หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 152
ถ้อยคำนี้ของเฉียวเจาดังขึ้น ทุกคนในห้องต่างรู้สึกเหนือคาดไปตามๆ กัน
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งลอบคิดคำนึง แม้ว่าแม่นมของหลานเจี่ยวกับสามีของนางจะน่าชัง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่อดีตลูกสะใภ้ทิ้งไว้ ซ้ำยังเคยให้นมหลานเจี่ยวมาก่อน หลานเจาอยากลงโทษสถานหนัก ถ้าโจษจันออกไป เกรงว่าจะตกเป็นที่ครหาว่ายโสโอหังได้
ด้านเหอซื่อนึกในใจอย่างอิ่มเอมใจ อย่างไรก็เป็นบุตรสาวในไส้ ถึงได้คิดไปในทางเดียวกันแล้ว บ่าวไพร่หัวแข็งเป็นภัยกับผู้อื่นพรรค์นี้ จะละเว้นโดยง่ายได้อย่างไร
ส่วนหลิวซื่อนายหญิงรองยกถ้วยชาขึ้นดื่มเงียบๆ คำหนึ่งแล้วรำพึงในใจ เห็นหรือไม่เล่าๆ พอคุณหนูสามเจอเรื่องน่าหงุดหงิดใจ ก็ต้องมีคนอื่นถึงคราวเคราะห์ร้ายดังคาด ดีที่หนนี้คนที่ดวงตกคือคุณหนูใหญ่ ไม่เกี่ยวกับบุตรสาวสองคนของข้า ไชโย…ผ่านด่านอย่างฉิวเฉียด
หลีเจี่ยวเกือบรักษาสีหน้าอ่อนโยนนุ่มนวลไว้ไม่อยู่ นัยน์ตาวาวโรจน์ทั้งคู่จ้องมองเฉียวเจา
เฉียวเจาไม่แยแสสักนิดว่าคำกล่าวประโยคเดียวของตนจะทำให้ทุกคนคิดเห็นไปต่างๆ นานาเท่าใด นางพูดเสียงเรียบ “ผู้คนในยุคนี้ล้วนถือคติที่ว่าใบไม้ร่วงคืนสู่ราก แม่นมกับสามีนางเป็นคนของจวนกู้ชางป๋ออยู่แต่เดิม ตอนนี้ให้พวกเขากลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่นั่น ข้าเห็นว่านี่มิใช่การลงโทษ กลับเป็นการให้รางวัลเสียมากกว่า ท่านย่าเจ้าคะ ถ้าคนที่เหยียบย่ำชื่อเสียงของคุณหนูในจวนตามใจชอบยังได้รับผลดีเช่นนี้ วันหน้าบ่าวไพร่ทั่วทั้งจวนจะไม่เอาเป็นเยี่ยงอย่างหรือไร”
นางกล่าวจบแล้วสีหน้าปึ่งชาไปกะทันหัน สุ้มเสียงหนักแน่นเด็ดเดี่ยวอย่างไม่เปิดช่องให้พูดแทรกได้ “ข้าขอให้ท่านย่าลงโทษสองคนนี้อย่างหนัก มิใช่แค่เป็นการระบายโทสะอันใดให้ข้า ที่สำคัญยิ่งกว่าคือเพื่อสร้างระเบียบวินัยในจวนนี้ ภายภาคหน้าจะได้ไม่มีบ่าวไพร่กระด้างกระเดื่องที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนก็สาดโคลนใส่เหล่าพี่น้องของข้าตามอำเภอใจเยี่ยงนี้”
เฉียวเจาพูดถึงตรงนี้แล้วชายตาเล็กน้อยมองไปทางหลิวซื่อ
หลิวซื่อสะดุ้งในใจ จริงสิ เรื่องในวันนี้คนในเรือนนายท่านรองเช่นพวกนางจะเพิกเฉยทอดธุระมิได้ ถ้าปล่อยบ่าวไพร่สมควรตายสองคนนี้ไปง่ายๆ ไม่แน่ว่าน้ำโคลนอ่างต่อไปอาจสาดมาที่ตัวบุตรสาวสองคนของนางก็เป็นได้
หลิวซื่อที่มองดูอยู่ด้านข้างเฉยๆ มาโดยตลอดเหยียดแผ่นหลังตรง กล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า คุณหนูสามเข้าใจเหตุผลได้ดีเหลือเกินเจ้าค่ะ เรื่องในวันนี้จะยุติเท่านี้ไม่ได้จริงๆ ต้องลงโทษบ่าวไพร่หัวแข็งสองคนสถานหนักเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู!”
