หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 178
บทที่ 178
เฉียวเจายื่นมือปัดมือของหลีเจี่ยวที่จับข้อมืออีกข้างหนึ่งของตนไว้ออกด้วยสีหน้าเรียบเฉยดุจเดิม
“น้องเจา ข้ารู้ว่าท่านแม่ให้ความรักและตามอกตามใจเจ้าทุกอย่างมาแต่เยาว์วัย เจ้าไม่เคยได้รับความคับข้องหมองใจอย่างนี้มาก่อน แต่ดีชั่วเจ้าต้องคำนึงถึงคนในครอบครัวบ้างสิ ยอมเสียอะไรตั้งมากถึงเพียงนี้เพื่อแลกกับการระบายความแค้นให้เจ้ามันคุ้มค่าหรือ ถือว่าข้าขอร้องเจ้าได้หรือไม่ ตอนนี้เจ้าตามไปห้ามท่านย่าไว้ยังทันเวลานะ”
หลีเจี่ยวกลัวแล้วจริงๆ นางทั้งชิงชังทั้งหวาดกลัว ชิงชังที่พวกท่านย่าทำถึงขั้นนี้เพื่อเฉียวเจา และหวาดกลัวว่าไปตอแยกับองครักษ์จินหลินแล้วจะเคราะห์ร้ายพบกับชะตากรรมน่าอนาถ
เฉียวเจาส่ายหน้า หยิบพู่กันเขียนอีกถ้อยความหนึ่ง
หลีเจี่ยวยื่นหน้าไปดู เห็นนางเขียนไว้บนกระดาษว่า
‘ใต้หล้านี้ มีบางเรื่องห้ามได้ บางเรื่องห้ามไม่ได้’
หลีเจี่ยวงุนงงไม่เข้าใจสักนิด “นี่หมายความว่าอะไร หรือว่าเรื่องในวันนี้ เจ้าคิดว่าไม่สมควรห้าม น้องเจา ถึงที่สุดแล้วเจ้าก็กล้ำกลืนความแค้นนี้ไม่ได้ใช่หรือไม่”
เฉียวเจาก้มหน้าเขียนอีกหนึ่งบรรทัด
‘ใช่ เรื่องในวันนี้ห้ามไม่ได้ เรื่องเช่นนี้ถ้าห้ามบ่อยเข้าๆ จะดึงเสาเรือนให้คลอนแคลน’
รูปโฉมเป็นเรื่องสำคัญชั้นใดต่อสตรี หากเด็กสาวที่เพิ่งย่างสิบสามของครอบครัวตนถูกคนใช้เป็นเป้าธนูจนเสียโฉม แต่พ่อแม่พี่สาวในครอบครัวนี้ไม่กล้าแม้แต่จะปริปากสักแอะ นับแต่นี้ไปยังจะมีผู้ใดเห็นคนครอบครัวนี้อยู่ในสายตา วันหน้าบุรุษของครอบครัวนี้จะสามารถออกไปเดินเชิดหน้ายืดอกได้จริงๆ หรือ
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งระบายความแค้นให้นาง แต่มิใช่ทำเพื่อนางคนเดียว นางนึกภาพออกได้ว่าถ้าเปลี่ยนเป็นผู้เยาว์คนใดคนหนึ่งในจวนโดนประทุษร้ายถึงเพียงนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งก็จะทำเช่นนี้เหมือนกันหมด
“ดึงเสาเรือนให้คลอนแคลน?” หลีเจี่ยวกล่าวทวนคำนี้อย่างงงงัน ในใจเริ่มอ่านความคิดของเฉียวเจาได้รางๆ แต่ก็ยากจะทำความเข้าใจได้ “เหลวไหลไร้สาระอะไรกัน!”
หนนี้เฉียวเจาเขียนประโยคสั้นขึ้นอีก มีแค่สี่คำว่า
‘ท่านไม่เข้าใจ’
หลีเจี่ยวแทบกระอักตาย นางไม่มีแก่ใจรักษาท่าทีเป็นเด็กสาวรู้ความมีมารยาทในสายตาผู้อื่นอีก กล่าวด้วยความอับอายระคนโกรธ “น้องเจา เจ้าไม่คิดจะห้ามท่านย่าแล้วกระมัง เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าถ้าพวกท่านย่ากับท่านพ่อล่วงเกินองครักษ์จินหลินจริงๆ สมควรทำฉันใด”
เฉียวเจาเขียนอีกหนึ่งบรรทัด
‘นั่นเป็นเรื่องของข้า’
นางจะไม่ห้ามท่านพ่อ ท่านแม่ และพวกผู้อาวุโสระบายความแค้นให้บุตรหลานที่ได้รับความไม่เป็นธรรม และไม่ยอมปล่อยให้องครักษ์จินหลินทำร้ายคนในครอบครัวด้วยเช่นกัน
เจียงถังผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลิน?
