หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 18
บทที่ 18
วันต่อมา
ทิวทัศน์ของฤดูใบไม้ผลิแสนงามตา รถม้าที่ตกแต่งอย่างเรียบๆ ไม่สะดุดตาคันหนึ่งเลี้ยวตรงหัวมุมถนน แล่นเข้าสู่ถนนหลวงสายหนึ่งที่กว้างขวางที่สุดของเมืองหลวง แต่ไม่นานนักรถม้าคันนั้นก็มุ่งหน้าต่อไปไม่ได้
องครักษ์แลมองฝูงชนล้นหลามเบื้องหน้า แล้วเอ่ยถามความเห็นของหมอเทวดาหลี่ ท่านผู้อาวุโส พวกเรามาถึงตอนแม่ทัพเซ่าเข้าเมืองพอดี รถม้าผ่านไปไม่ได้ หรือไม่พวกเราถอยหลังกลับก่อนดีหรือไม่ขอรับ
ทันทีที่ได้ยินว่าเซ่าหมิงยวนกรีธาทัพเข้าเมือง ไฟโทสะของหมอเทวดาหลี่ก็ลุกพรึบ เขาถลึงตาหนวดกระดิก ถอยหลังกลับอะไรกัน ยังมีขาอยู่มิใช่หรือ ลงเดินสิ
หมอเทวดากล่าวคำนี้เสียงห้วนสะบัดแล้วกระโดดลงจากรถม้าอย่างคล่องแคล่ว ผลักองครักษ์ที่จะประคองเขาออกไป พลางตะโกนเรียกเฉียวเจา แม่หนูหลีลงมาเร็วเข้า! ฉวยจังหวะที่ยังเบียดแทรกไปได้รีบเข้าเมืองไวๆ เช่นนี้เจ้ายังกลับเรือนไปกินอาหารได้ทัน
เฉียวเจาชะโงกหน้ามองออกไปทางนอกหน้าต่าง มองดูผู้คนข้างหน้าเบียดเสียดยัดเยียดจนไม่มีช่องว่างแล้วลงจากรถม้าอย่างเชื่อฟัง
คุณหนู ระวังเจ้าค่ะ อาจูรีบประคองนางไว้
พวกองครักษ์เห็นสภาพการณ์เป็นเช่นนี้ จำต้องทิ้งรถม้าไว้ข้างทาง และคุ้มกันหมอเทวดากับเฉียวเจาเข้าเมือง
ชาวเมืองหลั่งไหลกันมาจนมืดฟ้ามัวดิน ตามเพิงน้ำชาและหอสุราริมถนนไม่มีที่ว่างแต่แรก ถนนทั้งสองฝั่งเนืองแน่นไปด้วยผู้คนซึ่งยืนเรียงกันเป็นทิวแถว ชะเง้อชะแง้รอต้อนรับเหล่าวีรบุรุษที่กลับมาพร้อมชัยชนะ
มีพ่อค้าหัวใสไม่ปล่อยโอกาสทองให้หลุดมือ เดินหาบกระจาดเร่ขายของอยู่กลางหมู่คน ดอกไม้สดในกระจาดถูกแย่งซื้อจนหมดเกลี้ยงในพริบตาเดียว
เฉียวเจาถูกเบียดจนเดินเซไปเซมา มิใช่ง่ายดายกว่าจะได้ระบายลมหายใจอย่างโล่งอก ฝูงชนพลันเปล่งเสียงโห่ร้องดังสนั่นขึ้นระลอกหนึ่ง
มาแล้วๆ
ถอยหลังไปๆ เจ้าหน้าที่ทางการผู้ดูแลความสงบเรียบร้อยชักกระบองออกมาไล่คนที่มุงดูอยู่สองข้างทาง
เสียงฝีเท้าม้าที่ดังใกล้เข้ามาทุกทีทรงพลังเป็นจังหวะประหนึ่งเสียงรัวกลอง สั่นกระทบตรงกลางใจทุกคนทีแล้วทีเล่า
เสี้ยวเวลานี้บนถนนที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนพลันตกอยู่ในความเงียบอึดใจหนึ่ง ตามมาด้วยเสียงโห่ร้องดังกึกก้องมากขึ้น
แม่ทัพเซ่าๆ!
ทัพเป่ยเจิงจงเจริญ!
ทัพเป่ยเจิงกล้าแกร่งเกรียงไกร!