หลีเจี่ยวสะดุ้งสุดตัว “ท่านอาสะใภ้รอง…”
หลิวซื่อคลี่ยิ้ม “คุณหนูใหญ่ อาสะใภ้รองรู้ว่าแต่ไรมาเจ้าเป็นเด็กรู้ความ แต่คำโบราณกล่าวไว้ได้ดี เชื้อพระวงศ์กระทำผิดมีโทษทัณฑ์เท่าสามัญชน คุณหนูใหญ่ต้องไม่ปกป้องบ่าวไพร่หัวแข็งสองคนเป็นแน่กระมัง”
“ข้า…” หลีเจี่ยวซึ่งแสร้งทำใจกว้างรู้ความจนเคยชินเป็นนิจถึงกับสะอึกพูดอะไรไม่ออก
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งมองเฉียวเจาอย่างพินิจ
เฉียวเจาไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย นางสบตากลับเงียบๆ
ย่าหลานสองคนประสานสายตากัน สำหรับคนรอบข้างเป็นแค่ชั่วพริบตาเดียว ทว่าพวกนางสองคนกลับรู้สึกราวกับเป็นเวลาเนิ่นนาน
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งอ้าปากกล่าวเสียงขรึมในที่สุด “เป็นข้าใคร่ครวญไม่รอบคอบเอง ใครก็ได้เข้ามาลากเหล่าตู้กับภรรยาออกไปที่ลานเรือน โบยคนละสิบไม้ จากนั้นส่งตัวกลับไปเฝ้าเรือนเดิมที่เหออวี๋”
หลีเจี่ยวหน้าถอดสีด้วยความตกใจยกใหญ่ นางฟุบหมอบข้างเท้าฮูหยินผู้เฒ่าเติ้ง กล่าววิงวอนว่า “ท่านย่า อย่านะเจ้าคะ แม่นมชราภาพแล้ว จะทนถูกโบยได้อย่างไรไหว เรือนเดิมที่เหออวี๋ก็ห่างไกลกันดาร…”
“พอแล้ว เจี่ยวเอ๋อร์ ท่านย่าเห็นแก่ที่นางเป็นแม่นมของเจ้าถึงให้นางไปใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ที่เรือนเดิม มิเช่นนั้นคงเอาตัวไปขายแล้ว หรือว่าในใจเจ้าเรือนเดิมของสกุลหลีไม่มีที่ว่างให้แม่นมผู้หนึ่ง อย่าลืมว่ารากเหง้าของสกุลหลีอยู่ที่นั่นเสมอมา”
หลีเจี่ยวรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งตัดสินใจเด็ดขาดแล้วไม่มีทางเปลี่ยนใจอีก ทั้งที่ในใจสิ้นหวัง แต่นางยังเอ่ยขอร้องด้วยความหวังริบหรี่ “ท่านย่าจะเว้นโทษโบยให้แม่นมได้หรือไม่เจ้าคะ เจี่ยวเอ๋อร์ขอร้องท่านล่ะ ถึงอย่างไรแม่นมก็เคยให้นมข้า ก็ถือเสียว่าเห็นแก่หน้าข้าสักครั้งเถอะ จะอย่างไรนางก็เป็นแม่นมของข้านะเจ้าคะ…”
“ไม่ได้” เฉียวเจาพูดเสียงเย็นเยียบ นางลุกขึ้นเดินไปตรงหน้าหลีเจี่ยว
หลีเจี่ยวหันขวับไปมองนาง
