆ กินยาแล้วเจ้าจะเหงื่อออก ทะลวงลมปราณที่ติดขัดอยู่ได้ก็หายดีแล้ว
อายุยังน้อยๆ กลับดูเหมือนประสบเรื่องโศกเศร้าใหญ่หลวงอันใดมาถึงทำให้ร่างกายทรุดหนักกะทันหัน จิตใจของแม่นางน้อยนี่ลึกล้ำซับซ้อนน่าดู
หมอเทวดาหลี่คิดคำนึงถึงตรงนี้ก็แลมองดวงหน้าเล็กซีดเซียวของเฉียวเจาซ้ำอีกที ค่อยเบนสายตาออกแล้วหลับตานอนงีบ
บนเรือลำหนึ่ง ชายหนุ่มนั่งจิบน้ำชาไปเรื่อยๆ อยู่ข้างหน้าต่างตามลำพัง
นกพิราบสีขาวตัวหนึ่งบินถลาลงมาบนดาดฟ้าเรือ แล้วกระโดดเข้าไปในอุ้งมือคนผู้หนึ่ง
คนผู้นั้นแกะแผ่นสารตรงขานกออกอย่างว่องไว ก่อนจะสาวเท้าก้าวใหญ่เดินเข้ามา ใต้เท้า ทางไถสุ่ยส่งข่าวมาขอรับ
ชายหนุ่มรับแผ่นสารมากวาดตาอ่านเนื้อความในนั้น ก่อนฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยโปรยออกไปนอกหน้าต่าง เขากล่าวพึมพำ แม่นางน้อยผู้นั้นแยกกับคนพวกนั้นที่ท่าเรือไถสุ่ยไปขึ้นรถม้าของคนอีกกลุ่มหนึ่งแล้วหรือ
ทั้งที่เป็นเด็กสาวธรรมดาๆ ผู้หนึ่ง เหตุใดเรื่องราวยิ่งมายิ่งน่าสนใจขึ้นเสียแล้ว
นิสัยละเอียดรอบคอบและความเฉียบไวที่บ่มเพาะจากการอยู่ในกององครักษ์จินหลินมานานทำให้เขาเคาะพื้นโต๊ะเบาๆ ตามความเคยชินพลางกล่าวกำชับ แบ่งกำลังคนไปตามแม่นางน้อยผู้นั้น ดูว่าคนกลุ่มหลังเป็นใคร
ที่แท้บุรุษผู้นี้คือเจียงหย่วนเฉาหรือเจียงสือซาน บุตรบุญธรรมของท่านผู้บัญชาการเจียงที่พวกฉือชั่นสามคนเคยคุยถกกัน
กององครักษ์จินหลินตั้งฐานประจำการอยู่ทั่วทั้งแผ่นดิน เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายสืบราชการลับขนาดมหึมาที่รวบรวมข่าวกรองสำคัญส่งเข้าเมืองหลวง
เขาประจำการอยู่ที่จยาเฟิง จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะสอดส่องตรวจตราคนทุกคนได้อย่างแน่นอน หากแค่จับตาดูพวกขุนนางซึ่งรั้งตำแหน่งพิเศษไว้ ดังเช่นสกุลเฉียวแห่งสวนซิ่งจื่อที่แม้มิได้อยู่ในราชสำนักแล้ว ทว่ายังเป็นตระกูลที่ทรงอำนาจดุจเก่าจึงต้องคอยไปสืบข่าวเป็นประจำ
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเรือนสกุลเฉียวจะถูกไฟไหม้ใหญ่คราวเดียวเผาผลาญจนวอดวาย แม้นเขารู้สึกว่ามีเงื่อนงำแต่ยังไม่กระจ่างถึงเบื้องลึกเบื้องหลัง จึงได้แต่ส่งคนสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิดอยู่เป็นนานหลายวันถึงได้พบเจอคนเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้พวกเขาย่อมต้องตกอยู่ในข่ายต้องติดตามเฝ้าดูไปด้วยแน่นอน
