หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 157
ดวงตาแดงเรื่อของหลีเจี่ยวมองไปที่แม่นม
“คุณหนู หากท่านยังเห็นแก่ข้า ก็ไปเก็บดอกไม้ผ้าขึ้นมา”
หลีเจี่ยวกัดริมฝีปาก ก้มตัวลงไปเก็บดอกไม้ผ้า
ดอกไม้ผ้านั้นทำด้วยฝีมือประณีตบรรจง ถึงถูกขว้างลงพื้นก็ยังคงไม่เสียหายแม้สักเศษเสี้ยว ประดับผมออกไปนอกเรือนต้องทำให้ผู้พบเห็นตะลึงในความงามเป็นแน่แท้ กระนั้นตอนหลีเจี่ยวเก็บมันขึ้นมากลับรู้สึกบาดตาและอดสูนัก
“คุณหนูของข้า” แม่นมยกมือลูบข้างแก้มเย็นเฉียบของผู้เป็นนายอย่างรักใคร่ทะนุถนอม “หลังจากนี้ข้าไม่อาจอยู่เป็นเพื่อนได้แล้ว ท่านอยู่ในจวนนี้ตัวคนเดียวก็ยิ่งใช้อารมณ์เหนือเหตุผลมิได้ ฮูหยินผู้เฒ่ารักและเอ็นดูท่านจากใจจริง ท่านต้องเอาอกเอาใจฮูหยินผู้เฒ่ามากๆ อย่าปล่อยให้ความรักและความเอ็นดูนี้หลุดมือไปเป็นของผู้อื่นนะเจ้าคะ”
“แม่นม แต่ตอนนี้ท่านย่าเริ่มให้ความรักและความเอ็นดูแก่น้องเจาแล้ว…”
แม่นมส่ายหน้า “คุณหนูคิดไปผิดทางแล้ว ว่ากันถึงศักดิ์ฐานะ ท่านเป็นบุตรสาวคนโตของภรรยาเอก ด้านคุณหนูสามเป็นบุตรสาวที่เกิดกับภรรยาคนที่สอง ว่ากันถึงความผูกพัน ท่านอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าเสมอๆ แต่วัยเยาว์ ขณะที่คุณหนูสามเมื่อหลายเดือนก่อนยังชอบโต้เถียงฮูหยินผู้เฒ่าบ่อยๆ อยู่เลย และว่ากันถึงใจคน ท่านสูญเสียมารดาไปตั้งแต่เด็ก ส่วนคุณหนูสามกลับมีมารดาที่เข้าข้างคนของตนเองอย่างไม่ลืมหูลืมตาผู้หนึ่ง ฮูหยินผู้เฒ่าก็ต้องสงสารเห็นใจท่านมากกว่าหลายส่วนตามวิสัยปุถุชน ดังนั้นไม่ว่ามองจากด้านใด คุณหนูสามล้วนไม่อาจล้ำหน้าท่านได้ สิ่งที่ท่านต้องทำมีแค่หนักแน่นมั่นคงเอาไว้ อย่าให้คุณหนูสามจับจุดอ่อนได้อีก”
หลีเจี่ยวก้มศีรษะรับฟังเงียบๆ เมื่อคิดถึงว่าตนกับแม่นมกำลังจะพรากจากกันไปคนละทาง นางก็เจ็บปวดเจียนขาดใจ
แม่นมลูบผมของนางเบาๆ กล่าวพลางทอดถอนใจ “คุณหนู อดทนต่อไปก็จะดีเองเจ้าค่ะ”
“ทนๆๆ เพราะอะไรชีวิตข้ามีแต่ต้องทน ชีวิตเช่นนี้จะได้ลืมตาอ้าปากเมื่อไรกันเล่า ต้องโทษที่ข้าชะตาอาภัพ มาเกิดใหม่ผิดท้อง ต้องกำพร้ามารดาแต่เด็ก…”
