หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 156
“ไข่มุกเก็บไว้นานๆ สีสันจะหมอง แทนที่จะวางทิ้งไว้เฉยๆ ในเรือนข้า มิสู้แบ่งปันให้ทุกคน”
ปิงลวี่น้ำตาเอ่อคลอ “ทิ้งไว้เฉยๆ ที่ใดกัน ให้ข้าเอามานับจำนวนทุกวันก็ยังดีเจ้าค่ะ”
เฉียวเจากล่าวอย่างขบขัน “เอาล่ะ ลุกขึ้นเร็วเข้า สำหรับข้าแล้วของพวกนี้ล้วนเป็นลาภลอย แบ่งปันออกไปบ้างทำให้ชีวิตสุขสงบนะ”
ปิงลวี่ได้ยินถ้อยคำนี้แล้วลุกขึ้นอย่างอาลัยอาวรณ์
ดูเหมือนจะมีคำกล่าวอย่างนี้อยู่ ที่ว่าลาภลอยดึงดูดเภทภัย คุณหนูยังคงเก่งกาจตามเคย มักมีเหตุมีผลปานนั้นเสมอ
“แต่ว่าคุณหนูจะแบ่งไข่มุกพวกนี้ให้คุณหนูทุกคนหรือเจ้าคะ มอบให้คุณหนูสี่กับคุณหนูหกยังพอทำเนา แต่มอบให้คุณหนูใหญ่ ข้ารู้สึกเสียดายแทนท่านจริงๆ แต่อย่างไรก็เป็นพี่น้องจวนเดียวกัน ถ้าท่านตัดคุณหนูใหญ่ออกไปคนเดียว นางต้องไปฟ้องฮูหยินผู้เฒ่าแน่เลยเจ้าค่ะ” พอปิงลวี่คิดว่าต้องแบ่งไข่มุกให้หลีเจี่ยวก็รู้สึกเจ็บหัวใจเหมือนโดนมีดกรีด
หมู่นี้ยามอยู่ต่อหน้าคุณหนูของนาง คุณหนูสี่กับคุณหนูหกล้วนสงบเสงี่ยมดี เป็นคุณหนูใหญ่ต่างหากที่เล่นงานคุณหนู ให้ดอกไม้ผ้าสองสามดอกก็พอแล้ว เรื่องอะไรต้องแบ่งไข่มุกให้อีกฝ่ายด้วย
“มอบดอกไม้ผ้าให้พี่ๆ น้องๆ ส่วนไข่มุกพวกนี้มอบให้ผู้อาวุโส ปิงลวี่เจ้าหากล่องเล็กๆ สองใบมาใส่ไข่มุก เอาไปมอบให้ท่านแม่ข้ากับท่านอาสะใภ้รอง”
ปิงลวี่ฟังแล้วตบมือทันใด “คุณหนูแบ่งเก่งจริงๆ เจ้าค่ะ”
นายหญิงไม่มีทางยกไข่มุกให้คนอกตัญญูอย่างคุณหนูใหญ่ผู้นั้นแน่นอน ส่วนนายหญิงรองได้ไข่มุกไปก็เท่ากับเป็นของพวกคุณหนูสี่แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ตกเป็นของคุณหนูใหญ่
เฉียวเจาแย้มยิ้ม นางไม่ได้ใจกว้างถึงเพียงนั้นจริงๆ ถึงขั้นตั้งใจเอาไข่มุกไปให้หลีเจี่ยว
“หินปะการังแดงชิ้นนี้ส่งไปที่เรือนชิงซงพร้อมกับเงินหยวนเป่าส่วนหนึ่ง และขอให้ฮูหยินผู้เฒ่าช่วยเลือกรถม้าคันเล็กแข็งแรงให้ข้าสักคัน เงินหยวนเป่าที่เหลือแลกเป็นตั๋วเงินย่อยๆ สำหรับของอย่างอื่นเช่นพวกแผ่นทองคำพับกับสมุนไพร อาจูเจ้านับจำนวนแล้วเอาไปเก็บให้เรียบร้อยเถอะ”