อันว่าผู้มีเจตนาคิดไม่ซื่อต่อผู้ไม่มีใจระวังเป็นเรื่องง่ายดาย เพียงวันถัดมาเจียงหย่วนเฉาก็ล่วงรู้ฐานะของชายชรา
เป็นหมอเทวดาที่ไปมาแทบไร้ร่องรอยหรือนี่
ชั่วขณะนี้ถึงเป็นเจียงหย่วนเฉาผู้นิ่งขรึมเสมอก็เผยอารมณ์ทางสีหน้าอย่างสุดระงับ
หมอเทวดาเป็นใครกันเล่า เขาเป็นหมอชื่อดังที่แม้แต่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันได้พบยังต้องต้อนรับอย่างให้เกียรติ เขาบอกว่าไม่เข้าสู่สำนักแพทย์หลวง ฮ่องเต้ก็ไม่ฝืนใจบังคับ ปล่อยให้เขาจากไปอย่างอิสรเสรี
เขาจำได้ว่าท่านพ่อบุญธรรมเคยบอกว่าหมอเทวดาหลี่มีป้ายอาญาสิทธิ์ชิ้นหนึ่งในครอบครอง
แล้วคนอื่นๆ เป็นใครมาจากที่ใด
ผู้ใต้อาณัติกล่าวตอบอย่างเคารพยำเกรง สืบไม่ได้ขอรับ ดูท่าทางล้วนเป็นยอดฝีมือ น่าจะเป็นพวกองครักษ์
เจียงหย่วนเฉางอนิ้วมือเรียวยาวเคาะพื้นโต๊ะเบาๆ บังเกิดเสียงใสกังวานดังเป็นจังหวะต่อเนื่องไม่ขาดสาย
เห็นทีว่าจะเป็นผู้สูงศักดิ์คนใดในเมืองหลวงพบร่องรอยของหมอเทวดาท่านนี้ แล้วเชิญกลับไปตรวจอาการป่วย เขากล่าวอย่างคาดคะเนเช่นนี้จบ ก็วางถ้วยชาลงบนโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน
เรือนกายของชายหนุ่มสูงเพรียว เขาก้าวขาที่เพรียวยาวออกจากประตูไปรับลมแม่น้ำ สูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่งก่อนสั่งการ พอเรือเทียบฝั่งแล้วเตรียมรถม้าให้ข้าสักคัน
เมื่อเทียบกับพวกคุณชายจากเมืองหลวงแล้ว เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าหมอเทวดาหลี่ผู้นี้ควรค่าแก่การติดตามไปมากกว่า
คนผู้หนึ่งทำงานอย่างหนึ่งเป็นเวลานาน มักส่งผลต่อพฤติกรรมและวาจาอย่างลึกซึ้งเป็นธรรมดา ทั้งที่เจียงหย่วนเฉารู้ดีว่าการไปเมืองหลวงครานี้กับหมอเทวดาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันแม้สักนิด เขายังคงตัดสินใจตามไปด้วยตนเอง
ถ้าเก็บเกี่ยวประโยชน์อะไรได้อย่างคาดไม่ฝัน ท่านพ่อบุญธรรมต้องดีใจอย่างแน่นอน
ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิทุกชีวิตฟื้นคืนชีวิต รถม้าและผู้คนบนถนนหลวงหนาตามากกว่าตอนฤดูหนาว ทอดสายตามองไปจะเห็นภาพความรุ่งเรืองเฟื่องฟู รถม้าคันที่เฉียวเจานั่งปะปนอยู่ในนั้นไม่เป็นที่สะดุดตาแม้แต่น้อยนิด