นางไม่ถือสาที่จะไปพบผู้บัญชาการกององครักษ์จินหลินผู้ที่ใครได้ยินชื่อเป็นต้องขวัญหนีดีฝ่อผู้นี้
เฉียวเจาก้าวขาเดินผ่านข้างกายหลีเจี่ยวไป
หมอชราที่ออกจากประตูใหญ่จวนสกุลหลีไปก่อนหนึ่งก้าวสะพายหีบยาเดินฉับๆ อย่างหัวเสียจนหนวดเคราหลายปอยปลิวไสวตามลม แต่ระหว่างทางถูกคนดักหน้าไว้
“ท่านหมอ ไม่ทราบว่าบาดแผลที่ใบหน้าคุณหนูสามของจวนสกุลหลีเป็นอย่างไรบ้าง”
หมอชราตกใจอยู่บ้าง ไฉนยังมีคนถามถึงเรื่องนี้
ผู้ไต่ถามเห็นหมอชราไม่พูดไม่จาก็รีบเอาก้อนเงินก้อนหนึ่งยัดใส่มือเขา “มิได้มีความหมายอื่นใด เพียงจะสอบถามอาการของคุณหนูสามของจวนสกุลหลีเท่านั้น ท่านหมอ เรื่องนี้น่าจะมิใช่ความลับกระมัง”
หมอชราตกใจมากขึ้น ถึงกับมอบเงินให้อีกด้วย?
เขากำลังมีไฟโทสะสุมอก อย่าว่าแต่มีเงินให้ ถึงไม่ให้เงินเขาก็อยากหาคนพูดคุยอยู่แล้ว ไม่เคยพบเคยเจอพวกไร้มารยาทอย่างครอบครัวสกุลหลีมาก่อน!
หมอชราผู้นี้ปิดปากสนิทนัก
ยังไม่ยอมบอกอีกหรือนี่
ผู้ไต่ถามตัดใจยัดเยียดก้อนเงินให้เขาไปอีกหนึ่งก้อน
ครานี้หมอชราอ้าปากพูดในที่สุด “เจ้าหนุ่มรู้จักข้าหรือไม่”
“รู้จักแน่นอน ท่านคือท่านหมอเฉิงของโรงหมอจี้เซิงมิใช่หรือ ในบรรดาหมอที่อยู่ประจำโรงหมอของเมืองหลวง ท่านคือระดับนี้เลย” ผู้ไต่ถามยกนิ้วโป้งให้
หนวดเคราของหมอชราสั่นกระเพื่อม เห็นแล้วกระมัง เขาน่ะหรือเป็นหมอทั่วไป? กระทั่งคนบนถนนผู้หนึ่งยังรู้ว่าเขาคือมือหนึ่งในบรรดาหมอของเมืองหลวง แต่ทั้งผู้เยาว์ผู้เฒ่าของสกุลหลีนี้กลับไม่เห็นหัวเขาเช่นนี้!
“เจ้าหนุ่มจะถามเรื่องคุณหนูสามของสกุลหลีรึ ข้าบอกเจ้าตามสัตย์จริงเถอะ นางเสียโฉมอย่างหมดทางเยียวยาแล้ว บาดแผลลึกเกินไป ต่อให้เป็นยาขี้ผึ้งน้ำค้างแข็งเมฆาที่ทำขึ้นใช้ในวังหลวงโดยเฉพาะก็ช่วยไม่ได้”
“อ้อ เป็นเช่นนี้เอง ขอบคุณขอรับท่านหมอเฉิง” ผู้ไต่ถามได้รู้ในสิ่งที่พึงรู้ก็ประสานมือคำนับแล้วหมุนกายจากไป
หมอชรากะน้ำหนักก้อนเงินในมือพลางนึกในใจว่า เงินนี้ได้มาง่ายดายเหลือเกิน
ใครจะรู้ว่าหมอชราเพิ่งเดินไปสองก้าวก็มีคนดักหน้าเขาอีกแล้ว “ท่านหมอ ขอสอบถามท่านสักเรื่องหนึ่ง”
“เรื่องอะไรหรือ”
“สกุลหลีเชิญท่านไปตรวจบาดแผลบนใบหน้าคุณหนูสามใช่หรือไม่ แล้วอาการของคุณหนูสามท่านนั้นเป็นอย่างไร”
หมอชราอึ้งงัน “…” นี่มันเรื่องอะไรกัน
ผู้ไต่ถามรีบยัดเยียดก้อนเงินก้อนหนึ่งในเขา “ท่านหมอสะดวกใจที่จะเปิดเผยให้รู้สักนิดหรือไม่”
“ไม่มีอันใดไม่สะดวกจะเปิดเผย คุณหนูสามของสกุลหลีเสียโฉมอย่างหมดทางเยียวยา หลังจากนี้เกรงว่าคงพบหน้าผู้คนไม่ได้แล้ว…” หมอชรากล่าวถ้อยคำเดียวกับเมื่อครู่นี้ซ้ำอีกรอบ