“ไม่โบย ข้าก็รู้สึกเสียหน้านะ แม่นมของพี่เจี่ยวกระทำผิด พี่เจี่ยวยังรู้จักรักหน้ารักตา ส่วนคนเป็นน้องสาวอย่างข้าแค่หลับไปตื่นหนึ่งก็มีเสียงซุบซิบเล่าลือกระฉ่อนไปทั้งจวน หรือว่าไม่ต้องรักษาหน้าตาไว้ใช่หรือไม่” เฉียวเจาพูดจบแล้วเหยียดมุมปากขึ้นน้อยๆ
นางอยากให้คนทั้งจวนได้เห็นอย่างชัดเจนจะแจ้งว่าจะทำการใดพึงรู้จักประมาณกำลังตน หากทำให้นางเหลืออดขึ้นมาจริงๆ นึกว่านางจะอดทนข่มกลั้นเพื่อชื่อเสียงความเป็นกุลสตรีอะไรนั่นหรืออย่างไร
“น้องเจา เจ้าใจร้ายเกินไปแล้ว เจ้าจะบีบคั้นให้แม่นมข้าต้องตายจริงๆ ใช่หรือไม่” หลีเจี่ยวปิดหน้าร่ำไห้ฟูมฟาย “ถือว่าข้าขอร้องเจ้าได้หรือไม่ ให้ข้าโขกศีรษะขอขมาเจ้าดีหรือไม่”
โบยสิบไม้ไม่นับว่ามาก แต่โดนเอาตัวออกไปกลางลานให้คนทั้งจวนมุงดูตอนโดนโบย แม่นมยังสู้หน้าใครได้อีกหรือไม่ วันหน้าถึงกลับไปเรือนเดิมที่เหออวี๋ก็ต้องถูกคนหัวเราะเยาะจนโงศีรษะไม่ขึ้นตลอดชาติ
สำหรับนางแล้ว แม่นมถือได้ว่าเป็นกึ่งมารดา
หลีเจี่ยวเก็บซ่อนความชิงชังทั้งหมดไว้ในใจ ย่อตัวลงคุกเข่าให้เฉียวเจา
ความอัปยศอดสูในวันนี้ นางจะทวงคืนทั้งต้นทั้งดอกสักวัน!
เฉียวเจาเบี่ยงกายออก นางยืนอยู่กลางโถง พอถอยหลบเช่นนี้ หลีเจี่ยวก็คุกเข่าให้ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งพอดี
หญิงชราเห็นหลานสาวคนโตที่รักเอ็นดูมาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่น่าสงสารเฉกนี้ พาให้ใจอ่อนยวบอีกครา
กระนั้นนางยังไม่ทันปริปาก เฉียวเจาก็ชิงตัดหน้ากล่าวขึ้นว่า “พี่เจี่ยวประเดี๋ยวร้องไห้ประเดี๋ยวคุกเข่าเช่นนี้ คนที่ไม่รู้เรื่องราวจะนึกว่าเป็นบ่าวไพร่ของข้าที่กระทำความผิด ถ้าหากทำผิดแล้วร้องไห้คุกเข่าก็โยนความผิดไปให้ผู้อื่นได้ ไม่ต้องโดนลงโทษ เช่นนั้นยังต้องมีสามตุลาการ* ไปเพื่ออันใด ท่านย่า ท่านว่าเป็นเหตุผลนี้ใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว
เฉียวเจายังไม่หยุดเพียงเท่านี้ นางกล่าวต่อว่า “ท่านย่าตัดสินอย่างเป็นธรรมแล้ว อีกทั้งอันที่จริงก็เป็นการหวังดีต่อพี่เจี่ยวด้วย ไม่เช่นนั้นยามอยู่กับจวนพอพี่เจี่ยวร้องไห้คุกเข่า พวกผู้อาวุโสก็โอนอ่อนผ่อนปรนให้ด้วยความสงสาร จะทำให้พี่เจี่ยวใช้วิธีร้องไห้โวยวายขู่ว่าจะผูกคอตายเป็นกระบี่อาญาสิทธิ์ในการสะสางปัญหา รอเมื่อวันหน้าพี่เจี่ยวออกเรือนไปแล้วยังทำเช่นนี้อีก จะไม่เป็นที่หัวเราะเยาะของผู้อื่นหรือไร”
