หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 19
บทที่ 19
ตรงปากตรอกซิ่งจื่อบนถนนใหญ่สายตะวันตกมีรถม้าติดม่านสีเขียวคันหนึ่งจอดอยู่
คนหนุ่มแต่งกายเหมือนผู้ติดตามของขุนนางผู้หนึ่งสาวเท้าเร็วรี่ไปที่หน้าประตูใหญ่ซึ่งแขวนป้ายคำว่า ‘จวนสกุลหลี’ ไว้ แล้วยกห่วงทองแดงลายหัวสัตว์เคาะประตู
ไม่ถึงครู่ใหญ่ยามเฝ้าประตูก็ออกมา กวาดสายตามองคนหนุ่มเบื้องหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดเท้ารอบหนึ่งอย่างว่องไวก่อนไต่ถามอย่างสุภาพ มีธุระอันใดหรือขอรับ
คนเป็นยามเฝ้าประตูล้วนมีสายตาแหลมคมคู่หนึ่ง มาตรว่าคนหนุ่มตรงหน้าจะแต่งกายเป็นบ่าวไพร่ หากท่วงท่ายังสง่าผ่าเผยกว่าพวกคุณชายไม่น้อยที่เขาเคยพบเห็น ดูจากจุดนี้ก็รู้ได้ว่าบุคคลในเกี้ยวจะต้องมิใช่ชั้นสามัญเป็นแน่แท้
คนหนุ่มกล่าวตอบเสียงกังวานใสด้วยท่าทางไม่โอหังไม่เจียมตนเกินไป นายท่านของพวกข้าพาคุณหนูสามของจวนท่านมาส่ง
คุณหนูสาม? ยามเฝ้าประตูอึ้งงันไป เขาย้อนถามโดยไม่ทันคิด คุณหนูสามคนใดหรือ
คนหนุ่มอึ้งงันไปเช่นกัน นี่มิใช่จวนสกุลหลีหรือ
เป็นจวนสกุลหลีขอรับ
คุณหนูสามของจวนท่านมิได้พลัดหลงหายตัวไปหรอกหรือ
ยามเฝ้าประตูเหมือนถูกสาปให้ตัวแข็ง เป็นนานครู่ใหญ่ถึงสะดุ้งโหยงทันใด อะ รอประเดี๋ยวนะ
เขาปิดประตูดังปังแล้วทะยานกายกลับเข้าไปปานสายลมวูบหนึ่ง วิ่งไปตะโกนไป คุณหนูสามกลับมาแล้ว
ข่าวแพร่ไปทั่วจวนสกุลหลีอย่างว่องไวดุจติดปีก
ในเรือนชิงซง ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งตกอกตกใจ หลานเจากลับมาแล้วหรือ
นางทำหน้าขรึมลง เอ่ยถามคนที่เข้ามารายงาน อยู่ที่ใดล่ะ
สาวใช้ที่เข้ามารายงานข่าวพูดต่ออย่างตะกุกตะกักว่า ยังอยู่ที่หน้าประตูใหญ่เจ้าค่ะ…ยามเฝ้าประตูบอกว่าเป็นนายท่านผู้หนึ่งพามาส่ง…
นายท่าน? ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งหน้าเปลี่ยนสีไปถนัดตา นางลุกพรวดขึ้นยืน เช่นนั้นยังไม่พาตัวเข้ามาข้างในอีก ปล่อยให้ยืนอยู่ข้างนอกอับอายขายหน้าผู้คนรึ!