เฉียวเจามองเห็นกองทหารกองนั้นท่ามกลางเสียงอึงคะนึงรอบกาย
ด้านหน้าเป็นองครักษ์ประจำตัวถือธง ตัวอักษรคำว่า ‘เซ่า’ ตัวเขื่องกลางผืนธงซึ่งคลี่สะบัดล้อลมเด่นสะดุดตาเป็นพิเศษ ด้านหลังเป็นบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งนั่งบนหลังอาชาตัวสูงใหญ่อย่างสง่างาม
คนผู้นั้นดูท่าทางอยู่ในวัยราวยี่สิบเศษ บนตัวเป็นเสื้อเกราะซานเหวิน* สีเงินซึ่งมีเพียงแม่ทัพระดับสูงที่มีสิทธิ์สวมใส่ได้ ชุดเกราะพอดีตัวเขาอย่างมาก สายคาดเอวลายราชสีห์คาบดาบรัดรอบเอวอย่างแน่นหนา ยิ่งขับเน้นเรือนกายให้สูงเพรียวผึ่งผาย เสื้อคลุมไหล่มิใช่สีแดงเข้มอย่างที่พบบ่อยมากที่สุด แต่กลับเป็นสีขาวปลอดดุจหิมะ ยามเขาเบือนหน้ามองไปยังทิศทางที่เสียงโห่ร้องดังกระหึ่มมากที่สุด พู่แดงบนหมวกเกราะสีเงินเกลี้ยงก็ปลิวไหวๆ คลอเคลียใบหน้าขาวประหนึ่งหยกหิมะ นั่นเป็นสีสันเพียงหนึ่งเดียวตลอดทั่วร่างเขา ทำให้ยิ่งรู้สึกถึงความเย็นเยือกและ…โดดเดี่ยว
ฝูงชนพลันชะงักนิ่งไปชั่วประเดี๋ยว จากนั้นก็เป็นเสียงร้องตะโกนแหลมเล็กของสตรีนับไม่ถ้วนดังสนั่นขึ้น แม่ทัพเซ่าๆ
แม่ทัพหนุ่มเบนหน้ากลับ แต่เหล่าคนในทิศทางนั้นยังตื่นเต้นคลั่งไคล้ โดยเฉพาะบรรดาสตรีที่พากันโยนดอกไม้สดในมือไปให้เขาดุจสายฝนพรั่งพรู มันกระทบเสื้อเกราะของเขาแล้วร่วงหล่นลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มีดอกไม้ ถุงหอม และผ้าเช็ดหน้าโยนมาให้มากยิ่งขึ้น
ใครๆ ล้วนเคยได้ยินวีรกรรมของแม่ทัพเซ่าบ่อยเสียจนเล่าได้คล่องปากแต่แรก กระทั่งเด็กสามขวบในเมืองหลวงยังรู้ว่ามีแม่ทัพผู้เก่งกาจเช่นนี้อยู่ผู้หนึ่ง
กระนั้นน้อยครั้งนักที่เขาจะกลับเมืองหลวง วันนี้ได้เห็นตัว ทุกคนถึงประจักษ์ว่าที่แท้แม่ทัพผู้นี้ยังหนุ่มแน่นและหล่อเหลาเพียงนี้
บรรยากาศคึกคักเร่าร้อนยิ่งทบทวีขึ้น กลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังพยายามแทรกตัวไปข้างหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย แม้ว่าเฉียวเจาจะมีองครักษ์คอยคุ้มกันอยู่ก็ยังถูกเบียดจนตัวโงนเงนไปมา
ข้างหูเต็มไปด้วยเสียงร้องแหลมสูงของพวกสตรีที่เผลอลืมสงวนท่าที ยังมีดอกไม้และผ้าเช็ดหน้าที่ถูกโยนออกไปจนลอยเต็มท้องฟ้า
เฉียวเจาฝืนทรงตัวยืนให้มั่นแล้วเม้มปาก
ที่แท้ท่านสามีที่เคารพของนางผู้นี้ยังเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์คนหนึ่งอีกด้วย
เอ่อ…ผิดแล้ว เฉียวเจาตายไปแล้ว คนที่มีชีวิตอยู่คือแม่นางน้อยหลีเจา เขากับข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ต่อกันแล้ว
