หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 167
บทที่ 167
“โคลงดี!” โค่วจื่อโม่ลุกพรวดขึ้นยืน พอเห็นทุกคนพากันมองมา นางก็หน้าแดงด้วยความอายจึงนั่งลงตามเดิม
“เป็นคำโคลงที่ดีจริงๆ” สวี่จิงหงตบมือเบาๆ
หลันซีหนงคลี่ยิ้มกะทันหัน นางเอ่ยถามตู้เฟยเสวี่ย “คุณหนูตู้เห็นว่าโคลงวรรคหลังนี้เป็นอย่างไร”
ตู้เฟยเสวี่ยยังฉุกคิดถึงความนัยลึกล้ำที่เฉียวเจามองนางพลางเอื้อนเอ่ยคำโคลงไม่ออก มาตรว่าไม่อยากเติมบุปผาบนผ้าดิ้นแพรให้อีกฝ่าย แต่ต่อหน้าผู้คนมากมายนางจะกลับขาวเป็นดำก็ทำไม่ได้ จึงพูดด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อน “คำโคลงที่คุณหนูหลีซานคิดออกมายอดเยี่ยมไม่เป็นสองรองใครจริงๆ”
“นั่นสิ จุดสำคัญคือต่อบทได้ดี ‘วอนคนยาก ยากวิงวอนคน คนทุกคนเดือดร้อนยากวิงวอนใคร’ ” หลันซีหนงพูดทวนคำโคลงวรรคหลังอย่างช้าๆ พลางไล่สายตาผ่านทุกคนแล้วกลับมาที่ใบหน้าของตู้เฟยเสวี่ย พร้อมกล่าวด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “คุณหนูตู้ว่าถูกหรือไม่”
คนที่หลันซีหนงดูแคลนเป็นที่สุดคือคนจำพวกอย่างตู้เฟยเสวี่ย เมื่อครู่นางหาเรื่องสองพี่น้องสกุลหลีก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ตู้เฟยเสวี่ยเป็นเจ้าภาพงานสังสรรค์ครั้งนี้ ทั้งยังเป็นญาติผู้น้องของคุณหนูใหญ่สกุลหลี เห็นญาติผู้พี่ได้รับความอับอายกลับนิ่งเฉยดูดาย เป็นการกระทำที่ชวนให้รู้สึกเหยียดหยาม
สตรีทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นคนฉลาดปราดเปรื่อง เมื่อหลันซีหนงกระตุ้นเตือนขึ้นเช่นนี้ก็พากันฉุกคิดได้ บันดาลให้สายตาที่มองไปทางตู้เฟยเสวี่ยแฝงรอยเหยียดหยาม
แน่นอนว่าตู้เฟยเสวี่ยก็คิดตามทันแล้ว นางหน้าแดงก่ำหันขวับไปมองเฉียวเจา อยากจะถามไล่เลียงอีกฝ่าย แต่ไล่เลียงในสถานการณ์เช่นนี้จะยิ่งขายหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย นางต้องลอบขบฟันกรอดๆ ถึงข่มความขุ่นข้องคับใจนี้ไว้ได้
เด็กสาวคนอื่นๆ ต่างหันไปมองเฉียวเจาโดยไม่รู้ตัว พอเห็นสีหน้านางสงบนิ่งเรียบเฉยแล้วต่างก็ลอบอัศจรรย์ใจ
