หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 165
บทที่ 165
สวี่จิงหงกล่าวจบแล้วมองไปทางพวกคุณหนูในฝ่ายของตนเอง ก่อนไต่ถามขึ้น “ทุกคนเห็นว่าอย่างไร”
ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน “ดีที่สุด!” จากนั้นมองไปทางเฉียวเจาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
นางกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “เช่นนี้จะเข้าตำราที่ว่าข้ามเครื่องเซ่นไปเป็นพ่อครัว* แล้ว ข้าไม่ได้อยู่ในฝ่ายของพวกท่านสักหน่อย”
ถ้าไม่ใช่เพราะหลันซีหนงหมิ่นหยามไปถึงบิดา เฉียวเจาไม่เคยคิดที่จะโดดเด่นขึ้นมาเช่นนี้ แต่นางก็ชิงความโดดเด่นมาแล้ว ระบายความโกรธออกไปแล้ว กระนั้นนางไม่ได้มาที่นี่เพื่อชื่อเสียงเป็นสตรีมากความสามารถ การคิดหาทางตีสนิทกับโค่วจื่อโม่ต่างหากเป็นเรื่องสำคัญ
“โธ่ คุณหนูหลีซาน ท่านรองหัวหน้าสวี่ของพวกเราออกปากอย่างนี้แล้ว ท่านอย่าปฏิเสธเลย ไม่แน่ว่าท่านจะคิดคำโคลงตันแต่งต่อไม่ได้ สร้างความลำบากให้พวกนางบ้าง”
“นั่นสิ คุณหนูหลีซานคิดแบบที่ยากๆ ถึงจะสนุก”
หลันซีหนงเลิกคิ้วขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงแกมหงุดหงิด “คุณหนูหลีซาน ก็แค่การละเล่นอย่างหนึ่ง ใช่ว่าจะแพ้ไม่ได้เสียหน่อย ท่านโยกโย้บ่ายเบี่ยงเช่นนี้กลับชวนให้ขัดอารมณ์ ว่าอย่างไร หรือท่านดูถูกพวกข้า กลัวว่าท่านคิดคำโคลงขึ้นต้นแล้วพวกข้าไม่มีคนต่อวรรคหลังได้จะสร้างความลำบากใจให้ท่าน”
นางตัวดีผู้นี้ เมื่อครู่ยังฉีกหน้าข้าโดยไม่ยั้งมือเลยมิใช่หรือ ถึงเพียงนั้นข้ายังไม่ว่าอะไรสักคำ ตอนนี้ทำเป็นยักท่าบ่ายเบี่ยงอะไรกัน
เมื่อหลันซีหนงพูดถึงขั้นนี้ ทั้งมีสตรีสูงศักดิ์ไม่น้อยพากันเออออคล้อยตาม เฉียวเจาจะบอกปัดอีกก็ดูไม่ค่อยดีแล้ว แต่เดิมนางเป็นคนเปิดเผยไม่ยี่หระต่อสิ่งใด หลังตรึกตรองครู่เดียวก็อ้าปากพูด “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะออกคำโคลงกลบทติ่งเจิน* แล้วกัน”
ที่เรียกว่าโคลงกลบทติ่งเจินนั้นหมายถึงใช้คำสุดท้ายของโคลงวรรคแรกเป็นคำขึ้นต้นของวรรคหลัง บังคับให้คำต้นคำท้ายคล้องจองเชื่อมต่อกันเป็นทอดๆ นับว่ามีระดับความยากมากพอดู
พอนางกล่าวเช่นนี้ คนอื่นๆ ก็นิ่งงันไป
ก่อนหน้านี้หลันซีหนงเพิ่งคิดคำโคลงกลบททวนอักษร ตอนนี้คุณหนูหลีซานจะคิดคำโคลงกลบทงูกินหางอีก วันนี้เกิดอะไรขึ้น ยิ่งประชันยิ่งมีความยากมากขึ้นเรื่อยๆ สนุกมีสีสันและระทึกใจดีแท้ นี่เป็นงานที่แสนตื่นตาตื่นใจใกล้จะเทียบชั้นเมื่อครั้งงานเปิดชุมนุมฟู่ซานครั้งแรกเลยทีเดียว
น่าเสียดายที่หัวหน้าชุมนุมมิได้เห็นแล้ว…
ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจเด็กสาวไม่น้อย แต่พวกนางรีบปัดมันทิ้งไป
“ทุกคนฟังให้ดี” เฉียวเจากระแอมกระไอให้คอโล่ง สุ้มเสียงของนางนุ่มละมุนแต่กลับแฝงความเฉยชาไว้ ทำให้เด็กสาวอายุสิบสามปีผู้หนึ่งดึงดูดสายตาเป็นพิเศษ
นางออกเสียงชัดถ้อยชัดคำอย่างเนิบนาบ “เฝ้ามองฟ้า ฟ้าแลตะวัน วันวันเฝ้าแลฟ้ามองตะวัน”
เมื่อคำโคลงนี้ถูกเอื้อนเอ่ยออกมา รอบด้านก็ตกอยู่ในความเงียบเนิ่นนาน
คุณหนูผู้นี้มาก่อกวนงานกระมัง คำโคลงวรรคแรกเช่นนี้แทบจะนับว่าเป็นโคลงตันได้แล้ว นี่จะให้พวกนางแต่งต่ออย่างไร
ยามนี้คุณหนูทั้งสองฝ่ายไม่แบ่งว่าเป็นมิตรเป็นศัตรู ต่างเค้นสมองขบคิดกันอย่างหนัก
แม่นางเฉียวแอบยกมุมปากขึ้น ในที่สุดปฐพีก็สงบสุข นางจะได้ไปทำความคุ้นเคยกับน้องจื่อโม่เสียที
โค่วจื่อโม่ชมชอบต่อคำโคลงคู่ ถ้าคนเหล่านี้ล้วนคิดไม่ออก ไม่แน่ว่าญาติผู้น้องจะหาโอกาสถามนาง พอคุยไปคุยมาก็ค่อยๆ สนิทสนมกันไปเอง
ดังนั้นขอแค่มาที่นี่ได้ ย่อมมีวิธีร้อยแปดพันประการสร้างโอกาสขึ้นได้เสมอ ดีไม่ดียังจะมีโอกาสที่ดีกว่าปรากฏขึ้นก็เป็นได้
เพราะคำโคลงวรรคแรกนี้ของเฉียวเจามีความยากในระดับสูง คนทั้งหมดล้วนทุ่มสมาธิไปกับการขบคิดตรึกตรอง ส่งผลให้ภายในศาลาเงียบเชียบไปในชั่วขณะ ได้ยินเพียงเสียงนกร้องประสานเสียงและจักจั่นกรีดปีก
ไม่สิ เสี้ยวเวลานี้เสียงจักจั่นที่ปกติมักรบกวนเวลานอนพักกลางวันของผู้คนไม่อาจดังลอดเข้าไปกระทบหูของคุณหนูทั้งหลายได้ พวกนางบ้างกัดริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว บ้างขยุ้มผ้าเช็ดหน้าในมือเบาๆ บ้างก็กุมถ้วยน้ำชาแน่นหมุนไปหมุนมา
เด็กสาวทั่วทั้งศาลากลับมีแต่เฉียวเจาที่เป็นคนดูอยู่วงนอก
ทว่าน่าจะยังมีคนอีกผู้หนึ่งที่มองดูเฉยๆ อยู่ด้านข้างมาโดยตลอด ดูไม่กลมกลืนไปกับบรรยากาศที่ทั้งผ่อนคลายทั้งตึงเครียดในเวลาเดียวกันนี้
ที่ว่าตึงเครียดเป็นเพราะความอยากเอาชนะผสมปนเปกับความลำพองตน ทำให้สตรีสูงศักดิ์ในที่นี้อยากคิดคำโคลงวรรคหลังออกมาให้ได้
ที่ว่าผ่อนคลาย ย่อมเป็นเพราะการประชันจะตื่นเต้นดุเดือดอย่างไร ก็เป็นเพียงการละเล่นที่คุณหนูทั้งหลายใช้ฆ่าเวลาและเพื่ออวดฝีมือเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับความอยู่รอดหรือความเป็นความตาย แล้วจะทำให้ตึงเครียดได้เช่นไรเล่า
กระนั้นมีคนผู้เดียวที่ต่างออกไป
เฉียวเจาหลุบตาลง สอดส่ายหางตามองหาเงาร่างของโอวหยางเวยอวี่ แต่แล้วนางก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าเด็กสาวผู้นั้นไม่ได้อยู่ที่เดิมแล้ว!