เฉียวเจาแบ่งสันปันส่วนเสร็จ สุดท้ายชี้ไปที่หีบหนังสือ “ปิงลวี่ ยกตำราหีบนี้ไปไว้ในห้อง ไม่ถึงเวลากินอาหาร ห้ามเข้าไปรบกวนข้า ข้าจะอ่านหนังสือ”
พอหีบหนังสือถูกยกเข้าไปในห้อง เฉียวเจาก็รื้อออกมาดูทีละเล่ม
ตำราแพทย์ที่วางอยู่ด้านบนล้วนเป็นเล่มที่นางเคยร่ำเรียนมาแล้ว เมื่อรื้อไปถึงก้นหีบ เป็นหนังสือที่ยังมีกลิ่นหอมของหมึกติดอยู่เล่มหนึ่ง มีสารซองหนึ่งแนบอยู่บนปก
นางหยิบซองออก เผยให้เห็นหน้าปกหนังสือเขียนด้วยลายมือคุ้นตาว่า
‘บทสนทนาว่าด้วยสรรพโรคแปลกพิสดาร’
เฉียวเจาตาเป็นประกายทันควัน แต่มิได้รีบร้อนเปิดหนังสือ นางดึงกระดาษสารออกมาแล้วเริ่มอ่านก่อน
เป็นสารลายมือของหมอเทวดาหลี่ ใจความสำคัญคือบอกกล่าวว่าหนังสือ ‘บทสนทนาว่าด้วยสรรพโรคแปลกพิสดาร’ เล่มนี้เป็นการรวบรวมผลจากการทุ่มเทหยาดเหงื่อแรงกายตลอดหลายปีมานี้ของเขา และตั้งใจเขียนออกมาให้นางได้อ่านศึกษา เพราะในนี้มีบางเรื่องราวน่าตะลึงพรึงเพริดเกินไป จึงกำชับให้นางทำลายทิ้งหลังจดจำได้แล้ว เพื่อป้องกันมิให้ตกไปอยู่ในมือผู้มีความคิดจิตใจชั่วร้ายจนก่อกรรมทำเข็ญอันใหญ่หลวงขึ้น
นิ้วมือขาวลออของเฉียวเจาลูบปกหนังสือเบาๆ นางคลับคล้ายมองเห็นภาพผู้เฒ่าผมเผ้าหนวดเคราหงอกขาวเขียนตำราอยู่ใต้โคมไฟอย่างขะมักเขม้น
ในใจของเด็กสาวเป็นความรู้สึกที่ขมปร่าระคนหวานชื่นอยู่บ้าง นางถือตำราล้ำค่าสุดจะเปรียบไว้ในมือแล้วเริ่มต้นอ่านไปทีละตัวอักษร
ถึงยามเที่ยงตรงโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว อาจูยืนบอกอยู่ตรงหน้าประตู “คุณหนู ถึงเวลากินอาหารแล้วเจ้าค่ะ”
เฉียวเจาขยี้ตา ชั่วขณะนี้ดวงหน้าที่สงบนิ่งเป็นนิจเป็นสีขาวจนเกินกว่าเหตุ นานครู่ใหญ่ถึงเอ่ยเสียงแหบแห้ง “อาจู เอาอ่างไฟเข้ามา”
อาจูยกอ่างไฟกับเทียนเข้าไปโดยไม่เอื้อนเอ่ยคำใด
เฉียวเจามองหนังสือที่ยังมีกลิ่นหอมของหมึกติดอยู่อย่างอาลัยอาวรณ์ นางลอบถอนใจเฮือกหนึ่งก่อนยื่นมันไปจ่อไฟ