แม่นมกุมมือหลีเจี่ยว “คุณหนูอย่าพูดอย่างนี้ จะว่าไปแล้วออกเรือนจึงเป็น ‘การเกิดใหม่’ ครั้งสำคัญที่สุดของสตรีนะเจ้าคะ ชั่วชีวิตหนึ่งของสตรีอยู่สกุลเดิมเพียงสิบกว่าปี แต่เรือนของสามีต่างหากที่ต้องอยู่ยาวนานไปทั้งชีวิต คุณหนูประจบเอาใจฮูหยินผู้เฒ่าเอาไว้ ท่านจะต้องเอาใจใส่เรื่องการแต่งงานของท่านอย่างแน่นอน รอเมื่อออกเรือนไปกับคู่ครองที่ดีสักคน วันที่ท่านได้อยู่ดีมีสุขก็จะมาถึง สำหรับคุณหนูสาม…หึๆ คุณหนูจะไปเสียอารมณ์กับคนที่สูญสิ้นชื่อเสียงไปแล้วผู้หนึ่งเช่นนางไปไย ตามความเห็นข้า เกรงว่าคุณหนูสามต้องเป็นสาวเทื้อคาเรือนอยู่ในจวนตะวันตกไปตลอดชาติ ถึงแม้จะผยองตัวได้ชั่วระยะหนึ่ง ทว่าคนที่วันหน้าต้องคอยดูสีหน้าของเด็กรุ่นลูกรุ่นหลานไปจนตาย จะมีจุดจบที่ดีอะไรได้ล่ะเจ้าคะ”
หลีเจี่ยวนิ่งขึงไปก่อนจะพยักหน้าช้าๆ “แม่นมพูดได้ถูกต้อง”
ความรู้สึกอัดอั้นตันใจและผิดหวังท้อแท้เหล่านั้นของคุณหนูใหญ่สกุลหลีบรรเทาเบาบางลงไปมากทันควันหลังได้ฟังคำกล่าวนี้ของแม่นม ในใจนางยิ่งตระหนักชัดถึงเรื่องออกเรือนไปกับคู่ครองที่ดีสักคนได้มากขึ้นทุกที
“คุณหนูใหญ่ แม่เฒ่าตู้เก็บข้าวของเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่ ฮูหยินผู้เฒ่าให้ข้าพานางไปส่งเจ้าค่ะ” หรงมามาของเรือนชิงซงมาที่เรือนหยาเหอฝั่งขวา
เมื่อเวลาแห่งการพลัดพรากมาถึงจริงๆ ความหวังสุดท้ายของหลีเจี่ยวดับมอดสนิท นางเปล่งเสียงร่ำไห้อย่างเศร้าโศก
“คุณหนู…คุณหนูอย่าร้องไห้ ข้าอยู่ที่เรือนเดิมจะจุดธูปไหว้พระขอพรให้ท่านสมดังใจปรารถนานะเจ้าคะ ต้องจดจำคำพูดของข้าไว้ รักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี…”
แม่นมเดินเหลียวหลังเป็นระยะตามหรงมามาออกไป
ฝ่ายหลีเจี่ยวฟุบหน้าร้องไห้อยู่บนตั่งสาวงามเนิ่นนานถึงหยุดลง นางมีสีหน้าเย็นกระด้างยามสั่งกำชับบางอย่างกับชุนฟางสาวใช้อาวุโส จากนั้นสะลึมสะลือหลับใหลไป
ชุนฟางออกจากจวนตะวันตกทางประตูหลังมุ่งหน้าตรงไปที่สำนักศึกษาหลวง
มาตรว่าบัณฑิตที่เล่าเรียนในสำนักศึกษาหลวงต้องเลิกเรียนตามเวลา แต่ถ้าครอบครัวมีเรื่องด่วนก็ผ่อนผันได้
หลีเจี่ยวให้ความสำคัญต่อน้องชายเพียงคนเดียวเป็นพิเศษ นางสั่งให้สาวใช้ประจำตัวตีสนิทกับยามเฝ้าประตูของที่นั่นไว้แต่แรกแล้ว
ชุนฟางให้สินน้ำใจแก่ยามเฝ้าประตู ไม่นานนักหลีฮุยที่ได้รับสารก็เดินออกมาอย่างร้อนรน