เมื่อคิดถึงลูกธนูดอกนั้น ถึงเฉียวเจาไม่คับแค้นใจ แต่เกียรติยศอันล้นเหลือของบุรุษตรงหน้ากลับบาดนัยน์ตานาง ถึงที่สุดแล้วนางก็รู้สึก…เจ็บใจอยู่บ้าง
โอ๊ย! พ่อค้าเร่ที่หาบกระจาดดอกไม้วิ่งมาเป็นรอบที่สองถูกเบียดล้มลงโดยไม่ทันระวัง ดอกไม้สดในกระจาดหล่นกระจายเกลื่อนพื้น ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงมีต้นกระบองเพชรต้นหนึ่งปนอยู่ในกองดอกไม้ ซ้ำยังบังเอิญกลิ้งมาตรงข้างเท้าเฉียวเจาได้
ฝ่ามือขาวนุ่มนิ่มนับไม่ถ้วนยื่นมือแย่งดอกไม้ไปจนเกลี้ยง เสียงเหรียญอีแปะหล่นลงในกระจาดดังกรุกกริกๆ จากนั้นสายฝนดอกไม้ก็โปรยปรายใส่เหล่าทหารที่เดินช้าๆ ตรงกลางถนนอีกระลอกหนึ่ง คละเคล้าเสียงตะโกนอย่างตื่นเต้นของสตรีทั้งหลาย
เฉียวเจานิ่งชะงักครู่หนึ่งก่อนล้วงเหรียญอีแปะสองเหรียญโยนลงกระจาด ใช้ผ้าเช็ดหน้ารองมือแล้วเก็บต้นกระบองเพชรที่หลงปนเข้ามาต้นนั้นอย่างระมัดระวังขึ้นมา ก่อนจะโยนออกไปเงียบๆ
อืม ครานี้ก็สบายใจแล้ว
เซ่าหมิงยวนนั่งเด่นเป็นสง่าอยู่บนม้า ดอกไม้สดที่ฝูงชนโยนใส่ตัวเขาส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจาย เขาต้องกลั้นจามไว้แทบตายหลายครั้งจนจมูกเริ่มหมดความรู้สึกแล้ว
ขณะที่กำลังจะระบายลมหายใจเฮือกพลันรู้สึกว่ามีของสิ่งหนึ่งลอยมาทางด้านข้าง เขาสัมผัสได้จากประสาทที่เฉียบไวจากการออกรบมานานปีว่านี่มิใช่ของจำพวกดอกไม้หรือถุงหอม
หรือว่าเป็นอาวุธลับ
เซ่าหมิงยวนกระดกข้อมือคว้าของสิ่งนั้นไว้ในกำมืออย่างแม่นยำ ความรู้สึกเจ็บแปลบตรงกลางอุ้งมือทำให้เขาย่นหัวคิ้วทีหนึ่ง
อาวุธลับใดกันมีหนามแหลมรอบตัว? ดูทีว่าศัตรูที่ซ่อนกายกลางหมู่คนต้องเจ้าเล่ห์อำมหิตมาก!
เขาก้มหน้าดูลักษณะของอาวุธลับให้ถนัดตาแล้วอดทำหน้านิ่งขึงไปไม่ได้
ต้นกระบองเพชร?
เซ่าหมิงยวนหันไปมองทางที่ ‘อาวุธลับ’ ลอยมา ดวงตาเขาทอประกายวับวาวดุจฟ้าแลบแปลบๆ
สายตาคมปลาบคู่นั้นไล่กวาดไปทั่วกลุ่มคน เฉียวเจารีบหลบไปอยู่ด้านหลังหมอเทวดา นานครู่ใหญ่ถึงเยี่ยมหน้าออกมามองเห็นคนผู้นั้นขี่ม้าห่างไปไกลแล้ว มีขบวนองครักษ์ประจำตัวสวมเสื้อเกราะแขนกุดที่ล้างสะอาดเรียบกริบกุมทวนยาวในมือแน่นเดินเรียงแถวเป็นระเบียบตามหลังไปติดๆ นางถึงพรูลมหายใจออกเบาๆ
เฉียวเจาช้อนตาขึ้นก็ปะทะเข้ากับสายตาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของหมอเทวดาหลี่ นางตีสีหน้าเรียบเฉยก่อนเอ่ยขึ้น เบียดเสียดเหลือเกินเจ้าค่ะ ท่านปู่หลี่ พวกเรารีบไปกันเถอะ
