หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 150
แม่นางเฉียวล้วงยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งจากในถุงผ้าปัก “ยาเม็ดนี้เจ้าค่ะ มันจะออกฤทธิ์กับสุราที่คั่งค้างอยู่ในกายและกลายเป็นพิษได้ เหล่าหวัง เจ้ากินมันลงไปสิ ให้พวกเขาสองคนดู”
เหล่าหวังทำสีหน้าตะลึงลาน ทำเยี่ยงนี้ได้หรือ คนที่น่าสงสัยมองดูอยู่ด้านข้าง ส่วนเขาพ้นข้อสงสัยแล้วต้องกินยาพิษ?
เฉียวเจาหยิบยาลูกกลอนออกมาอีกหนึ่งเม็ด “สบายใจได้ นี่คือยาถอนพิษ ขอแค่กินลงไปภายในสองเค่อก็จะไม่เป็นอะไร ถึงอย่างไรก็เป็นผลดีต่อร่างกาย”
มือที่ถือยาไว้ของเหล่าหวังสั่นเทาไม่หยุด เขามองฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งด้วยสายตาวิงวอน “ฮูหยินผู้เฒ่า…”
เหอซื่อไม่รอให้มารดาสามีเอ่ยปาก นางกล่าวเสียงปึ่งชา “คุณหนูบอกให้เจ้ากินก็กินเสีย ก็บอกว่าไม่เป็นอะไรมิใช่หรือ ขืนชักช้าอีก ข้าว่าไม่จำเป็นต้องซักถามแล้ว เอาตัวตาเฒ่าสองสามคนนี้ไปขายทิ้งเสียให้หมด ตัดปัญหา!”
อายุปูนนี้แล้วยังถูกขายจะพบบทลงเอยที่ดีอะไรได้ เหล่าหวังได้ยินก็กินยาลูกกลอนเข้าไปทั้งน้ำตา
ทุกคนในโถงมองไปที่ตัวเหล่าหวังเป็นตาเดียวกัน
ไม่ถึงครู่หนึ่ง สีหน้าของเหล่าหวังก็แปรเปลี่ยนไป เขากุมท้องบอกว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ข้าต้อง…ไปห้องเวจขอรับ!”
เขาก้าวขาออกวิ่งไป เฉียวเจากล่าวคำหนึ่งไล่หลังเขาอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “อย่าลืมกลับมาภายในเวลาสองเค่อ”
เหล่าหวังชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะวิ่งเร็วขึ้น
เพิ่งผ่านไปหนึ่งเค่อ เหล่าหวังก็กลับมาในสภาพหน้าตาซีดเซียวสองขาสั่นระริก ดูไปแล้วละม้ายต้นผักเหี่ยวเฉาเพราะขาดน้ำ เขาเดินโผเผไปคุกเข่าดังตุบตรงหน้าเฉียวเจา พูดเสียงเครือว่า “คุณหนูสาม ท่านได้โปรดมอบยาถอนพิษให้ข้าโดยไวด้วยเถอะขอรับ”
เฉียวเจายื่นยาลูกกลอนอีกเม็ดหนึ่งไปให้ เขากินเข้าไปทันที ใบหน้าค่อยๆ มีสีเลือด ถึงขั้นรู้สึกเหมือนเบาสบายไปทั้งสรรพางค์กาย
เขาก้มหน้าลงเก็บงำความประหลาดใจไว้
เฉียวเจาเดินไปเบื้องหน้าเหล่าจ้าวกับเหล่าตู้แล้วแบมือออก ในอุ้งมือเป็นยาลูกกลอนสองเม็ด
ทั้งคู่ต่างหน้าถอดสี
เฉียวเจาอมยิ้ม “พวกเจ้าไม่ต้องกลัว ยาลูกกลอนนี้น่ะนะ ถ้ามิได้ดื่มสุราก็จะไม่บังเกิดผลใดๆ มันจะออกฤทธิ์กับคนที่ดื่มสุราเท่านั้น”
นางวางยาลูกกลอนลงในมือพวกเขาทีละคน พูดด้วยน้ำเสียงไม่เร็วไม่ช้า “แต่ว่ามีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องเตือนพวกเจ้าไว้ ในเมื่อพวกเจ้าล้วนบอกว่าเมื่อคืนไม่ได้ดื่มสุรา ดังนั้นหลังจากกินยาเม็ดนี้ ข้าจะไม่มอบยาถอนพิษให้”