คุณหนูสามสกุลหลีผู้นี้มีความสามารถล้ำเลิศน่าทึ่งโดยแท้ ตอนแรกก็เอาตัวรอดจากการกลั่นแกล้งของหลันซีหนงได้อย่างสวยงามหมดจด ตอนหลังยังฉวยโอกาสคิดคำโคลงคู่เหยียบย่ำตู้เฟยเสวี่ยได้อีก
หากที่น่าสรรเสริญที่สุดคือคุณหนูหลีซานมิได้ยกเรื่องที่ตู้เฟยเสวี่ยขัดขวางไม่ให้นางเข้ามาตรงหน้าประตูใหญ่มาวิพากษ์วิจารณ์ แต่ถากถางตู้เฟยเสวี่ยเป็นนัยๆ ที่เห็นญาติผู้พี่ถูกคนดูหมิ่นกลับนิ่งเฉยดูดาย การตอบโต้เฉกนี้ทำได้งดงามอย่างที่ใครพูดอะไรมิได้จริงๆ ซ้ำยังอาศัยเรื่องสุนทรีย์เช่นการคำต่อโคลงคู่นี้อีก ก็ยิ่งทำให้คนอื่นๆ ได้แต่เลื่อมใสคารวะ
ดวงตาของสวี่จิงหงทอประกายวูบหนึ่ง นางกวาดตามองหลีเจี่ยวที่เงียบขรึมผิดสามัญโดยไม่ส่อพิรุธแล้วบังเกิดความสนใจใคร่รู้อยู่หลายส่วนอย่างหาได้ยาก
พวกนางต่างเป็นคุณหนูในแวดวงของขุนนางฝ่ายบุ๋น มาตรว่าสวี่จิงหงกับพี่น้องสกุลหลีไม่ใกล้ชิดคุ้นเคยกัน แต่พอมีภาพของพวกนางติดอยู่ในหัวบ้าง กระนั้นภาพในความทรงจำนั่นมีบางอย่างน่าขบคิดเสียแล้ว
ด้วยคราใดที่เอ่ยถึงคุณหนูใหญ่สกุลหลี หัวสมองนางจะนึกถึงเด็กสาวจิตใจดีที่กำพร้ามารดาแต่วัยเยาว์จนต้องตกอยู่ในภาวะลำบากคนนี้ไปโดยปริยาย ขณะที่เอ่ยถึงคุณหนูสามสกุลหลี กลับปรากฏภาพคนที่เยินยอผู้สูงศักดิ์เหยียบย่ำคนต่ำต้อย และหยาบคายไร้มารยาทขึ้นมาทันที
สวี่จิงหงกระตุกมุมปาก ดูจากชั้นเชิงและความสามารถชั้นนี้ของคุณหนูหลีซาน กลับมีเสียงโจษขานแพร่ออกมาเช่นนี้ได้ อืม เห็นทีว่าคงเห็นคุณหนูใหญ่ไม่มีมารดาแต่เด็กถึงได้โอนอ่อนให้พี่สาวกระมัง ไม่เช่นนั้นนางก็คิดหาคำอธิบายที่สมเหตุสมผลอย่างอื่นไม่ออกแล้วจริงๆ
สวี่จิงหงชายตามองเฉียวเจาซึ่งกลายเป็นจุดสำคัญของทุกคนแล้วแวบหนึ่ง นางหลุบตาลงแล้วอมยิ้ม
คุณหนูสามสกุลหลีผู้นี้เป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ
เฉียวเจาถูกฉุดให้นั่งลง จากนั้นการประชันต่อคำโคลงคู่ก็ดำเนินต่อไป ภายในศาลาครึกครื้นขึ้นอีกคำรบหนึ่ง
โอวหยางเวยอวี่ซึ่งกลับมาถึงศาลาเงียบๆ ตั้งแต่เมื่อไรก็สุดรู้ นางยืนหลบมุมอยู่พลางขบคิดความหมายของคำโคลงวรรคหลังของเฉียวเจาหนแล้วหนเล่าอยู่ในใจ
‘วอนคนยาก ยากวิงวอนคน คนทุกคนเดือดร้อนยากวิงวอนใคร’
คำโคลงนี้มิได้หมายถึงสถานการณ์ของข้าในเพลานี้หรอกหรือ!