หลานเจาถูกบุรุษพาตัวส่งกลับเรือน แล้ววันหน้า…
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเดือดพล่านในอก ต้องสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่งถึงควบคุมตนมิให้เสียกิริยา นางสั่งกำชับ รีบไปที่สำนักราชบัณฑิตตามนายท่านใหญ่กลับมา
ทั่วทั้งจวนสกุลหลีตกอยู่ในความโกลาหลระลอกหนึ่ง ยามเฝ้าประตูได้รับคำสั่งก็เปิดประตูข้าง เชิญเข้ามาขอรับ
ไม่มีความเคลื่อนไหวจากรถม้าม่านสีเขียว
ยามเฝ้าประตูทำหน้างุนงง
ผู้ติดตามหนุ่มที่เป็นคนเคาะประตูขออนุญาตก่อนหน้านี้ยืนอยู่ข้างรถม้า เขาเดินมาหาแล้วกระแอมกระไอให้คอโล่งก่อนอ้าปากบอก นายท่านพูดว่าเชิญใต้เท้าของจวนท่านมารับคนด้วย
พี่ชายมิได้กล่าวล้อเล่นกระมัง นายท่านของข้าไปที่สำนักราชบัณฑิต อีกอย่างหนึ่งต่อให้นายท่านใหญ่อยู่ในจวน มีอย่างที่ใดให้ออกมารับคนหน้าประตูกันเล่า เชิญนายท่านของท่านตามข้าน้อยเข้าไปก็แล้วกันขอรับ
ผู้ติดตามหนุ่มกล่าวเยาะๆ จวนของท่านเป็นตระกูลบัณฑิต นายท่านของข้าดั้นด้นเดินทางไกลพาคุณหนูของจวนท่านมาส่งถึงเรือน นี่หรือคือมารยาทในการรับแขกของจวนท่าน
ยามเฝ้าประตูกลอกตาขึ้น พูดพึมพำเสียงเบาๆ ใครจะรู้ว่าเป็นพวกที่มาต้มตุ๋นเงินทองหรือไม่
เหนือสิ่งอื่นใดคุณหนูสามหายตัวไปหลายวัน พวกเจ้านายทั้งหลายอยากให้นางกลับมาหรือไม่ยังบอกได้ยาก
อีกอย่างคุณหนูสามเองก็เป็นคนจำพวกที่กระทั่งหมาแมวเมินหน้าหนี…
เขาคิดคำนึงไปเช่นนี้ จู่ๆ ก็รู้สึกหนังศีรษะชาวาบๆ เห็นผู้ติดตามหนุ่มผู้นั้นทำหน้าปึ่งชา มองด้วยสายตาราวกับจะอ่านทะลุใจได้
ยามเฝ้าประตูเข่าอ่อน กล่าวขึ้นอย่างลุกลน ข้าน้อยจะไปรายงานอีกครั้งขอรับ
คนที่มาพูดเช่นนี้จริงๆ หรือ ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งซึ่งรออยู่ในโถงรับแขกตีสีหน้านิ่งๆ จับความรู้สึกไม่ได้ นางลุกขึ้นแล้วกล่าว ไปที่ประตูใหญ่
นางหาใช่ดูแคลนคน ไม่ว่าหลานสาวจะเป็นอย่างไร มีคนพาตัวส่งกลับมา นางย่อมต้องรู้สึกขอบคุณตามที่พึงเป็น เพียงแต่ตอนแรกนางคิดจะให้ผู้มาเยือนเข้าจวนอย่างเงียบๆ จะได้ไม่ดึงดูดความสนใจของเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียง ไม่เช่นนั้นหากข่าวหลานสาวถูกบุรุษพาตัวส่งกลับเรือนเล่าลือออกไป ชื่อเสียงจะฉาวโฉ่ยิ่งขึ้น
ทว่าอีกฝ่ายทำเป็นเรื่องใหญ่เอิกเกริกเฉกนี้มีจุดประสงค์ใด
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งเร่งฝีเท้าเดินออกไป เพิ่งไปถึงหน้าประตูก็สวนกับสตรีออกเรือนแล้วผู้หนึ่ง
นางอายุราวยี่สิบแปดยี่สิบเก้า สวมเสื้อผ่าหน้าตัวยาวผ้าทอยกดอกสีเขียวไข่กาคู่กับกระโปรงจับจีบด้านข้างสีน้ำตาลอ่อน เสริมส่งเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นงดงามจับใจ
ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ เป็นเจาเจาของข้ากลับมาแล้วใช่หรือไม่ สตรีผู้นี้หอบหายใจถี่รัว มีน้ำตานองหน้า ดูท่าทางรีบรุดมาอย่างร้อนรน นางคว้าแขนเสื้อของหญิงชราไว้หมับโดยไม่ยอมปล่อย
ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งปรายตามองมือข้างที่กำแขนเสื้อของตนไว้ด้วยแววตาเฉยเมย
หยาบคาย!