จวบจนแมกไม้พฤกษาพรรณยิ่งเขียวชอุ่ม เมืองหลวงก็ยิ่งใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
ร่างกายของเฉียวเจานับวันยิ่งแข็งแรงขึ้นตามลำดับ ทว่าจิตใจของนางกลับไม่ผ่อนคลายลงเลย
อีกไม่กี่วันก็จะได้พบกับพ่อแม่ญาติพี่น้องของหลีเจาแล้ว ถึงแม้จะมีความทรงจำของนางอยู่ กระนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็แปลกไปจากที่เฉียวเจาคุ้นเคยเหลือเกิน
รถม้าหยุดจอดกะทันหัน องครักษ์ที่ปลอมตัวเป็นสารถีเอ่ยกับหมอเทวดาหลี่อย่างนอบน้อม ริมถนนมีเพิงน้ำชาแห่งหนึ่ง นอกจากน้ำชาแล้วยังขายซาลาเปาร้อนควันฉุยด้วย ท่านอยากลองชิมหรือไม่ขอรับ
การเดินทางนั้นแสนจะเหนื่อยยากลำบาก พอได้ยินว่ามีซาลาเปาร้อนๆ หมอเทวดาหลี่ที่งีบหลับมาตลอดทางก็ลืมตาขึ้นทันที อยาก
ได้ขอรับ ข้าไปซื้อประเดี๋ยวนี้เลย
หมอเทวดาหลี่เรียกเขาเอาไว้ ไม่ต้อง พวกข้าลงไปกินเอง
องครักษ์มีสีหน้ายุ่งยากใจทันควัน แต่ว่า…
พล่ามอะไร อยู่แต่บนรถม้าทำเอาตาแก่อย่างข้ากระดูกกระเดี้ยวจะหลุดเป็นชิ้นๆ อยู่แล้ว หมอเทวดาหลี่ลงไปโดยไม่แยแสองครักษ์แต่อย่างใด
เฉียวเจาเห็นดังนั้นก็ตามลงไปด้วยทันที
พวกนางปลอมตัวเป็นสองปู่หลานที่ออกเดินทางไปที่อื่นโดยมีผู้คุ้มกันกับสาวใช้ติดตามดูแล ทั้งคู่นั่งลงที่โต๊ะว่างอยู่ ชั่วประเดี๋ยวเดียวเถ้าแก่เนี้ยก็ยกซาลาเปาส่งควันกรุ่นๆ จานใหญ่กับน้ำชากาหนึ่งมาวางให้
หมอเทวดาหลี่หยิบซาลาเปามากัดคำหนึ่งเข้าปากแล้วพยักหน้า ไม่เลว
มาตรว่าเขาไม่ชอบมาเมืองหลวง แต่ไม่อาจไม่ยอมรับว่าถนนหลวงใกล้ๆ เมืองหลวงสายนี้ ไม่เพียงสะอาดสะอ้านมากขึ้น กระทั่งซาลาเปาของเพิงริมทางยังอร่อยกว่าที่อื่น
เฉียวเจาหยิบซาลาเปาลูกหนึ่งมากินเงียบๆ
หมอเทวดาหลี่ไม่อยากกลับไปบนรถม้าเร็วนัก เขาจึงถือถ้วยชาด้วยสองมือพลางฟังเสียงพูดคุยสัพเพเหระของพวกลูกค้าโต๊ะด้านข้าง
มีคนพูดอย่างกังขาใจ ฤดูใบไม้ผลิมีพายุทรายพัดแรง เหตุไฉนถนนหลวงสายนี้ดูสะอาดตากว่าคราวก่อนที่ข้ามาอย่างมาก
คนด้านข้างกล่าวยิ้มๆ ทันใด สหายคงจะมาจากแดนไกลเป็นแน่ถึงได้ไม่รู้อะไร ท่านแม่ทัพเป่ยเจิงของพวกเรากำลังจะเข้าเมืองหลวงแล้ว ถนนเส้นนี้จึงต้องราดน้ำกวาดพื้นทุกวันวันละหนึ่งหน