โอวหยางเวยอวี่ก็เคยเป็นหนึ่งในหมู่สตรีสูงศักดิ์เหล่านี้ ร่ายกลอนแต่งคำโคลง ดีดพิณเป่าขลุ่ย มีชีวิตที่สุขสราญบานใจปานใด เรื่องที่กลัดกลุ้มมากที่สุดไม่มีอะไรนอกจากวันนี้กินอาหารเผ็ดมากเกินไป พรุ่งนี้จะมีตุ่มสิวผุดขึ้นบนหน้าผาก
แต่เพียงชั่วข้ามราตรี ชีวิตของนางก็พลิกกลับตาลปัตร ญาติสนิทมิตรสหายที่ไปมาหาสู่กับครอบครัวนางบ่อยๆ ล้วนหายหน้าไปไม่เห็นวี่แวว ทุกคนในเรือนคิดหาทุกวิธีการก็คลำทางไปไม่ถึงธรณีประตูกององครักษ์จินหลิน แม้แต่ตอนนี้ท่านพ่อเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ยังไม่ล่วงรู้
สุดท้ายนางคิดได้แค่ว่าจะกอดคอตายไปกับหลันซีหนง ทำให้ขุนนางโฉดหลันซานกับบุตรชายต้องเจ็บปวดก็เท่านั้น
ทว่าคุณหนูหลีซานกลับบอกนางว่าถึงนางจะเอาชีวิตตนเองเข้าแลกเพื่อทำเช่นนี้ จริงๆ แล้วสำหรับคนพวกนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ ไม่ทำให้พวกเขาสะดุ้งสะเทือนได้เลย
นางทำใจยอมรับไม่ได้จริงๆ!
โอวหยางเวยอวี่มองเฉียวเจาอย่างเหม่อลอย นางรำพึงในใจ หากข้าฉลาดอย่างคุณหนูหลีซานก็คงดี จะต้องคิดหาหนทางได้แน่นอน
พอคิดถึงตรงนี้ โอวหยางเวยอวี่ฉุกใจขึ้นได้
จริงสิ คุณหนูหลีซานพูดเตือนข้าก่อนแยกกันว่าคุ้นเคยกับเจียงซือหร่านหรือไม่…
โอวหยางเวยอวี่เบนสายตาไปทางนางโดยไม่รู้ตัว
วันนี้เจียงซือหร่านสวมกระโปรงผ้าแพรลายนกยูงสีแดงเข้ม นางมิได้ร่วมวงประชันต่อคำโคลงคู่ แต่นั่งอยู่บนม้านั่งหินไม่ไกลนัก เท้าคางมองไปที่ไกลๆ ด้วยท่าทางเฉื่อยชาอย่างเบื่อหน่ายเหลือแสน
นางเป็นบุตรสาวโทนของเจียงถังผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลิน ได้ยินว่าผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินผู้ที่ใครได้ยินชื่อเป็นต้องขวัญหนีดีฝ่อผู้นั้นรักและตามใจบุตรสาวผู้นี้ทุกอย่าง นางอยากได้ดวงจันทร์มิกล้าคว้าดวงดาวลงมาให้ ด้วยเหตุนี้เจียงซือหร่านถึงได้มีฐานะเทียบเคียงกับองค์หญิงเลยทีเดียว
โอวหยางเวยอวี่ลอบกำมือเป็นหมัดแน่น นางต้องหาโอกาสลองขอร้องเจียงซือหร่านดู
คุณหนูหลีซานพูดเตือนสตินางได้ถูกต้อง แทนที่จะเอาชีวิตเข้าแลกอย่างสูญเปล่า ซ้ำยังผลักให้คนทั้งตระกูลต้องตกอยู่ในภาวะล่อแหลมยิ่งขึ้น มิสู้ยอมลดศักดิ์ศรีขอร้องบุตรสาวของผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลิน ไม่แน่ว่ายังสอบถามถึงสถานการณ์ของท่านพ่อได้
ขณะนางคิดคำนึงอยู่เช่นนี้ มีฝ่ามือข้างหนึ่งวางทาบลงบนมือนางกะทันหัน