หมอเทวดาหลี่พยักหน้า ก้าวขาเดินไปสองก้าวแล้วหันขวับกลับมา ฉีกยิ้มกล่าวว่า ทำได้ยอดเยี่ยมมาก
เมื่อออกจากถนนสายหลักของเมืองแล้ว ตามทางก็เงียบสงบลงกะทันหัน
หมอเทวดาหลี่หยุดฝีเท้า จับเสื้อคลุมที่ถูกคนเบียดจนหลุดเลื่อนไปให้เรียบร้อยก่อนกล่าวขึ้น แม่หนูหลี เรือนของเจ้าอยู่ที่ใด ข้าจะส่งเจ้ากลับไป
ท่านผู้อาวุโส ทำเช่นนี้มิได้เป็นอันขาดขอรับ พวกองครักษ์ตกใจยกใหญ่
พวกเขาไปเชิญหมอเทวดามาคราวนี้เป็นความลับ ทันทีที่ถูกผู้อื่นล่วงรู้ว่าหมอเทวดาท่านนี้เข้าเมืองหลวงแล้ว นั่นจะกลายเป็นเรื่องใหญ่มากทีเดียว
หมอเทวดาหลี่หรี่ตาลง แม้นใบหน้าแฝงรอยยิ้ม แต่กลับทำให้รู้สึกถึงอันตราย เหตุใดรึ นายเหนือหัวของพวกเจ้าจะเจ้ากี้เจ้าการกระทั่งว่าข้าจะไปที่ใดด้วยหรือ
พวกองครักษ์โดนถามกลับก็พูดไม่ออก
จริงอยู่ว่าพวกเขาสามารถใช้กำลังพาตัวหมอเทวดาผู้นี้กลับไป แต่ใต้หล้านี้คนที่ไม่พึงยั่วโทสะมากที่สุดก็คือผู้เป็นหมอ ยังไม่ต้องเอ่ยถึงอย่างอื่น ถ้าเกิดเขาเขียนใบสั่งยาผิดๆ ให้คนป่วยโดยไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งสิ้น ถึงเวลานั้นจะเอาเรื่องกับใครเล่า
ท่านผู้อาวุโส ท่านตามพวกข้ากลับไปก่อนดีกว่าหรือไม่ ส่วนแม่นางผู้นี้พวกข้าจะรับหน้าที่ส่งกลับเรือนเอง ท่านว่าเป็นอย่างไรขอรับ
หมอเทวดาหลี่เขม้นมองคนพูดแล้วแค่นเสียงเยาะ ข้าหารือกับพวกเจ้าหรือ ข้าเพียงบอกกล่าวให้พวกเจ้ารับรู้ไว้เท่านั้น ส่วนว่าเจ้านายของพวกเจ้าจะยินยอมหรือไม่นั้น เป็นกงการอะไรของข้าด้วย
หากมิใช่เพื่อสมุนไพรวิเศษต้นนั้น อย่าว่าแต่จวนท่านรองเสนาบดีอะไรนี่เลย ต่อให้เป็นโอรสสวรรค์ เขาก็หลบไปซ่อนตัวไกลๆ แล้ว ไม่เข้ามาเมืองหลวงข้องแวะกับเรื่องวุ่นวายนี้
แม่หนูหลี ไปได้แล้ว หมอเทวดาหลี่ไม่มองพวกเขาแม้แต่แวบเดียวก็สะบัดแขนเสื้อเดินไป
เฉียวเจารีบเรียกคนไว้ ท่านปู่หลี่ เรือนข้าอยู่ทางนั้นเจ้าค่ะ
พวกองครักษ์สบตากันไปมา คนที่เป็นหัวหน้าพยักหน้ากับคนหนึ่งในกลุ่ม คนผู้นั้นเข้าใจความหมาย เดินรั้งท้ายห่างไปหลายก้าวแล้วแยกตัวไปรายงานข่าวกับผู้เป็นนายก่อนอย่างลับๆ
ใต้เท้า ต้องไปรายงานท่านผู้บัญชาการใหญ่หรือไม่ขอรับ
เจียงหย่วนเฉาดึงสายตากลับ หยักยิ้มเอื่อยๆ อื้อ
พอคิดไปถึงที่แม่นางน้อยผู้นั้นเอาต้นกระบองเพชรปาใส่เจ้าหนุ่มแซ่เซ่า เขาก็รู้สึกสาแก่ใจจริงๆ
* เสื้อเกราะซานเหวิน คือเสื้อเกราะที่ประกอบจากแผ่นโลหะรูปทรงตัวอักษรคำว่าซาน (山) ที่แปลว่าภูเขา