หนังสือถูกเปลวไฟลามเลียจนมอดไหม้เป็นเศษขี้เถ้าในอ่างไฟอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้แค่ควันไฟอบอวล
ผลงานที่คนทั่วหล้าต้องตื่นตะลึงได้สูญสลายหายไปเช่นนี้ กระทั่งคนที่ไม่ยึดติดกับสิ่งใดอย่างเฉียวเจายังแสดงสีหน้าเสียดายออกมาในเวลานี้
ทว่าท่านปู่หลี่กล่าวได้ถูกต้อง สิ่งที่เขียนอยู่ในหนังสือน่าตะลึงพรึงเพริดเกินไป ทันทีที่ผู้เป็นหมอซึ่งจิตใจไม่บริสุทธิ์ได้ครอบครองมันก็จะเกิดความวุ่นวายขึ้น
วิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือการถ่ายทอดกันปากต่อปาก ดูทีว่าถ้ามิใช่ท่านปู่หลี่รู้ว่านางมีความสามารถในการอ่านผ่านตาไม่ลืม คงจะไม่มอบหนังสือเล่มนี้ให้นางตั้งแต่ตอนนี้แล้ว
หลังเผาตำราอันหาค่ามิได้เล่มหนึ่งจนไม่เหลือซาก เฉียวเจาถึงมีแก่ใจรื้อหีบต่อ
ข้างใต้ตำราล้ำค่ายังมีถุงหนังสัตว์ขนาดเท่าฝ่ามือเด็กใบหนึ่งวางอยู่ นางเปิดออกดูแล้วต้องประหลาดใจที่เห็นเข็มทองเรียงรายกันเป็นแถวๆ
เฉียวเจาถือมันไว้ในมือ พลันนึกขึ้นได้ว่าตอนแยกจากท่านปู่หลี่ครั้งสุดท้ายที่เรือนสกุลเฉียวในสวนซิ่งจื่อ เขาพูดกลั้วเสียงหัวเราะขลุกขลักว่ารอไว้พบกันคราวหน้า จะมอบเข็มทองชุดหนึ่งให้นางเป็นของขวัญ
นางช่างโชคดีปานใดที่ยังคงได้รับของขวัญชิ้นนี้ในท้ายที่สุด
เฉียวเจารู้สึกครึ้มอกครึ้มใจ ไปที่ห้องหนังสือหยิบพู่กันวาดภาพถุงผ้าปักแล้วส่งให้อาจู “เจ้ามีฝีมือดี เย็บตามแบบนี้ให้ข้าหลายๆ ใบ”
นางชี้ไปที่มุมถุงผ้าปักเป็นพิเศษ “ตาของลูกเป็ดตรงนี้ อย่าลืมปักเป็นสีเขียวนะ”
นางยังจำได้ว่าตอนวาดภาพเป็ดสมัยเป็นเด็ก สังเกตเห็นว่าตาของเป็ดตัวหนึ่งในบึงเป็นสีเขียว นางจับเป็ดตัวนั้นไปอวดกับท่านปู่และหมอเทวดาหลี่ ท่านปู่รู้สึกทึ่งมาก แต่หมอเทวดาหลี่กลับเบะปากพูดว่า ‘มีอันใดน่าทึ่ง นั่นเป็นเพราะเป็ดตัวนี้เป็นโรค ก็เหมือนกับกวางเผือก นกยูงเผือก ที่พวกขุนนางผู้สูงศักดิ์ที่กินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำชื่นชอบกันหนักหนา จริงๆ แล้วสัตว์พวกนั้นเป็นโรคทั้งนั้น!’
