หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 16
บทที่ 16
แม่ทัพเป่ยเจิงเซ่าหมิงยวนเป็นหัวข้อสนทนาที่หมู่นี้แพร่สะพัดในเมืองหลวงไปจนถึงเมืองใกล้เคียงอย่างเห็นได้ชัด พอมีคนเอ่ยขึ้นมา บรรยากาศก็คึกคักขึ้นทันใด
จุๆ แม่ทัพเซ่าช่างเก่งกาจโดยแท้ เพิ่งย่างวัยยี่สิบก็ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นกวนจวินโหวแล้ว
นี่มีอะไรน่าประหลาดใจ แม่ทัพเซ่าเป็นดาวแม่ทัพลงมาจุติ ตอนเพิ่งอายุสิบสี่ก็ออกศึกจากเหนือจรดใต้แทนท่านแม่ทัพเซ่าผู้อาวุโสแล้ว บัดนี้กู้เมืองเยี่ยนคืนมาให้ต้าเหลียงเราได้ สร้างความดีความชอบครั้งใหญ่หลวง จะได้รับบรรดาศักดิ์เป็นกวนจวินโหวก็เป็นเรื่องสมศักดิ์ศรีเต็มภาคภูมิ!
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ระเบ็งเซ็งแซ่ จู่ๆ มีคนผู้หนึ่งกล่าวขึ้นแล้วถอนใจยาวเหยียด ท่านแม่ทัพเซ่าจะทำเพื่อบ้านเมืองและปวงประชามิใช่ง่ายดายจริงๆ พวกท่านได้ยินหรือไม่ว่าตอนนั้นชาวต๋าจื่อ* ทางแดนเหนือจับฮูหยินของท่านแม่ทัพเซ่าไว้ข่มขู่ให้ท่านถอยทัพด้วยนะ
หมอเทวดาหลี่ที่เพียงคิดจะฟังฆ่าเวลาพลันกำถ้วยชาแน่นขึ้น
เฉียวเจากลับไม่สะดุ้งสะเทือน นางดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาซับมุมปากแล้วยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบคำหนึ่ง
เอ๊ะ แล้วถอยทัพหรือไม่ เหล่าคนที่มาจากทางทิศใต้ดูท่าทางไม่เคยได้ยินเรื่องนี้อย่างชัดเจน จึงพากันตื่นตระหนกอย่างช่วยไม่ได้
วีรกรรมของแม่ทัพเซ่าถูกผู้คนกล่าวขานถึงนับครั้งไม่ถ้วน ทว่าตอนนี้ได้บอกเล่าให้คนพวกนี้ฟังอีกรอบ ผู้พูดดูจะภาคภูมิใจเป็นอันมาก ถอยไม่ได้อย่างแน่นอน ยามนั้นชาวฉียึดเอาเมืองเยี่ยนของพวกเราไป ได้กระทำอย่างไร้ความเมตตา เข่นฆ่าสังหารล้างเมืองไม่เว้นแม้แต่เด็กแบเบาะ ต่อมาอาศัยความได้เปรียบของที่ตั้งเมืองเยี่ยน ยังเล่นงานทัพต้าเหลียงเราจนหมดทางสู้ ผ่านมานานหลายปีเช่นนี้ พวกชาวบ้านแถบชายแดนทิศเหนือต้องทุกข์เข็ญเพียงใด มิใช่ง่ายดายกว่าจะมีโอกาสชิงเมืองเยี่ยนคืน พวกท่านว่าแม่ทัพเซ่าถอยทัพได้หรือไม่เล่า
ไม่ได้ๆ ไม่ได้เด็ดขาด คนฟังสั่นศีรษะพร้อมกัน
แต่ไรมาแคว้นต้าเหลียงยกตนเป็นแคว้นแห่งสวรรค์ผู้ปกครองใต้หล้า ทุกผู้ทุกนามถือว่าการเป็นราษฎรแคว้นต้าเหลียงคือเกียรติยศ การสูญเสียเมืองเยี่ยนก็เหมือนดั่งตบหน้าชาวต้าเหลียงทุกคนฉาดใหญ่ ความรู้สึกนี้สะสมทับถมกันวันแล้ววันเล่าจนกลายเป็นบาดแผลในใจ คิดขึ้นมาคราใดไม่มีผู้ใดไม่เจ็บปวดเคืองแค้นและอัปยศอดสู
เช่นนั้นท่านแม่ทัพเซ่าทำเช่นไรหรือ
คนผู้นั้นกระดกถ้วยน้ำชาดื่มจนหมด ในดวงตาฉายประกายเลื่อมใสศรัทธาอย่างแรงกล้า แม่ทัพเซ่าไม่รอให้ชาวต๋าจื่อพวกนั้นพูดจบ โก่งคันธนูยิงฮูหยินตนจนสิ้นชีพ ไม่ให้พวกนั้นมีอะไรมาข่มขู่ได้อีก เรียกขวัญทหารให้ฮึกเหิมเต็มเปี่ยม!