เพลานี้เริ่มอากาศร้อน หลีฮุยเดินด้วยความรีบร้อนเลยหลั่งเหงื่อท่วมศีรษะ
“ชุนฟาง เกิดอะไรขึ้นกับพี่เจี่ยวหรือ”
สาวใช้กล่าวเสียงเครือ “คุณชายสาม ท่านรีบกลับไปกล่าวปลอบคุณหนูใหญ่เถอะ แม่นมของคุณหนูถูกคุณหนูสามขับไล่ไปที่เรือนเดิมในเหออวี๋แล้ว คุณหนูร้องไห้ไม่หยุดจนลมจับไปแล้วเจ้าค่ะ”
หลีฮุยได้ยินก็ก้าวขาออกเดินทันที เมื่อรุดมาถึงจวนตะวันตก มองเห็นภาพสลักลายนกกระเรียนเคียงต้นสนชั่วนิรันดร์บนกำแพงบังตาในปราดแรก อารมณ์ของเขาสงบลงในชั่วอึดใจ
ในเมื่อมีแค่ชุนฟางมาหาเขา สถานการณ์ของพี่เจี่ยวน่าจะไม่ย่ำแย่มากนัก เขาต้องรู้เรื่องราวให้กระจ่างแจ้งก่อนจะดีกว่า จะได้ไม่เป็นเช่นคราวก่อนที่ไปหาเรื่องน้องเจาด้วยความโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงแล้วกลับต้องตกเป็นฝ่ายอับอายขายหน้าเสียเอง
ชุนฟางเห็นหลีฮุยชะงักฝีเท้ากึกก็นึกแปลกใจอยู่บ้าง “คุณชายสาม?”
“เจ้ากลับไปดูคุณหนูใหญ่ก่อนว่าเป็นอย่างไรบ้าง ข้าวิ่งมาเหงื่อออกทั้งตัว ไปผลัดอาภรณ์ก่อนค่อยไปที่นั่น”
ชุนฟางรู้ถึงความสำคัญของคุณชายสามในจวนตะวันตกและในใจคุณหนูใหญ่ดี นางไม่กล้าสอดปากพูดอะไร จึงยอบกายคำนับแล้วเร่งรีบเดินไปทางเรือนหยาเหอ
หลีฮุยเปลี่ยนชุดแล้วไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งที่เรือนชิงซง ถึงรุดไปที่ห้องของหลีเจี่ยว
พอเห็นพี่สาวสองตาบวมช้ำเป็นนกกะปูด เอนกายอยู่บนตั่งสาวงามอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย หลีฮุยนึกสงสารจับใจ สาวเท้าเข้าไปนั่งลงด้านข้าง ลูบหน้าผากนางเบาๆ พบว่าตัวไม่ร้อนถึงคลายใจลงได้
“น้องสาม?” แพขนตาของหลีเจี่ยวกระพือขึ้นลงเบาๆ ก่อนนางจะลืมตาขึ้น น้ำตาใสแวววาวหยดหนึ่งก็ไหลรินลงมาทันที
“พี่เจี่ยว ท่านอย่าเสียใจไปเลย ยังมีข้าอยู่ทั้งคน”
หลีเจี่ยวโผไปซบอกน้องชายร่ำไห้สุดเสียง “น้องสาม แม่นมถูกไล่ไปแล้ว ในใจข้าเป็นทุกข์ยิ่งนักจริงๆ ข้าเติบใหญ่จนป่านนี้ แม่นมไม่เคยอยู่ห่างกายสักครึ่งก้าว ข้ารู้ว่าข้าไม่สมควรโทษน้องเจา แต่พอคิดถึงว่าต่อแต่นี้ไปจะไม่ได้เจอแม่นมอีก หัวใจข้าเหมือนโดนมีดกรีดกระนั้น ฮือๆๆ…”
