หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 151
ภายในเรือนชิงซงเงียบกริบแทบได้ยินเสียงเข็มตก หลีเจี่ยวเดินก้มหน้าเข้ามา นางกวาดสายตาไปเห็นเหล่าตู้นั่งคอตกอยู่บนพื้นก็ใจกระตุกวูบหนึ่ง
หรือเหล่าตู้จะพูดอะไรที่ไม่สมควรพูดไปแล้ว
“ท่านย่า ท่านเรียกเจี่ยวเอ๋อร์มามีเรื่องใดหรือเจ้าคะ” หลีเจี่ยวใจเต้นไม่เป็นส่ำ แต่ยังรักษาสีหน้าสงบนิ่งขณะแสดงคารวะต่อฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง
เหอซื่อเห็นหลีเจี่ยวก็โกรธจนควันออกหู ตะคอกด่าด้วยสีหน้าถมึงทึง “หลีเจี่ยว เจ้าคนใจร้ายใจดำ ถึงกับบงการให้บ่าวไพร่ทำลายชื่อเสียงของเจาเจา เจ้ามีจุดประสงค์อะไร…”
หลีเจี่ยวคุกเข่าลงดังตุบ “ท่านย่า ข้าไม่ทราบว่าท่านแม่พูดอะไรอยู่ ท่านโปรดบอกให้ข้าเข้าใจด้วยเจ้าค่ะ”
“เหอซื่อ ดีชั่วเจี่ยวเอ๋อร์ก็เรียกเจ้าว่าท่านแม่ มีอย่างที่ใดไม่ถามไถ่สักคำก็ตัดสินชี้ขาดแล้วเล่า” ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งทำหน้าบึ้งกล่าวขึ้น
ดังคำกล่าวว่าจะฝ่ามือหรือหลังมือล้วนเป็นเนื้อ นั่นก็หลาน นี่ก็หลาน แต่อย่างไรเจาเจามีมารดาแท้ๆ ปกป้อง ส่วนถ้าเจี่ยวเอ๋อร์ได้รับความคับข้องหมองใจจริงๆ จะไม่มีคนสงสาร
เหอซื่อฟังแล้วยอมรับไม่ได้ถึงที่สุด ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเข้าข้างคุณหนูใหญ่ ลำเอียงอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูแล้ว
เหอซื่อยังคิดจะพูดอีก แต่โดนเฉียวเจากระตุกแขนเสื้อเบาๆ นางถึงอดกลั้นไว้
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเพ่งมองหลานสาวคนโตที่คุกเข่ากับพื้นครู่หนึ่งถึงอ้าปากพูด “เจี่ยวเอ๋อร์ เหล่าตู้ที่ดูแลห้องคลังของเจ้ายอมรับแล้วว่าเขากุข่าวลือเกี่ยวกับน้องเจาของเจ้า ทั้งยังปัดความผิดไปให้เหล่าเฉียน เรื่องนี้เจ้าได้ยินได้ฟังบ้างหรือไม่”
หลีเจี่ยวอึ้งงันไป นางหันขวับไปมองเหล่าตู้ที่นั่งทอดอาลัยอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
เจ้าเฒ่าผู้นี้เบาปัญญาไปแล้วใช่หรือไม่ เพราะอะไรถึงรับสารภาพว่าทำเรื่องนี้ได้ เขายืนกรานเสียงแข็งไม่ยอมรับ อย่างมากก็ถือว่าปากเบา หรือจะมีใครผ่าสมองเขาออกดูได้
“เหล่าตู้กุข่าวลือของน้องเจาหรือ นี่เป็นไปไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ท่านย่า เรื่องนี้มีอะไรเข้าใจผิดกันใช่หรือไม่” หลีเจี่ยวสงบสติอารมณ์ เอ่ยถามด้วยสีหน้าใสซื่อ
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งมองหลานสาวคนโตเงียบๆ ครู่หนึ่งก่อนกล่าว “เมื่อวานน้องเจาของเจ้าให้คนอื่นอาศัยรถม้าจริงๆ แต่คนผู้นั้นคือองค์หญิงเก้า ถ้าเป็นเหล่าเฉียนพูดหลังเมาสุรา เหตุใดเรื่องสำคัญปานนี้ถึงไม่แพร่ออกมา”
หลีเจี่ยวตะลึงงันไปโดยสิ้นเชิง
องค์หญิงเก้า? ที่เมื่อวานหลีเจาเอ่ยอย่างคลุมเครือว่ามีคนขออาศัยรถม้า ถึงกับเป็นองค์หญิงเก้า!
