หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 159
บทที่ 159
นี่คือ…
ตู้เฟยเสวี่ยได้เป็นหนึ่งในชาวชุมนุมฟู่ซานคือความภาคภูมิใจของนางเสมอมา ด้วยเหตุนี้นางคุ้นเคยกับเทียบเชิญเฉพาะตัวของคนในชุมนุมฟู่ซานมากที่สุด
สีหน้าของเด็กสาวแปรเปลี่ยนไป นางจ้องหน้าเฉียวเจาตาเขม็ง “เจ้าได้มาจากที่ใด”
คงจะไม่ได้ขโมยมากระมัง
นี่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ มารดาของหลีซานยังใช้เล่ห์กลอุบายจนได้แต่งงานกับท่านพ่อของพี่เจี่ยว บุตรสาวที่นางเลี้ยงดูมาจะมีอะไรดีได้เล่า
ถึงมิใช่ขโมยก็เป็นไปได้ว่าเก็บได้!
ยามนี้เองสุ้มเสียงอ่อนนุ่มของคนผู้หนึ่งดังขึ้น “ข้าเป็นคนให้เอง”
ทุกคนหันไปมองต้นเสียง เห็นรถม้ามีตราสัญลักษณ์ของจวนสกุลซูจอดอยู่หน้าประตูจวนกู้ชางป๋อตั้งแต่เมื่อไรก็สุดรู้ ซูลั่วอีก้มตัวลงจากรถม้าเดินเยื้องกรายมา
“คุณหนูซู…” สตรีสูงศักดิ์ที่รอชมเรื่องสนุกอยู่ด้านข้างพากันเรียกขานทักทายซูลั่วอี
แม้นเสนาบดีกรมพิธีการจะไม่มีเกียรติยศและผลประโยชน์มากเท่าเสนาบดีกรมอื่นๆ เช่นกรมปกครองหรือกรมทหาร ทว่าเป็นตำแหน่งที่ต้องได้ก้าวเข้าสู่สภาขุนนางมาทุกยุคทุกสมัย โดยทั่วไปแล้วฮ่องเต้หมายใจให้คนใดเข้าสภาขุนนาง ก็จะให้คนผู้นั้นรั้งตำแหน่งเสนาบดีกรมพิธีการควบหัวหน้าสำนักราชบัณฑิตสักสองสามปี
สำหรับหลานสาวของว่าที่ราชมนตรีย่อมเป็นที่ต้อนรับของสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงเป็นธรรมดา ยิ่งกว่านั้นซูลั่วอีมิได้หยิ่งยโสเฉกบุตรสาวของขุนนางบุญหนักศักดิ์ใหญ่ มีเพียงความเฉลียวฉลาดเจ้าปัญญาตามประสาลูกหลานตระกูลบัณฑิต ยิ่งส่งผลให้นางมีมิตรสหายกว้างขวาง
ซูลั่วอีเดินเข้าไปคล้องแขนกับเฉียวเจา ส่งยิ้มนุ่มๆ ให้ตู้เฟยเสวี่ยที่อ้าปากค้างอยู่พลางเอ่ย “น้องหลีซานเป็นชาวชุมนุมฟู่ซานคนใหม่ ข้ากับจูเหยียนเสนอชื่อร่วมกัน”
“คุณหนูซู พวกท่าน…” ตู้เฟยเสวี่ยรู้สึกเสียหน้าอย่างมาก ดวงหน้างามหมดจดแดงก่ำ
ยามนี้เองก็มีคนเอ่ยขึ้นอย่างแจ่มแจ้งในบัดดล “จริงสิ เมื่อวันประสูติของพุทธองค์ตัวอักษรของคุณหนูหลีซานเข้าตาของซือไท่อารามซูอิ่ง ย่อมจะมีสิทธิ์เข้าร่วมชุมนุมฟู่ซานของพวกเราได้แน่นอน”
พอคำกล่าวนี้ดังขึ้นพลันมีคนพากันเออออคล้อยตามไม่น้อยทันที
ชุมนุมฟู่ซานของพวกเรา?