หลีฮุยได้ยินแล้วปวดใจแต่ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ เขาปล่อยให้พี่สาวร้องไห้จนพอ ถึงอ้าปากพูดกล่อม “พี่เจี่ยว ท่านย่าเล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟังแล้ว จะโทษน้องเจาไม่ได้จริงๆ แม้ว่าพี่เจี่ยวกับแม่นมจะผูกพันกันลึกซึ้ง แต่แม่นมใช้มันเป็นข้ออ้างบังอาจเหยียบย่ำชื่อเสียงของน้องเจา นางจึงสมควรได้รับบทลงโทษอย่างนี้”
“น้องสาม?” หลีเจี่ยวหยุดร้องไห้ทันควัน นางมองน้องชายตนเองอย่างตกตะลึง
หลีฮุยหยักยิ้ม “ข้ารู้ว่าพี่เจี่ยวอารมณ์ไม่ดี วันหน้าข้าจะกลับมาเร็วขึ้นอยู่เป็นเพื่อนท่านมากๆ ท่านอย่าเสียใจไปเลยนะ”
หลีเจี่ยวแทบกระอักโลหิต นางต้องข่มใจสุดชีวิตถึงมิได้บันดาลโทสะ กล่าวด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อน “ข้ารู้แล้ว ฮุยเอ๋อร์ช่างรู้ความจริงๆ”
ด้านหลีกวงเหวินได้รับแพรพรรณชั้นดีที่เฉียวเจาให้คนนำมามอบให้ เขาหยิบไปที่ห้องของเหอซื่อแล้ววางลงตรงหน้านาง กล่าวอย่างเริงรื่นชื่นบาน “ให้คนเอาแพรพรรณพวกนี้ตัดเย็บอาภรณ์ให้ข้าสวมสองสามชุดเถอะ”
เหอซื่อลังเลไม่แน่ใจจึงเอ่ยถาม “นี่เป็น…ของที่เจาเจาให้มาหรือเจ้าคะ”
“ใช่น่ะสิ”
“ท่านพี่ไม่ชมชอบสวมผ้าแพรผ้าไหมมิใช่หรือ” เหอซื่อประหลาดใจถึงขีดสุด
ในกาลก่อนทุกคราที่นางใช้แพรพรรณเนื้อดีทำเป็นอาภรณ์มอบให้ท่านพี่ มักถูกเขาปฏิเสธด้วยสีหน้าบึ้งตึงเสมอ
หลีกวงเหวินกลับมองเหอซื่อด้วยสายตาเป็นเชิงว่า ‘เจ้าสติไม่ดีหรือ’ พลางกล่าว “พูดอะไรของเจ้า ใครกันจะไม่ชอบใส่ผ้าแพรผ้าไหม”
“แล้ว…แล้วเหตุใดเมื่อก่อนข้ามอบ…”
หลีกวงเหวินตีหน้าขรึมตัดบทนาง “นั่นจะเหมือนกันได้รึ บุตรสาวเติบใหญ่แล้ว รู้จักกตัญญูต่อข้า ข้าดีใจยังแทบไม่ทัน แต่ถ้ากินของเจ้าใช้ของเจ้า แล้วยังสวมอาภรณ์ที่เจ้าให้อีก ข้ามิกลายเป็นพวกเกาะภรรยากินหรือไร”
หลีกวงเหวินรู้สึกว่าเหอซื่อเกิดมามีรูปโฉมโนมพรรณงดงามอย่างเสียเปล่าโดยแท้ กลับเบาปัญญาอย่างหาที่เปรียบมิได้เลยทีเดียว ครั้นกวาดหางตาไปทางแพรพรรณชั้นดีตรงหน้า เขาก็ถอนใจเฮือก
ช่างเถิด เห็นแก่ที่นางให้กำเนิดบุตรสาวที่งดงามสูงส่งทั้งกายใจผู้หนึ่งให้ข้า คนเป็นมารดาจะโง่เขลาสักหน่อยก็ยอมทนไปเถอะ
นายท่านใหญ่ของสกุลหลีมิได้ก้าวขาเดินกลับไปอย่างหาได้ยาก เขาทำหน้าตึงเอ่ยขึ้น “หิวแล้ว กินข้าวเถอะ”
เหอซื่อปลาบปลื้มใจจนฝีเท้าเบาหวิว สั่งให้คนไปบอกทางเรือนครัวจัดเตรียมอาหารเพิ่มด้วยสติที่เคลิ้มลอย