ผู้ไต่ถามเดินจากไปอย่างพึงพอใจ
เจียงเฮ่อมองดูอยู่ไกลๆ เห็นมีคนเข้าไปดักหน้าหมอชราต่อๆ กันแล้วขมวดคิ้ว
หมอชราผู้นี้ทำอะไรนะ ไฉนรับเงินไม่หยุดหย่อน
ครั้นเห็นหมอชราสะพายหีบยาเดินมาใกล้ด้วยสีหน้าแช่มชื่นผ่องใส เจียงเฮ่อก็ส่งเสียงเรียกเบาๆ “ท่านหมอ ขอคุยกับท่านเป็นการส่วนตัวสักครู่ขอรับ”
ยังมีคนจะถามอีกหรือนี่
จากที่รู้สึกตกใจในทีแรก ถึงตอนนี้หมอชราชาชินเสียแล้ว เขาลูบเคราอย่างใจเย็น กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมีพลัง “ว่ามา”
“เอ่อ…เพราะอะไรพวกเขาล้วนมอบเงินให้ท่านขอรับ”
หมอชราถึงกับผงะตัวเซแทบล้มลงกับพื้น
นี่มีพวกผิดมนุษย์มนาโผล่มาได้อย่างไร
เจ้าหนุ่มผู้นี้สติไม่ดีกระมัง ถ้าไม่ถามข่าวก็ไปไกลๆ สักหน่อย คนอื่นจะให้เงินหรือไม่มันกงการอะไรของเจ้าหนุ่มนี่ด้วย!
“ไม่สะดวกใจจะบอกหรือขอรับ” เจียงเฮ่อพินิจดูสีหน้าได้เก่งมาก เขาเห็นหมอชราทำหน้าไม่พอใจก็รีบสะกดความอยากรู้อยากเห็นไว้
หน้าที่ที่ใต้เท้ามอบหมายให้สำคัญกว่า
“ฮ่าๆ ถ้าอย่างนั้นข้าไม่ถามเรื่องนี้แล้ว ข้าขอถามอย่างอื่น ท่านหมอ ท่านตรวจอาการให้คุณหนูสามสกุลหลีกระมัง บาดแผลบนใบหน้านางเป็นอย่างไรบ้าง จะเสียโฉมหรือไม่ขอรับ”
หมอชราเชิดคางขึ้นทำเสียงฮึขึ้นจมูกเบาๆ
เจียงเฮ่อมีสีหน้างุนงง
หมอชราอ้าปากกล่าว “ตอนนี้เจ้าสมควรรู้คำตอบของคำถามแรกได้กระจ่างแจ้งแล้วสินะ”
สีหน้าของเจียงเฮ่อฉายแววตะลึงลาน “คำถามเดียวแค่นี้ยังต้องเก็บเงินด้วยหรือนี่”
นี่ออกจะหาเงินหาทองกันง่ายๆ เกินไปแล้ว!
หมอชราแค่นเสียงเยาะก่อนจะสาวเท้าออกเดินไป
เจียงเฮ่อลุกลนตามไปยัดเงินใส่มือเขา
“เสียโฉมแล้ว รักษาไม่ได้” หมอชราทิ้งคำพูดไว้ประโยคเดียวแล้วเดินจากไปทันที
“เสียโฉมจริงๆ แล้วหรือนี่” เจียงเฮ่อพูดพึมพำ จากนั้นรีบกลับไปรายงานตัว
ดวงตะวันค่อยๆ ลอยเคลื่อนสูงขึ้นกลางฟ้า หน้าประตูที่ว่าการกององครักษ์จินหลินเงียบเชียบวังเวง ถึงมีคนผ่านไปผ่านมา พอเห็นประตูทาสีดำต่างจากที่ว่าการอื่นๆ แต่ไกลก็รีบเดินอ้อมไปทางอื่น ทหารยามยืนอยู่ด้านหน้าด้วยท่าทางเฉื่อยชา เฝ้ารอเวลาหยุดพักกินอาหารอยู่เงียบๆ
“ประตูที่ว่าการของพวกเรานี่ใครเห็นก็กลัวจริงๆ พากันเดินอ้อมไปทางอื่นจนหมด”
“นั่นสิ แม้แต่จะดูคนบนถนนมาคลายความเบื่อหน่ายก็ยังไม่ได้ ญาติผู้พี่ของข้าปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่สำนักราชบัณฑิตบอกว่าหน้าประตูทางนั้นมีสาวน้อยสาวใหญ่เดินผ่านไปผ่านมาบ่อยๆ แต่ละนางแต่งองค์ทรงเครื่องกันสวยสดงดงาม เจริญหูเจริญตาอย่าบอกใครเลยทีเดียว”
“เอ๊ะ?! เจ้าดูสิ ตรงโน้นมีหญิงชราคนหนึ่งดูเหมือนจะมุ่งหน้ามาทางนี้นะ”