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ได้รู้จักกับศาสตร์การแพทย์ของนาง ภายหลังนางขอให้ท่านย่าปักลายเป็ดตาเขียวไว้เป็นที่ระลึกบนถุงผ้าปักพกติดกายสำหรับใส่ของกระจุกกระจิก ถุงผ้าปักใบก่อนหน้านี้เป็นฝีมือเย็บของนางเอง ฉะนั้นเรื่องปักลายเป็ดอะไรก็ตาม ถึงนางมีใจแต่ไร้ความสามารถจริงๆ
เฉียวเจาสั่งงานเสร็จถึงรู้สึกว่าท้องร้องจ๊อกๆ นางรีบล้างมือแล้วไปกินอาหาร
ขณะที่เรือนเล็กฝั่งซ้ายของเรือนหยาเหอสงบเงียบ เรือนอื่นๆ กลับครึกครื้นขึ้นกะทันหันเพราะของขวัญที่เฉียวเจาส่งคนไปมอบให้
ในเรือนจินหรง หลิวซื่อนายหญิงรองถือไข่มุกกล่องหนึ่งไว้ในมือ หุบยิ้มไม่ลงด้วยความยินดีปรีดา นางพูดกับบุตรสาวสองคน “เห็นหรือยังว่าที่ข้าให้พวกเจ้าสองคนเป็นมิตรกับคุณหนูสามน่ะทำถูกแล้ว ตอนนั้นแม่เห็นชัดเจนจะแจ้ง ไข่มุกหีบนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็นสองส่วนอย่างนี้ พอข้าลองถามดู ปิงลวี่ที่ถือของมาให้บอกว่าแบ่งเป็นสองส่วนเท่านั้นตามคาด ส่วนหนึ่งให้ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ของพวกเจ้า ส่วนหนึ่งก็ให้ข้า”
จุๆ คุณหนูสามรอบคอบรัดกุมไร้ช่วงโหว่จริงๆ
เหอซื่อพี่สะใภ้ใหญ่ได้ไข่มุกครึ่งหีบ สุดท้ายคงเอาไปทำเป็นเครื่องประดับให้บุตรสาวในไส้อยู่ดีมิใช่หรือ สำหรับไข่มุกอีกครึ่งหีบนี้ พวกนางสามแม่ลูกก็ย่อมใช้ด้วยกันเป็นธรรมดา เมื่อเป็นเช่นนี้คุณหนูใหญ่จะไม่ได้ไข่มุกสักเม็ดเดียว แต่กลับไปต่อว่าต่อขานใครไม่ได้อีก
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งจะลำเอียงรักคุณหนูใหญ่มากกว่าใครเพียงใดก็ตาม อย่างไรหินปะการังแดงชิ้นหนึ่งจะแบ่งเป็นสองส่วนคงไม่ได้
“พวกเจ้าจำคำข้าไว้ ต่อไปนี้ต้องให้ความเคารพคุณหนูสามมากขึ้น นางเป็นพี่สาว พวกเจ้าก้มหัวให้ได้โดยไม่น่าอาย โดยเฉพาะฉานเอ๋อร์ จะพูดอะไรโดยไม่ยั้งปากเพราะถือว่าอายุน้อยอีกไม่ได้”
คุณหนูสามสั่งสอนคุณหนูใหญ่ได้อย่างแยบคายหมดจดเยี่ยงนี้ ขืนบุตรสาวสองคนที่นางพะเน้าพะนอตามใจมาตั้งแต่เล็กจนโตคิดประมือก็มีแต่เสียแรงเปล่า
ไข่มุกครึ่งหีบกับดอกไม้ผ้างามวิจิตรที่มีเฉพาะในวังหลวงทำให้เด็กสาวตื่นตาตื่นใจไปแล้ว หลีฉานขานรับอย่างดีอกดีใจ “ท่านแม่ ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ”
คุณหนูสี่หลีเยียนนิ่งเงียบไปแล้วกล่าวกับมารดาด้วยน้ำเสียงขึงขัง “ท่านแม่ วันหน้าข้าจะคอยเตือนน้องฉานเองเจ้าค่ะ”
ในเรือนหยาเหอฝั่งขวา หลีเจี่ยวขว้างดอกไม้ผ้าหลายดอกที่ส่งมาให้ไปบนพื้นสุดแรง นางกอดแม่นมพลางพูดแกมสะอื้น “แม่นม ท่านวางใจได้ สักวันข้าจะระบายความแค้นในคราวนี้แทนท่านให้จงได้”
ริมฝีปากของแม่นมสั่นระริก นางเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “คุณหนู เก็บดอกไม้ผ้าขึ้นมาเจ้าค่ะ”