เฮือก… เสียงสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ดังเป็นทอดๆ
ถ้วยน้ำชาใบหนึ่งหล่นกระทบพื้นแตกละเอียดเป็นเศษเล็กเศษน้อย ดึงสายตาผู้คนให้หันไปมองทันใด
สีหน้าของหมอเทวดาหลี่บึ้งตึง หนวดเคราขาวโพลนสั่นกระเพื่อม เขาเอ่ยถามขึ้น แม่ทัพเซ่าสังหารฮูหยินของเขาหรือ
ใช่แล้ว ท่านผู้เฒ่าเห็นว่าเป็นแม่ทัพเซ่าไม่ง่ายดายเช่นกันกระมัง เพื่อต้าเหลียงเราแล้ว แม่ทัพเซ่าต้องเสียสละมากเหลือเกิน…
ไม่ง่ายดายอะไรกัน ผายลม! หมอเทวดาหลี่ลุกพรวดขึ้นยืนผรุสวาทเสียงดัง
เฉียวเจาเกือบสำลักน้ำชา นางยกผ้าเช็ดหน้าปิดปากไอเบาๆ
นี่ตาเฒ่า พูดจาเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ได้ยินชายชราผู้นี้กล้าด่าแม่ทัพเซ่า ทุกคนไม่พอใจยกใหญ่
หมอเทวดาหลี่ไม่แยแสท่าทีของคนเหล่านี้สักนิด เขากล่าวอย่างฉุนเฉียว พวกเจ้าล้วนบอกว่าเป็นเขาไม่ง่ายดาย แล้วฮูหยินของเขาเล่า ต้องตายอย่างน่าอนาถปานนั้นใครเคยคิดบ้าง ฮึ ข้าว่าเจ้าหนุ่มนั่นไม่เอาไหนต่างหากถึงเป็นต้นเหตุทำให้ฮูหยินของตนเองโดนชาวฉีจับตัวไป…
ไม่รอให้เขาพูดจบ ผู้คนระดมขว้างปาสิ่งของต่างๆ ไม่ว่าซาลาเปาหรือถ้วยน้ำชาใส่หมอเทวดาหลี่ ในบรรดานั้นยังมีรองเท้าฟางเก่าขาดข้างหนึ่งปนอยู่ด้วย!