“ไม่มียาถอนพิษ?” เหล่าตู้หน้าซีด
แม่นางเฉียวผงกศีรษะ “ใช่ ไม่มียาถอนพิษ พวกเจ้าไม่ได้ดื่มสุราก็ไม่จำเป็นต้องกินยาถอนพิษ แต่ถ้ามีคนที่ดื่มสุรา…หึๆ สำหรับคนที่พูดเท็จ หรือว่าไม่สมควรถูกลงโทษเล่า”
นางจ้องมองพวกเขาด้วยสายตาเฉยชา
เหล่าจ้าวที่หน้าซีดขาวกัดฟันกินยาลงไป
เฉียวเจาเลื่อนสายตาไปที่ใบหน้าของเหล่าตู้
เหล่าตู้กำยาลูกกลอนไว้ในมือ ใบหน้าประเดี๋ยวซีดประเดี๋ยวเขียว อิดออดไม่ยอมขยับเสียที
“วางใจได้ ไม่ได้รุนแรงถึงขั้นไส้ขาดท้องทะลุหรอก…”
เหล่าตู้เข่าอ่อนคุกเข่าลงในที่สุด เขาโขกศีรษะไม่หยุด “คุณหนูสามไว้ชีวิตด้วยๆ เมื่อคืนข้าดื่มสุราแล้ว แต่ว่า…”
เฉียวเจาตัดบทเขาทันที นางแค่นเสียงเยาะ “คงมิใช่จะแก้ตัวต่อว่าไม่ได้ดื่มสุรากับเหล่าเฉียนนะ”
เหล่าตู้ตอบไม่ออก เขาตั้งใจจะพูดเช่นนี้จริงๆ
“หากไม่ใช่ เหตุใดเจ้าต้องโกหกด้วย อย่าหลอกพวกข้าผู้เป็นนายเฉกเช่นคนโง่งม ข้าถามพวกเจ้าก็แค่อยากไขความกระจ่างเท่านั้น ขืนยังไม่รู้ดีชั่วอีก ก็คงต้องทำอย่างที่นายหญิงใหญ่ว่าไว้ ขายทิ้งไปทั้งครอบครัวจะได้สิ้นเรื่องไป!”
ไหนเลยเหล่าตู้จะเคยพบกับคุณหนูที่มีท่าทางก้าวร้าวคุกคามเฉกนี้ เขารับสารภาพอย่างจนตรอกในที่สุด “คนที่ดื่มสุรากับเหล่าเฉียนคือข้าเองขอรับ ข้าปากเบา พอได้ยินเรื่องคุณหนูสามที่เหล่าเฉียนเล่าให้ฟังก็พลั้งปากพูดออกมาโดยไม่ระวัง ผลปรากฏว่าลือกันไปทั่วอย่างรวดเร็ว คุณหนูสามโปรดอภัยให้ข้าด้วยๆ”
เสียงตบหน้าตนเองดังก้องกังวานไปทั้งโถง เฉียวเจาทำหน้าเย็นชา ปราศจากทีท่าตวาดห้าม
แม้ว่าการเล่นเล่ห์เพทุบายในเรือนหลังนี้อาจจะไม่คณามือนางแต่อย่างใด แต่มีแมลงวันบินวนเวียนอยู่ก็น่ารำคาญนัก อย่างไรก็ต้องให้ผู้อยู่เบื้องหลังได้เจอดีสักหน่อย
ไม่ถึงชั่วพริบตา สองแก้มของเหล่าเฉียนก็บวมเป่งจนละม้ายหัวสุกรไปแล้ว
“พอแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเปล่งเสียงขึ้น “พวกเจ้าสองคนเมาสุราแล้วพูดจาเลอะเทอะ สมควรลงโทษจริงๆ…”
“ท่านย่า ข้ายังมีเรื่องจะพูดเจ้าค่ะ” เฉียวเจากล่าวเสียงเรียบ
ทุกคนพากันมองไปทางเฉียวเจา แต่นางเพียงจ้องเหล่าตู้นิ่งๆ ยกยิ้มน้อยๆ “เหล่าตู้ เจ้ายังคงพูดปดอยู่”
เหล่าตู้พูดโอดครวญทันควัน “ข้าเปล่านะขอรับ ข้าดื่มสุรามากเกินไปจริงๆ ถึงเผลอพูดเรื่องที่ได้ยินมาจากเหล่าเฉียนออกไป”
“คิกๆ” เฉียวเจาหัวร่อเบาๆ นางไม่มองเหล่าตู้อีก แต่หันไปทางฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง “ท่านย่า เมื่อวานท่านปู่หลี่บอกกับข้าว่าเหล่าเฉียนมีอาการหลงลืมชนิดหนึ่งเจ้าค่ะ ฉะนั้นถึงได้ลืมเรื่องต่างๆ ในชั่วประเดี๋ยวประด๋าว และเห็นทีว่าคนที่ไปมาหาสู่กับเขาเสมอล้วนรู้เรื่องนี้ดี เหล่าตู้นั้นก็ใช้ประโยชน์จากจุดนี้ ยืนกระต่ายขาเดียวว่าเป็นเหล่าเฉียนเล่าเรื่องที่เมื่อวานมีชายหนุ่มขออาศัยรถม้าข้าหลังเมาสุรา แล้วในฐานะคนที่เอาไปพูดต่ออีกทอด ถึงจะโดนสืบสาว โทษก็เบากว่าจงใจใส่ร้ายป้ายสีผู้เป็นนายเป็นอันมากแล้วเจ้าค่ะ”