หลีเจี่ยวแอบขบฟันจนแทบแหลกละเอียด
เมื่อครู่นี้นางยังล้วนรอดูเรื่องสนุกอยู่ด้านข้าง ผ่านไปชั่วประเดี๋ยวเดียวก็กลายเป็น ‘ชุมนุมฟู่ซานของพวกเรา’ ไปแล้ว
หรือว่าเรื่องที่ตัวอักษรของหลีซานเข้าตาของอู๋เหมยซือไท่เพิ่งเกิดขึ้นเล่า
ฮึ…ก็แค่เพราะซูลั่วอีเป็นรองหัวหน้าชุมนุม คนเหล่านี้เลยอยากประจบประแจงผู้มีอำนาจบารมีเท่านั้นเอง!
นางอดมองไปทางเฉียวเจาไม่ได้ ในใจบังเกิดความชิงชังมากขึ้น
หลีซานผูกไมตรีกับซูลั่วอีตั้งแต่เมื่อใดกันแน่ ซ้ำยังเก็บเงียบไม่พูดอยู่ตลอด ปล่อยให้นางกับน้องเฟยเสวี่ยกลายเป็นตัวตลกต่อหน้าธารกำนัล
หลีเจี่ยวลอบกระตุกชายเสื้อของญาติผู้น้อง
ตู้เฟยเสวี่ยนั้นเย่อหยิ่งเอาแต่ใจจนรู้กันไปทั่วอยู่แล้วจึงไม่ต้องกลัว แต่นางยังต้องการชื่อเสียงที่ดี ยิ่งกว่านั้นวันนี้ในหมู่คนเหล่านี้ มีแต่นางที่พึ่งใบบุญของตู้เฟยเสวี่ยถึงมาได้ ตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนมิใช่เรื่องมีหน้ามีตาอันใด
ถึงตู้เฟยเสวี่ยจะจองหองถือดี กระนั้นยังไม่ลืมว่าตนเป็นเจ้าภาพ เหนือสิ่งอื่นใดมีพวกคุณหนูไม่น้อยที่ศักดิ์ฐานะสูงกว่า ซึ่งก็คงไม่ยอมทนนิสัยจองหองถือดีของนางเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้นางข่มไฟโทสะไว้ในใจ กล่าวยิ้มๆ ด้วยสีหน้าใสซื่อ “ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง ต้องโทษคุณหนูหลีซานที่ไม่บอกให้ชัดเจนก่อน ถึงทำให้ข้าเข้าใจผิด โธ่ พี่เจี่ยว ไฉนพี่ไม่เอ่ยเตือนข้าบ้างเลยเล่า”
ตู้เฟยเสวี่ยโยนกลองเช่นนี้ ทุกคนล้วนพุ่งความสนใจไปที่หลีเจี่ยวทันใด
ในใจหลีเจี่ยวขุ่นเคืองเหลือจะกล่าว แต่จะล่วงเกินตู้เฟยเสวี่ยก็ไม่เป็นการดี นางได้แต่พูดพร้อมรอยยิ้ม “ข้าเองก็เพิ่งรู้เหมือนกัน”
“พี่น้องทั้งหลายรีบเข้าไปข้างในกันเถอะ” ตู้เฟยเสวี่ยเชิญชวนแขกสตรีทั้งหลายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ครั้นเห็นเจียงซือหร่านที่มองดูเฉยๆ อยู่ด้านข้างตลอดก็ตาเป็นประกาย จึงเดินเข้าไปต้อนรับทักทาย “คุณหนูเจียง ท่านมาแล้วหรือ”
“ใช่ วันนี้คึกคักถึงเพียงนี้ ข้ารู้สึกว่าน่าสนุกกว่าพวกงานประชันกลอนหรืองานชมดอกไม้เสียอีก” เจียงซือหร่านดึงสายตากลับจากหน้าเฉียวเจาช้าๆ กล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย
ตู้เฟยเสวี่ยมอบหมายให้สาวใช้พาทุกคนไปที่จัดงานสังสรรค์ ส่วนตนเองย้อนกลับมารอคอยคนที่ยังมาไม่ถึง หลีเจี่ยวยืนอยู่ข้างๆ คอยช่วยเหลือ
นางสบช่องยังไม่มีใครมา ลดสุ้มเสียงลงกล่าว “พี่เจี่ยว ท่านมัวทำอะไรอยู่ หลีซานกลายเป็นชาวชุมนุมฟู่ซานเมื่อไร ท่านถึงกับไม่ล่วงรู้สักนิด”
หลีเจี่ยวสะกดความอับอายไว้ พูดอย่างคับข้องหมองใจ “ข้าไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อยจริงๆ น้องเฟยเสวี่ยไม่รู้หรอกว่าพักนี้น้องเจาไม่ค่อยเหมือนเมื่อก่อน เก็บความลับเก่งมาก เรื่องที่นางเข้าร่วมชุมนุมฟู่ซานก็ปิดบังข้าเสียสนิท ใครจะรู้ว่านางคิดอะไรอยู่”
“จะคิดอะไรได้เล่า คงอยากเห็นท่านกับข้าเป็นตัวตลกในวันนี้แน่นอน”
หลีซานเป็นคนในชุมนุมฟู่ซานกลับถูกนางเยาะเย้ยถากถาง เมื่อตกอยู่ในสายตาผู้อื่น ย่อมเป็นเจ้าภาพอย่างนางที่เสียมารยาทอย่างไร้ข้อกังขา
“คอยดูนะพี่เจี่ยว วันนี้ข้าจะหาโอกาสให้นางได้เจอดีบ้าง”
หลีเจี่ยวลอบกระหยิ่มใจ แต่ปากกลับพูดว่า “ช่างเถอะน้องเฟยเสวี่ย ถึงอย่างไรนางกับข้าเป็นพี่น้องในจวนเดียวกัน เปรียบเสมือนปลาข้องเดียวกัน นางทำเรื่องขายหน้า ข้าก็พลอยดูไม่ดีไปด้วย”
ตู้เฟยเสวี่ยกระทืบเท้า “พี่เจี่ยว ท่านก็ชอบห่วงไปเสียทุกอย่างเช่นนี้ ตนเองกลับต้องอึดอัดคับใจ ท่านวางใจเถอะ วันนี้ข้าจะทำให้นางขายหน้าคนเดียว ไม่ให้ท่านติดร่างแหไปด้วย”
ญาติผู้น้องพูดเสียจนหลีเจี่ยวชักสนใจใคร่รู้ ครั้นจะถามซักไซ้ก็ไม่เหมาะกับภาพของตนในสายตาคนภายนอก จึงเก็บความอยากรู้อยากเห็นไว้ เอ่ยถามคล้ายไม่ตั้งใจ “คุณหนูซูบอกว่านางกับคุณหนูจูลงนามแนะนำน้องเจาร่วมกันมิใช่หรือ น้องเฟยเสวี่ยไม่เคยได้ยินคุณหนูจูเอ่ยถึงหรือ”
ตู้เฟยเสวี่ยเบ้ปาก “พี่เหยียนไม่ชอบงานครึกครื้น หมู่นี้ข้าไม่ค่อยได้เห็นหน้าค่าตานางด้วยซ้ำ ไหนเลยจะได้ยินนางเอ่ยถึงเล่า อุ๊ย! คุณหนูหลันมาแล้ว ประเดี๋ยวค่อยคุยกันต่อนะ”
นางผละจากหลีเจี่ยว กุลีกุจอเข้าไปหาเด็กสาวร่างสูงระหงสวมชุดสีน้ำเงินนางหนึ่ง
เด็กสาวผู้นั้นได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นเปี่ยมล้นจากตู้เฟยเสวี่ยกลับแค่พยักหน้าอย่างไว้ท่าแล้วเดินตรงเข้าไปข้างในเลย ยังดูจะวางตัวตามสบายมากกว่าเจ้าภาพเสียอีก