เฉียวเจาซึ่งคาดถึงผลลัพธ์ได้แต่แรกฉุดหมอเทวดาหลี่ออกวิ่ง พวกองครักษ์กลัวตกเป็นเป้าสายตาเลยไม่กล้าทำอะไรชาวบ้านเหล่านี้ เพียงเอาตัวขวางการโจมตีระลอกใหญ่นี้แทนหมอเทวดาชรา
เมื่อคนทั้งกลุ่มวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนกลับขึ้นรถม้าแล้ว คนในเพิงน้ำชาถึงค่อยๆ คลายโทสะลงแล้วยกหัวข้อสนทนาก่อนหน้านี้มาพูดคุยกันต่อ
สายตาของเจียงหย่วนเฉาซึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไป๋หยางไม่ไกลจากเพิงน้ำชามองตามรถม้าที่แล่นจากไป ริมฝีปากบางเม้มแน่น ดวงตาฉายอารมณ์ลึกล้ำ
ที่แท้…นางตายไปแล้ว
เจียงหย่วนเฉาแหงนคอมองผืนเมฆตรงขอบฟ้าทิศเหนือ ถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง
เขานึกว่าสตรีอย่างนางไม่ว่าออกเรือนหรือไม่ จะต้องใช้ชีวิตดั่งใจปรารถนา คิดไม่ถึงว่าจะพบจุดจบเยี่ยงนี้
หากรู้เช่นนี้แต่แรก…
เจียงหย่วนเฉาไม่คิดต่ออีก หากอาการปวดหน่วงๆ ค่อยๆ แผ่ลามจากส่วนลึกของใจ นั่นมิใช่ความเจ็บปวดแบบเสียดแทง แต่คล้ายมีแรงบีบรัดจนเขาแค่หายใจก็เริ่มรู้สึกเจ็บไปด้วย
ถึงจะเลือนรางบางเบา และต่อให้เขายิ้มแย้มพูดคุยดุจปกติหรือเก็บงำความรู้สึกนึกคิดได้ลึกปานใด ก็ยังคงสลัดมันทิ้งไม่ได้
ใต้เท้า… ชายหนุ่มซึ่งยืนอยู่ข้างกายเจียงหย่วนเฉาอดส่งเสียงเรียกไม่ได้
เขาอุปาทานไปเองหรือไม่ ถึงกับรู้สึกว่าใต้เท้าดูเศร้าสร้อยมาก นี่แทบจะเป็นเรื่องน่าแตกตื่นตกใจเลยทีเดียว
เจียงหย่วนเฉาดึงความคิดคืนมา มุมปากประดับรอยยิ้มบางๆ ไปเถอะ
บนรถม้า หมอเทวดาหลี่สะบัดมือเฉียวเจาออก สีหน้าของเขาโกรธเกรี้ยว
แม่นางน้อยตัวดีฉุดข้าด้วยเหตุใด ข้ายังไม่ทันได้วางยาเลย
น่าจะกรอกยาให้เจ้าพวกไม่รู้กาลเทศะกลุ่มนั้นกินจะได้ท้องเสียทุกคน
หมอเทวดาไม่ใช่คนพูดเสียงเบา พวกองครักษ์นอกรถม้าพากันย่นคอห่อไหล่โดยไม่รู้ตัว
ชีวิตนี้ช่างแสนยากเย็นนัก เดินทางติดตามหมอเทวดาต้องกลัวทุกเวลาว่าจะโดนเขาวางยา ยังต้องคอยกลัวว่าเขาจะวางยาผู้อื่นได้ทุกเมื่อ ซ้ำต้องกลัวอีกว่าจะสะสางปัญหายุ่งยากที่เกิดจากปากเขาเช่นไร
เหล่าองครักษ์ที่ตอนออกจากเมืองหลวงยังคึกคักกระชุ่มกระชวย แต่ตอนนี้กลับซูบซีดแก้มตอบต่างคิดคำนึงในใจ
ท่านปู่หลี่จะถือสาหาความพวกเขาไปไยเจ้าค่ะ ภายในตัวรถม้าตกแต่งให้นั่งสบาย เฉียวเจาพิงหมอนกระเบื้องเขียนลายเส้นหมึกดำใบหนึ่งคลี่ยิ้มบางๆ มิได้รู้สึกตัวสักนิดว่านางเป็นฮูหยินผู้เคราะห์ร้ายน่าสงสารของแม่ทัพเซ่าผู้นั้น