“คุณหนูสาม ท่านพูดเช่นนี้ไม่ได้นะขอรับ นี่ท่านจะเอาชีวิตข้าแล้ว…”
เฉียวเจาไม่แม้แต่จะมองเขา นางยอบกายคำนับฮูหยินผู้เฒ่า “ท่านย่า เมื่อวานข้าตากฝน รู้สึกไม่สบายกายถึงเข้านอนแต่หัวค่ำ จึงยังมิได้บอกกล่าวให้ท่านทราบเลยว่าคนที่ขออาศัยรถม้าข้ากลางทางคือองค์หญิงเก้าเจ้าค่ะ”
ถ้อยคำนี้ดังขึ้น เหล่าตู้ก็หน้าซีดเผือดอย่างสิ้นหวัง
เฉียวเจาพูดกลั้วเสียงหัวเราะ “ท่านย่าคิดดูนะเจ้าคะ ถ้าเหล่าเฉียนพลั้งปากหลังเมาสุรา ไฉนข้ามเรื่องน่าตื่นเต้นตกใจเช่นนี้ไปไม่พูดถึง กลับกลายเป็นลือกันว่ามีชายหนุ่มขออาศัยรถม้าข้า? นี่ไม่สอดคล้องกับวิสัยของคนเมาสุราที่ชมชอบโอ้อวด ด้วยเหตุนี้เรื่องจริงคือเหล่าเฉียนน่าจะไม่ได้เล่าอะไร ส่วนข่าวลือนี้เป็นเหล่าตู้กุขึ้นเพื่อสาดโคลนใส่ข้า และสบช่องโยนความผิดไปให้เหล่าเฉียนที่หลงๆ ลืมๆ ส่วนเขาก็รอดตัวไปเจ้าค่ะ”
“เหล่าตู้ พวกเราสนิทกันมาตั้งนานเท่าไร เหตุใดเจ้าให้ร้ายกันเยี่ยงนี้” เหล่าเฉียนกัดฟันกรอดๆ ด้วยความชิงชัง
เหอซื่อลุกพรวดขึ้นยืน “ประเดี๋ยวก่อน!”
นางเดินฉับๆ ไปตรงหน้าเหล่าตู้ ก้มลงมองเขาอย่างพินิจแล้วกุมหน้าผากเอ่ยขึ้นฉับพลัน “ข้านึกขึ้นได้แล้ว เหล่าตู้ เจ้าดูแลห้องคลังของคุณหนูใหญ่กระมัง จริงสิ เจ้าเป็นคนที่ติดตามมารดาแท้ๆ ของคุณหนูใหญ่มาจากสกุลเดิม ภรรยาของเจ้าก็คือแม่นมของคุณหนูใหญ่!”
ชะรอยจะเป็นสัญชาตญาณของผู้เป็นมารดา เหอซื่อไม่เคยสมองเฉียบไวถึงเพียงนี้มาก่อน นางหมุนกายถลันไปหาฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง ทรุดตัวลงกอดขาหญิงชราไว้แล้วเริ่มร้องไห้ “ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ ข้าว่าแล้วเชียว ไฉนเจาเจาเคราะห์ร้ายต้องตากฝนแล้วยังโดนคนทำลายชื่อเสียงอีก ที่แท้ต้นตออยู่ตรงนี้นั่นเอง”
เฉียวเจาแย้มริมฝีปากก้าวถอยไปด้านข้าง
“ฮูหยินผู้เฒ่า คุณหนูใหญ่จะเกลียดชังที่แม่เลี้ยงอย่างข้าทำหน้าที่ไม่ดีพอก็ช่างเถอะ แต่นางจะให้ร้ายเจาเจาของข้าไม่ได้นะเจ้าคะ เจาเจาผิดอะไร ฮือๆๆ…”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งฟังเสียงร้องไห้ของเหอซื่อแล้วบังเกิดอารมณ์ชั่ววูบอยากเอาศีรษะโขกกำแพง นางพูดเสียงกระด้าง “ไปเรียกคุณหนูใหญ่กับแม่นมมาที่นี่”
หลังก่อคลื่นลมขึ้นในจวน หลีเจี่ยวเก็บตัวอยู่ในเรือนของตนเองตลอดเพื่อไม่ให้เป็นพิรุธ พอได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเรียกตัว จิตใจนางตึงเครียดขึ้นทันใด จึงรีบพาแม่นมรุดไปที่นั่น