ตู้เฟยเสวี่ยกัดริมฝีปากไล่ตามไป ไม่แสดงความจองหองถือดีสักน้อยนิด
หลีเจี่ยวยิ้มเยาะในใจ ดูทีว่านิสัยจองหองถือดีเอาแต่ใจตนของญาติผู้น้องก็ขึ้นอยู่กับว่าอีกฝ่ายเป็นใครเช่นกัน กับหลีซานน้องเฟยเสวี่ยไม่เกรงใจ กระทั่งกับญาติผู้พี่อย่างนาง จริงๆ แล้วน้องเฟยเสวี่ยเคยเห็นอยู่ในสายตาหรือ
แม่นมพูดถูก ขอแค่นางได้ออกเรือนไปกับคู่ครองที่ดีสักคน ภายภาคหน้าถึงจะลืมตาอ้าปากในหมู่คนเหล่านี้ได้
สถานที่จัดงานสังสรรค์อยู่ในสวนนั่นเอง รอเมื่อคนทยอยมาถึงกันครบ ตู้เฟยเสวี่ยยกสุราผลไม้จอกหนึ่งขึ้นกล่าวว่า “วันนี้เป็นวันที่ชุมนุมฟู่ซานของเราเปิดใหม่อีกครั้ง ประจวบเหมาะกับเป็นวันคล้ายวันเกิดของข้าด้วย ข้าขอดื่มคารวะหมดจอกก่อน”
“วันนี้เป็นวันเกิดของคุณหนูตู้หรือ ท่านน่าจะบอกแต่แรก กลายเป็นพวกข้าเสียมารยาทแล้ว” คุณหนูหลายคนที่ปกติไปมาหาสู่กับตู้เฟยเสวี่ยไม่บ่อยนักพากันเอ่ยขึ้น
หลีเจี่ยวสะดุดใจวูบหนึ่ง
วันคล้ายวันเกิดของตู้เฟยเสวี่ยในปีก่อนๆ เพียงเชิญเหล่าพี่น้องกับสหายสนิทปิดประตูเลี้ยงฉลองกัน มิได้เดินชมสวนด้วยซ้ำไป
ทว่านางรู้ดีแก่ใจว่านี่เป็นความใจแคบของญาติผู้น้องที่กลัวว่าพวกนางจะได้พบกับซื่อจื่อสกุลจูของจวนไท่หนิงโหวที่มาฉลองวันคล้ายวันเกิดให้ตู้เฟยหยางน้องชายฝาแฝดก็เท่านั้นเอง
งานสังสรรค์วันนี้จัดขึ้นในสวนดอกไม้ ไม่รู้ว่าจะได้พบกับซื่อจื่อสกุลจูหรือไม่
เมื่อนึกถึงจูเยี่ยนผู้สุภาพนุ่มนวลดุจหยก หลีเจี่ยวเริ่มใจเต้นทันใด
หากได้ออกเรือนไปกับชายหนุ่มสูงศักดิ์เช่นซื่อจื่อสกุลจู ชีวิตนี้ก็นับว่าสมดังใจหวังแล้ว
หลังจากทุกคนดื่มสุราผลไม้และกล่าวเปิดงานแล้ว มีสาวใช้เดินประคองถาดด้วยสองมือมาหยุดอยู่ข้างกายตู้เฟยเสวี่ย
นางหยิบกระบองใส่ไม้ติ้วห้าสีบนถาดขึ้น กล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องโชคดี มีผู้เข้าร่วมชุมนุมคนใหม่ตอนข้าเป็นเจ้าภาพพอดี งานสังสรรค์วันนี้จะได้สนุกสนานเพิ่มขึ้นไม่น้อย”
นางมองไปทางเฉียวเจาพร้อมกับยื่นกระบอกไม้ติ้วห้าสีไปให้ “คุณหนูหลีซาน ตามธรรมเนียมเดิมของชุมนุมฟู่ซาน ชาวชุมนุมคนใหม่สุ่มเลือกไม้ติ้วแท่งหนึ่งเถอะ”