นางหันขวับไปมองหลีเจาที่นั่งเงียบๆ ติดกับเหอซื่อ ในใจนึกชิงชังอย่างสุดแสน
นี่ต้องเป็นเหยื่อที่อีกฝ่ายวางล่อไว้ให้นางติดเบ็ดเป็นแน่ หากหลีเจาพูดให้ชัดเจนว่าเป็นองค์หญิงเก้า มีหรือนางจะหยิบยกเรื่องนี้มาโจมตี
“เมื่อวานเป็นองค์หญิงเก้าที่ขออาศัยรถม้าของน้องเจาหรือนี่ ไฉนเจ้าไม่เอ่ยถึงเลยเล่า” หลีเจี่ยวทำสีหน้าแปลกใจ
เฉียวเจากล่าวเสียงราบเรียบ “ปกติการเดินทางกลางสายฝนก็เป็นสภาพที่ย่ำแย่พอแล้ว ซ้ำร้ายยังรถม้าพังกลางทางต้องขออาศัยผู้อื่นก็ยิ่งย่ำแย่เข้าไปใหญ่ เมื่อนึกถึงใจเขาใจเรา ข้าคิดว่าองค์หญิงเก้าคงไม่อยากให้คนรู้มากเกินไป จึงไม่ได้เอ่ยขึ้นต่อหน้าผู้คนมากมาย เดิมทีข้าตั้งใจจะบอกกับท่านย่าเป็นการส่วนตัว ใครจะคิดว่ากลับไปนอนหลับตื่นเดียว กลายเป็นว่าตอนนี้มีข่าวลือสะพัดไปทั้งจวนว่าข้าให้บุรุษอาศัยรถม้าเสียแล้ว”
เด็กสาวนั่งตัวตรงกล่าววาจาด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายตามสบาย หาได้มีท่าทางคับข้องหมองใจใดๆ ให้เห็นไม่ ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งฟังถึงตรงนี้แล้วปวดใจอยู่บ้างอย่างไร้สาเหตุ ครั้งคิดถึงคนที่กุข่าวลือขึ้นก็ยิ่งรู้สึกว่าน่าชังมากขึ้น นางทำหน้าขรึมเอ่ยกับหลีเจี่ยว “เจี่ยวเอ๋อร์ อย่าเพิ่งสนใจว่าน้องเจาของเจ้าเอ่ยถึงหรือไม่ ตกลงว่าเรื่องของเหล่าตู้ เจ้าได้ยินได้ฟังหรือไม่”
นี่หมายความว่านางสงสัยหลานสาวคนโตอยู่บ้างแล้ว
หลีเจี่ยวหน้าแดงก่ำทันใด นิ้วมือสั่นน้อยๆ
ขณะรอบด้านตกอยู่ในบรรยากาศอึดอัด แม่นมปรี่ออกไปตบหน้าเหล่าตู้สองที นางตบไปด่าไป “เจ้าเฒ่าสมควรตาย ข้าบอกแล้วมิใช่หรือว่าหากแผนล้มเหลวก็บอกกับฮูหยินผู้เฒ่าให้กระจ่าง ไม่ว่าอย่างไรจะให้คุณหนูพลอยเดือดร้อนไปด้วยไม่ได้”
แม่นมตบหน้าเขาแล้วทรุดตัวลงเดินเข่าไปเบื้องหน้าฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง โขกศีรษะดังปึงๆ กล่าวว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าอย่าเข้าใจคุณหนูผิดนะเจ้าคะ ล้วนเป็นความผิดของข้าผู้เดียว ข้าเห็นคุณหนูสามนับวันยิ่งเก่งกาจขึ้นทุกที หวั่นกลัวว่าวันหน้าคุณหนูใหญ่จะยิ่งไม่มีที่ยืนในจวน ถึงได้ทำไปโดยพลการ บอกให้สามีข้าพูดจาส่งเดช…”