หญิงชราดึงมือคืนด้วยสีหน้านิ่งสนิท เหอซื่อ เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจ หลานเจาอยู่นอกประตูใหญ่นี่เอง เจ้าตามข้า…
ไม่ทันสิ้นเสียงนาง เหอซื่อก็วิ่งฉิวออกไปแล้ว
มุมปากของฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งกระตุกริกๆ นางเอ่ยต่อท้ายอีกคำหนึ่งในใจว่า ไร้มารยาท
เหอซื่อยกชายกระโปรงวิ่งไปถึงหน้าประตูใหญ่โดยไม่หยุดพักหายใจ เป็นเหตุให้บ่าวไพร่ที่พบเจอตลอดทางล้วนพากันชายตามอง แต่นางก็ไม่ใส่ใจ เพิ่งหยุดยืนนิ่งก็ไต่ถาม คุณหนูอยู่ที่ใด
ยามเฝ้าประตูสังเกตเห็นเพื่อนบ้านรอบข้างรอชมเรื่องสนุกอยู่ไม่ไกลแล้วปาดเหงื่อเย็นทีหนึ่ง เขาตอบเสียงค่อย คุณหนูสามอยู่บนรถม้าขอรับ นายหญิงใหญ่ท่าน…
เหอซื่ออ้อมผ่านตัวยามเฝ้าประตูที่ขวางทางอยู่ วิ่งทะยานไปที่หน้ารถม้า
ฮูหยินโปรดหยุดฝีเท้า! องครักษ์สองคนสืบเท้าขึ้นหน้าสกัดเหอซื่อไม่ให้เข้าใกล้รถม้า
รูปโฉมของพวกเขาอาจดาษดื่นสามัญ ทว่ารังสีพิฆาตในสีหน้าแววตาข่มขวัญคนให้ถอยห่างไปสามจั้ง*ได้
เหอซื่อตกใจยกใหญ่ พวกเจ้าเป็นใคร ไหนบอกว่าพาบุตรสาวข้ามาส่งมิใช่หรือ เอ๊ะ…หรือว่าเป็นโจรผู้ร้ายจะมาเรียกค่าไถ่ถึงที่
ยามหน้าประตูกุมขมับ
ภายในรถม้า หมอเทวดาหลี่มองเฉียวเจาด้วยสายตาที่ปะปนไปด้วยอารมณ์หลายหลาก นั่นเป็นมารดาเจ้าจริงๆ หรือ
เขาวางท่าอย่างนี้ด้วยหมายจะช่วยเสริมบารมีให้แม่นางน้อย ป่าวประกาศให้รู้กันทั่วว่าท่านหมอเทวดาเคราขาวเป็นคนส่งนางกลับมา แต่ผู้เป็นมารดาผู้นี้กลับเอะอะโวยวายว่าเป็นโจรผู้ร้ายมาเรียกค่าไถ่ถึงที่
นี่กลัวว่าชื่อเสียงของแม่หนูหลีจะดีเกินไปกระมัง
เฉียวเจาปั้นหน้านิ่งขรึมพลางผงกศีรษะ เป็นมารดาแท้ๆ ไม่ผิดเจ้าค่ะ
ในความทรงจำของแม่นางน้อยหลีเจา นางรังเกียจเดียดฉันท์มารดาซึ่งมีชาติตระกูลไม่สูงมาโดยตลอด เห็นว่าเทือกเถาเหล่ากอของนางเป็นต้นเหตุทำให้ตนโดนคนดูแคลน จึงเฉยเมยเย็นชากับผู้ให้กำเนิดเสมอ แต่เมื่อเฉียวเจาลองเรียบเรียงความทรงจำของหลีเจาในฐานะคนนอกแล้วกลับมองออกว่าเหอซื่อรักใคร่บุตรสาวจากใจจริง แค่ว่า…เรื่องสติปัญญาความคิดค่อนข้างน่ากังวลอยู่บ้าง