นางรีบมองไปรอบๆ แล้วใจหายวาบอย่างสุดระงับ ไม่ผิดจากที่คาดไว้ โอวหยางเวยอวี่ยืนอยู่ข้างหลังหลันซีหนงตั้งแต่เมื่อไรก็สุดรู้
สตรีสูงศักดิ์ทั้งหมดให้ความสนใจอยู่ที่การคิดคำโคลงวรรคหลัง ยามเฉียวเจาจรดฝีเท้าย่องไปหาโอวหยางเวยอวี่ ถึงกับไม่เป็นที่สะดุดตาของผู้ใด
เฉียวเจายิ่งมั่นใจได้ว่าหากโอวหยางเวยอวี่คิดจะทำอะไรกับหลันซีหนง ตอนนี้เป็นโอกาสเหมาะที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
นางยืนอยู่ข้างหลังโอวหยางเวยอวี่ ชะรอยว่าเด็กสาวจะจดจ่อกับสิ่งที่กำลังจะลงมือมากเกินไป กลับมิได้สังเกตเห็นว่าเฉียวเจาเข้ามาใกล้
สำหรับพวกคุณหนูที่หมกมุ่นอยู่กับคำโคลงวรรคหลังแล้ว เวลาผ่านไปเร็วราวกับติดปีก ขณะที่เฉียวเจากลับรู้สึกว่าผ่านไปอย่างเชื่องช้าเหลือแสน นางจับจ้องทุกๆ อากัปกิริยาของโอวหยางเวยอวี่โดยไม่ละสายตาแม้แต่แวบเดียว
เด็กสาวดูท่าทางตึงเครียด ร่างกายทุกส่วนเขม็งเกลียว แต่ดวงหน้าที่ไร้ความรู้สึกกลับซีดขาวจางๆ มีเหงื่อเม็ดเล็กไหลหยดลงมาจากหน้าผากก็ไม่มีแก่ใจจะปาดทิ้ง
เฉียวเจามองดูอยู่เงียบๆ ในที่สุดก็เห็นนางล้วงห่อกระดาษเล็กๆ จากแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง คีบไว้ตรงปลายนิ้วสองนิ้วแล้วเขย่าเบาๆ เทผงสีขาวลงไปในถ้วยน้ำชาที่วางอยู่ข้างตัวหลันซีหนง
รูม่านตาของเฉียวเจาหดแคบลงกะทันหัน
โอวหยางเวยอวี่ทำเรื่องนี้เสร็จแล้วเหงื่อซึมเปียกทั้งแผ่นหลัง นางหันซ้ายแลขวาอย่างรวดเร็ว เห็นว่าไม่มีคนจับได้ก็ลอบระบายลมหายใจเฮือก แต่กำลังจะก้าวถอยหลัง พลันเห็นฝ่ามือขาวข้างหนึ่งยื่นมาตรงหน้าหยิบถ้วยชาข้างตัวหลันซีหนงขึ้นมา
มือข้างนั้นเรียวเล็กงดงามไร้ที่ติ ผิวบางใสดุจน้ำแข็งนวลเนียนปานหยก ทว่ายามที่สายตาของโอวหยางเวยอวี่มองมันกลับเหมือนเห็นภูตผีปีศาจกระนั้น
นางหันขวับกลับไปมอง เห็นสาวน้อยที่ชิงความโดดเด่นไปจนสิ้นเมื่อครู่ยืนอยู่ข้างหลังตนเมื่อไรก็สุดรู้ ถือน้ำชามรณะถ้วยนั้นในมือด้วยสีหน้าเรียบเฉย หมุนกายเดินออกไปนอกศาลา
โอวหยางเวยอวี่หน้าถอดสีไปถนัดตา ก้าวขาไล่ตามไป
ทั้งสองไปถึงกลางสวนไล่หลังกัน
ดวงตะวันลอยเคลื่อนสูงอยู่เหนือศีรษะแล้วโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว พอออกจากศาลาที่เย็นสบาย กระไอร้อนก็พุ่งมาปะทะใบหน้าทันที
แต่โอวหยางเวยอวี่กลับรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งสรรพางค์กาย นางเดินไปตามพื้นทางที่ราบเรียบ ฝีเท้าซวนเซไปมาละม้ายเหยียบย่ำอยู่บนปุยสำลี ราวกับเรี่ยวแรงทั้งหมดถูกสูบออกไปจนหมดสิ้นพร้อมกับตอนที่ฝ่ามือข้างนั้นปรากฏขึ้น
เฉียวเจาหยุดยืนอยู่ใต้ต้นไห่ถัง หันหลังกลับมามองนาง
“คุณหนูหลีซาน คืนถ้วยน้ำชาให้ข้า”
เฉียวเจาแกว่งถ้วยน้ำชาไปมาก่อนจะชูขึ้นพลางถาม “คุณหนูโอวหยาง ในนี้คืออะไรหรือ”
ในดวงตาของโอวหยางเวยอวี่ฉายแววลุกลน นางตอบอย่างว่องไว
“น้ำชาอย่างไรเล่า คุณหนูหลีซาน ท่านหยิบมันมาด้วยเหตุใด”
“ข้าชักกระหายน้ำอยู่สักหน่อย”
สีหน้าของเด็กสาวแปรเปลี่ยนไป “นี่มิใช่ถ้วยน้ำชาของท่านกระมัง ไฉนหยิบของผู้อื่นส่งเดช”
เฉียวเจาผลิยิ้ม “เป็นน้ำชาที่พวกสาวใช้ยกมาเปลี่ยนให้ใหม่ ถึงอย่างไรก็ไม่มีคนเคยดื่ม”
นางพูดแล้วเอาแขนเสื้อบังปาก ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจรดริมฝีปาก
“อย่าดื่มนะ!” โอวหยางเวยอวี่ถลันเข้าไปพร้อมวาดมือปัดถ้วยน้ำชาในมือนางตกลงพื้นทันที
* ข้ามเครื่องเซ่นไปเป็นพ่อครัว เป็นสำนวน หมายถึงการทำเกินขอบข่ายหน้าที่ของตัวเองแล้วไปล่วงล้ำงานของคนอื่น
* ติ่งเจิน หมายถึงเชื่อมต่อกันเป็นทอดๆ