แม่นมพูดพลางตบหน้าตนเองเต็มแรงครั้งแล้วครั้งเล่าจนแก้มบวมอย่างรวดเร็ว
เฉียวเจามองดูอย่างเฉยเมย เพียงรู้สึกน่าขัน
ถ้ามีคนตบหน้าตนเองเพิ่มอีกคน วันนี้จวนสกุลหลีก็ขายหัวสุกรได้แล้ว
“แม่นม ท่านหยุดตบได้แล้ว หยุดได้แล้ว…” หลีเจี่ยวถลันเข้าไปห้ามแม่นม นางหมุนกายไปร้องไห้อ้อนวอนฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง “ท่านย่า แม่นมทำไปด้วยความหวังดีต่อข้าทั้งสิ้น จะบอกว่ามีความผิดก็เป็นความผิดของข้า ท่านจะลงโทษก็ลงโทษเจี่ยวเอ๋อร์เถอะ แม่นมอายุมากแล้ว ทนเจ็บปวดทรมานปานนี้ไม่ไหวเจ้าค่ะ”
“นี่พี่เจี่ยวจะบีบคั้นให้ท่านย่าปล่อยให้เรื่องแล้วกันไปเท่านี้หรือ” เฉียวเจาที่นิ่งเงียบอยู่ตลอดปริปากขึ้น
หลีเจี่ยวชะงักไปอึดใจหนึ่งก่อนพูดโต้กลับ “ไยน้องเจากล่าววาจาเยี่ยงนี้ ข้าจะกล้าบีบคั้นท่านย่าได้เช่นไร”
“คนใดกระทำความผิด คนผู้นั้นก็สมควรรับโทษทัณฑ์ พี่เจี่ยวไม่ให้ท่านย่าลงโทษแม่นมกับเหล่าตู้ ทั้งจะให้ท่านย่าลงโทษท่านจากความผิดของพวกเขา แต่พวกเขาเป็นบ่าวไพร่ ส่วนท่านเป็นหลานสาวของท่านย่า แล้วความรู้สึกของท่านย่ายามที่ลงโทษจะเหมือนกันได้หรือ พี่เจี่ยวคิดแต่จะแสดงความกตัญญูต่อแม่นม กลับลืมเลือนความกตัญญูต่อท่านย่าไปแล้วใช่หรือไม่”
เฉียวเจาพูดถึงตรงนี้แล้วมองฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งที่มีสีหน้าบูดบึ้งปราดหนึ่งถึงไต่ถามต่อ “หรือว่าพี่เจี่ยวคาดเดาได้ว่าท่านย่าหักใจลงโทษท่านไม่ได้ถึงแบกรับความผิดไว้เสียเอง ดังนั้นเรื่องที่บ่าวรับใช้ของท่านปรักปรำใส่ความคุณหนูในจวนก็เป็นอันแล้วกันไปเท่านี้ได้”
เฉียวเจาตั้งคำถามข้อแล้วข้อเล่าด้วยวาจาเชือดเฉือนทุกถ้อยทุกคำ คาดคั้นหลีเจี่ยวจนแทบหายใจไม่ออก
“ข้าเปล่านะๆ น้องเจา เจ้าอย่าพูดเหลวไหล”