ถ้อยคำนี้เป็นดั่งไม้เคาะสติ ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งสะดุ้งเฮือกหนึ่ง
หลานเจากล่าวไม่ผิด สตรีอยู่ในสกุลเดิมคือสมบัติล้ำค่า ไปถึงเรือนสามีต่ำต้อยยิ่งกว่าต้นหญ้า เบื้องบนมีบิดามารดาของสามีต้องเคารพกตัญญู เบื้องล่างมีน้องชายน้องสาวต้องผูกไมตรีเอ็นดู ถึงเวลานั้นถ้าผู้อยู่ในฐานะลูกสะใภ้มีจุดใดทำผิดพลาดไป ยังจะวาดหวังให้ผู้อาวุโสคนใดสงสารเห็นใจได้เล่า
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งคิดถึงตรงนี้แล้วชำเลืองมองเหอซื่อพลางนึกในใจ มีก็แต่เหอซื่อคนโง่ที่มีวาสนาของคนโง่ ถึงได้พบกับมารดาสามีที่เข้าใจเหตุผลอย่างนาง
อืม จะปล่อยให้ความสงสารเห็นใจที่มีต่อเจี่ยวเอ๋อร์กลับกลายเป็นให้ร้ายนางในภายหลังไม่ได้จริงๆ
“ยังมัวยืนทื่อทำอะไร เอาตัวออกไป!”
สาวใช้ร่างใหญ่ล่ำสันหลายคนเข้ามาทันที ช่วยกันมัดแม่นมกับสามีของนางคนละไม้คนละมือ จากนั้นผลักออกไปกลางลานแล้วเริ่มลงโทษโบยทันที
เสียงทึบๆ ของไม้กระบองกระทบผิวเนื้อดังลอยมา พวกบ่าวไพร่ยืนล้อมวงอยู่รอบๆ ได้ยินเสียงคนนับจำนวนครั้ง “หนึ่ง สอง สาม…”
ไม้กระบองที่ฟาดลงบนบั้นท้ายของแม่นมกับสามีของนางทีแล้วทีเล่านั้น คล้ายฟาดลงไปบนตัวของคนที่มุงดูอยู่ทุกคน
แม้นคุณหนูใหญ่จะกำพร้ามารดา ทว่าแต่ไรมาเป็นคนโปรดของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งประมุขหญิงของเรือน ส่งผลให้แม่นมของนางมีสถานะสูงกว่าคนทั้งจวนชั้นหนึ่งไปด้วย ปกติจึงได้รับความเคารพจากทุกคน ใครจะคาดถึงว่าเพราะตอนนี้ล่วงเกินคุณหนูสาม ถึงกับโดนโบยเช่นนี้ ซ้ำยังโดนส่งตัวไปที่เรือนเดิม
ถึงแม้มิใช่ว่าทุกคนจะสนิทสนมกับแม่นมและสามีของนาง แต่ด้วยอยู่ในฐานะเหมือนกันทำให้ผู้คนที่มุงดูอยู่บังเกิดความเศร้าใจต่อชะตากรรมของคนหัวอกเดียวกันขึ้นกะทันหัน
พวกเขาอดมองไปที่หน้าประตูเรือนไม่ได้ พลันพบว่าคุณหนูสามยืนอยู่บนบันไดด้านนอก มองดูอยู่ด้วยสีหน้าสงบนิ่งเฉยเมยตั้งแต่เมื่อไรก็สุดรู้
* สามตุลาการ หมายถึงกรมอาญา ศาลสถิตยุติธรรม และสำนักตรวจการ มีหน้าที่พิจารณาคดีสำคัญร่วมกันโดยเฉพาะ