“เวยอวี่ เจ้าคิดอะไรอยู่หรือ” ที่แท้เป็นโค่วจื่อโม่ซึ่งออกจากวงประชันคำโคลงคู่มาอยู่ข้างกายนางตั้งแต่เมื่อไรก็สุดรู้
โอวหยางเวยอวี่ดึงความคิดคืนมา นางแลมองสหายรักพร้อมกับเผยรอยยิ้มจากใจจริงเป็นครั้งแรกในช่วงที่ผ่านมา พลางเอ่ยตอบเสียงเบา “ไม่ได้คิดอะไร แค่รู้สึกว่าคุณหนูหลีซานไม่เพียงฉลาดเจ้าปัญญา ยามคนในครอบครัวถูกคนที่มีศักดิ์ฐานะสูงกว่านางสบประมาทก็ยังตอบโต้ได้อย่างไม่โอหังไม่เจียมตน เป็นคนที่ควรคู่แก่การคบหาเป็นมิตร พี่จื่อโม่ ท่านพ่อข้าก่อเรื่องขึ้น วันหน้าเป็นเรื่องยากมากที่ตระกูลของข้าจะปักหลักยืนอยู่ในเมืองหลวง หลังจากนี้พวกเราอยากพบหน้ากันเกรงว่าคงจะลำบากแล้ว ท่านพยายามผูกไมตรีกับคุณหนูหลีซานไว้เถอะ เป็นสหายกับคนเช่นนี้ไม่มีวันเสียเปรียบ”
โค่วจื่อโม่กุมมือนางแน่น “พวกนั้นล้วนเป็นเรื่องในภายภาคหน้า ตอนนี้ข้าเป็นห่วงเจ้า…”
“ข้าไม่เป็นไร ข้าคิดตกแล้ว” สายตาของโอวหยางเวยอวี่จับจ้องมองตามเจียงซือหร่านอยู่ พลันเห็นนางลุกขึ้นเดินไปทางกลุ่มเด็กสาว
“พวกท่านรู้ผลแพ้ชนะหรือยัง” เจียงซือหร่านไต่ถามอย่างหงุดหงิด นางรำคาญพวกโคลงฉันท์กาพย์กลอนเป็นที่สุด เป็นเรื่องของพวกที่กินอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำโดยแท้
“มีอะไรหรือ” หลันซีหนงเลิกคิ้วเอ่ยถาม
เจียงซือหร่านหมุนคลึงหยกพกที่เหน็บไว้ตรงเอวเล่นพลางกล่าวด้วยรอยยิ้มละไม “ข้าคิดหัวข้อที่จะทดสอบคุณหนูหลีซานออกแล้ว แต่พวกท่านทางนี้ยืดยาดไม่จบไม่สิ้นเสียที ข้ารอจนเบื่อจะแย่อยู่แล้ว”
ได้ยินคำกล่าวนี้ มีคนไม่น้อยลอบไม่ชอบใจเป็นอันมาก
ทั้งที่เป็นเรื่องสนุกสนานกลับบอกว่าน่าเบื่อ เห็นได้ว่าเป็นคนหยาบกระด้างผู้หนึ่ง แต่นางเป็นบุตรสาวของผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลิน ทุกคนถึงไม่กล้าล่วงเกินเท่านั้นเอง
“จบแล้ว คุณหนูเจียงเริ่มเลยเถอะ” หลันซีหนงโบกพัดไปมาพร้อมกล่าวเสียงเอื่อยๆ
หลังเฉียวเจาแสดงฝีมือแต่งคำโคลงคู่อันยอดเยี่ยมไว้ก่อน ต่อจากนั้นก็ไม่มีอันใดน่าสนใจแล้ว เทียบกับต่อคำโคลงคู่ต่อไป นางตั้งตารอดูว่าเจียงซือหร่านจะเล่นงานคนเช่นไร
ตู้เฟยเสวี่ยลืมเลือนความอับอายก่อนหน้านี้ไปโดยพลัน นางเหยียดมุมปากขึ้นเล็กน้อย “คุณหนูเจียงต้องการให้ข้าตระเตรียมสิ่งใดหรือไม่”
นางตั้งใจแก้ตัวอักษรบนไม้ติ้วห้าสีเป็นคำว่า ‘เจียง’ ทั้งหมดก็เพื่อรอเสี้ยวเวลานี้นั่นเอง