ใครใช้ให้พวกเขาปากพล่อย หมอเทวดาหลี่ยิ่งคิดยิ่งมีน้ำโห ไม่เพียงปากพล่อย ยังเบาปัญญา! คำโบราณว่าไว้ไม่ผิด สามเรื่องมงคลของบุรุษ เลื่อนยศ ร่ำรวย ภรรยาม้วยมรณา! เป็นเจ้าหนุ่มบัดซบแซ่เซ่าไม่ง่ายดายอย่างไรหรือ เจ้ารอดูเถอะ รอเขากลับเมืองหลวง ไม่แน่อาจชุบตัวกลายเป็นราชบุตรเขย ถึงเวลานั้นใครยังจะจำได้ว่า…
เขาพูดถึงตรงนี้แล้วเงียบไป เอนหลังพิงผนังรถม้าอย่างโมโหฮึดฮัด แต่หางตากลับเปียกชื้นขึ้นทีละน้อย
เขาจะไม่ถือสาได้อย่างไร นั่นเป็นเด็กที่เขาเห็นตั้งแต่เล็กจนโต
เขาเป็นหมอ อายุปูนนี้แล้วเห็นคนเกิดแก่เจ็บตายจนชาชิน แต่เด็กสาวผู้นั้นไม่เหมือนกัน
นางฉลาดเฉลียวปานนั้น ร่ำเรียนอะไรแค่สอนครั้งเดียวก็เข้าใจ ทั้งที่มีสติปัญญาดีเพียงนี้ กลับสามารถทำใจสงบนิ่งดูแลปรนนิบัติท่านปู่อย่างตั้งอกตั้งใจเต็มที่ ทั้งไม่รู้สึกเสียดายที่ต้องออกเรือนช้าปล่อยให้ช่วงวัยสาวแรกรุ่นอันสวยงามผ่านไปอย่างสูญเปล่า หลังจากท่านปู่ล่วงลับ นางเศร้าโศกแต่หักห้ามใจไม่ฟูมฟายได้ ถึงขั้นกลับมาเป็นฝ่ายปลอบใจเขา
นางดีถึงเพียงนี้ เหตุใด…เหตุใดเจ้าหนุ่มบัดซบนั่นหักใจยิงธนูสังหารนางได้ลงคอ
ไม่รู้ว่าเจ้าหนุ่มบัดซบนั่นมีฝีมือยิงธนูเป็นอย่างไร ยิงได้แม่นยำหรือไม่นะ หมอเทวดาหลี่ที่เสียใจและโกรธแค้นอยู่เปล่งเสียงถามขึ้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เฉียวเจาได้ยินแล้วทั้งแปลบปลาบใจทั้งขบขัน นางเข้าใจความหมายคำพูดนี้ของหมอเทวดาหลี่ได้ จึงเอ่ยตอบอย่างทนดูเขาเสียใจเกินไปมิได้ แม่นมากเจ้าค่ะ ปักเข้ากลางอกพอดี ขาดใจตายในดอกเดียว ยังไม่รู้สึกว่าเจ็บมากด้วยซ้ำ
หมอเทวดาหลี่ดึงสติคืนมาทันควัน ข้าพูดออกมาแล้วหรือ
เฉียวเจาพยักหน้า อื้อ
หมอเทวดาหลี่จ้องหน้าเฉียวเจาอย่างไม่ละสายตา เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าไม่เจ็บ
เฉียวเจาพูดอธิบายด้วยสีหน้านิ่งสนิท ท่านคิดดูสิเจ้าคะ แม่ทัพเซ่าเป็นใคร เขาเข้าสู่สมรภูมิตั้งแต่อายุสิบสี่ แต่พ่ายศึกนับครั้งได้ แล้วฝีมือยิงธนูจะอ่อนด้อยได้หรือ อีกอย่างหนึ่งจะอย่างไรนั่นก็เป็น…เอ่อ…ภรรยาของเขา ถ้าแค่นี้เขายังทำไม่ได้ ปล่อยให้ภรรยาตนเองต้องทนทรมานนานขึ้น จะไม่ไร้น้ำใจเกินไปหรือ
อื้อ พอคิดเช่นนี้แล้ว เขาก็เป็นสามีผู้มากน้ำใจโดยแท้
เฉียวเจาเกือบทั้งฉิวทั้งขันเพราะความคิดของตนเองแล้ว
* ต๋าจื่อ เป็นคำเรียกชนเผ่าป่าเถื่อนทางทิศเหนือของจีนในสมัยโบราณ