“เปล่าอะไรรึ ท่านไม่ได้ขอความเมตตาแทนบ่าวรับใช้ หรือว่าไม่ได้เห็นแม่นมของตนสำคัญกว่าผู้อาวุโสในจวน?” เฉียวเจาถามเสียงเอื่อยๆ ไม่แฝงอารมณ์ความรู้สึกแม้แต่น้อย “พี่เจี่ยว ข้าไม่พูดเหลวไหลมาแต่ไหนแต่ไร”
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งบึ้งตึงไปหมด “เจี่ยวเอ๋อร์ น้องเจาของเจ้าพูดได้ถูกต้อง ทำผิดก็คือทำผิด บ่าวไพร่กระทำความผิดจะให้ผู้เป็นนายอย่างเจ้ารับแทนได้อย่างไร เช่นนั้นเจ้าจะให้ผู้อาวุโสในจวนวางตัวเช่นใด ยิ่งกว่านั้นบ่าวรับใช้ของเจ้าทำเรื่องพรรค์นี้ขึ้น ไม่ว่าเจ้ารู้เห็นหรือไม่ก็ตามล้วนต้องรับผิดชอบ”
“ท่านย่า…” หลีเจี่ยวหน้าซีดเผือด นางอยากร่ำไห้แต่ไร้น้ำตาแล้ว
ชั่วขณะนี้คุณหนูใหญ่สกุลหลีเพิ่งรู้ซึ้งว่าอันใดเรียกว่ายกก้อนหินทุ่มใส่เท้าตน หากที่ทำให้นางหวาดหวั่นพรั่นพรึงยิ่งกว่าคือเท้าที่โดนหินหล่นทับจะเจ็บปวดเพียงใดนั้นยังมิอาจคาดประมาณได้
ท่านย่าจะลงโทษแม่นมด้วยวิธีใด
“เหล่าตู้ แม่เฒ่าตู้ ในเมื่อพวกเจ้าสองคนคิดประสงค์ร้ายต่อคุณหนูในจวน ไม่ว่ามีจุดมุ่งหมายใดก็ตามที จะให้พวกเจ้าอยู่ในจวนนี้ไม่ได้แล้ว เอาอย่างนี้เถอะ พวกเจ้ามาจากที่ใดก็กลับไปที่นั่น”
“ท่านย่า ข้างกายข้ามีแม่นมคอยดูแลเอาใจใส่อยู่แค่คนเดียว ท่านได้โปรดอย่าขับไล่นางกลับไปจวนกู้ชางป๋อเลย” หลีเจี่ยวได้ยินแล้วแตกตื่นทันใด
แม่นมถูกไล่กลับไป แม้จวนกู้ชางป๋อจะไม่ใจจืดใจดำกับแม่นมเพราะเห็นแก่หน้านางอย่างแน่นอน ทว่านับจากนี้นางจะเหลือตัวคนเดียวโดดเดี่ยวอยู่ในเรือนหลังจวนสกุลหลีอย่างแท้จริง
ฉะนั้นแม่นมจะถูกไล่กลับไปไม่ได้
“ท่านย่า ไล่แม่นมของพี่เจี่ยวกลับไปที่จวนกู้ชางป๋อ ข้ารู้สึกว่าไม่ใคร่เหมาะเจ้าค่ะ”
หลีเจี่ยวหันขวับมองไปที่เฉียวเจา หรือว่าหลีซานจะขอความเมตตาให้นาง
จริงสิ ในเวลานี้หลีซานขอความเมตตาให้นางเพื่อแสดงความใจกว้างก็เป็นเรื่องปกติมาก แต่นางไม่มีทางซาบซึ้งน้ำตารินหรอก
“ท่านย่า ข้าเห็นว่าการลงโทษเช่นนี้เบาเกินไปเจ้าค่ะ” เฉียวเจาพูดอย่างเต็มปากเต็มคำ