เฉียวเจาอดคิดถึงมารดาของตนเองไม่ได้
มารดาของนางเป็นลูกผู้ดีมีตระกูลอย่างแท้จริง สมัยวัยเยาว์สิ่งที่นางรับรู้ได้มากที่สุดคือมารดาเป็นคนเข้มงวด นานทีปีหนถึงจะแสดงความอ่อนโยนใจดีเล็กน้อย จนกระทั่งนางติดตามไปอยู่กับท่านปู่ท่านย่าเป็นเวลานาน สายสัมพันธ์ก็ยิ่งห่างเหินขึ้น
ท่านแม่ ข้าอยู่นี่เจ้าค่ะ หมอเทวดาหลี่ห้ามไม่ให้เฉียวเจาเลิกม่านหน้าต่างขึ้น นางเลยเอ่ยตอบอยู่บนรถม้าคำหนึ่ง
เหอซื่อชะงักไปก่อนจะพูดปนเสียงสะอื้น เจาเจา…เจาเจาของข้า…
นางไม่นำพารัศมีอำมหิตที่แผ่ซ่านมาจากพวกองครักษ์อีก ตั้งท่าจะเข้าไปเลิกม่านประตูรถม้าขึ้น
เฉียวเจาได้ยินแล้วลอบถอนใจเบาๆ แต่ไรมามารดาของนางไม่เคยเรียกขานว่า ‘เจาเจาของข้า’ อย่างเดียวกับเหอซื่อมาก่อน
เหอซื่อ เจ้ามานี่! เสียงของหญิงชราผู้หนึ่งดังลอยเข้ามาในรถม้า ข้าได้ยินว่าท่านมาส่งหลานสาวข้ากลับเรือน รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง ขอเชิญท่านเข้าไปสนทนากันในจวน
รอบด้านเงียบกริบ แม้แต่เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงล้วนยืนเขย่งปลายเท้าชะเง้อคอมองรถม้าม่านสีเขียวคันนั้นตาเขม็ง
ผู้ติดตามหนุ่มคนหนึ่งก้าวเข้าไปแหวกม่านประตูรถม้าเปิดออก ผู้เฒ่าคนหนึ่งก็เดินออกมาจากข้างใน
เขาดูมีอายุประมาณหกเจ็ดสิบปีแล้ว เรือนผมหนวดเคราล้วนเป็นสีขาว ทว่าแข้งขาว่องไวปราดเปรียวมาก หลังลงจากรถม้าแล้วก็เพ่งมองฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งด้วยสายตาพินิจพิจารณา
ชั่วพริบตาที่มองเห็นหน้าตาท่าทางของชายชราได้ชัดเจน ฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งระบายลมหายใจเฮือกใหญ่
ดีเหลือเกิน นายท่านผู้นี้สูงวัยมากแล้ว แก่ชราพอจะอุดปากของพวกเพื่อนบ้านได้!
ไม่นานนักก็มีเงาร่างอีกสายหนึ่งวาบผ่านสายตา เป็นสาวใช้ชุดสีชมพูวัยราวสิบสี่สิบห้านางหนึ่งกระโดดลงจากรถม้า นางแสดงคำนับต่อฮูหยินผู้เฒ่าเติ้งอย่างไม่โอหังไม่เจียมตนเกินไป บ่าวมีนามว่าอาจู ขอคารวะฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ
อาจูแสดงคำนับเสร็จก็หมุนกายยื่นมือไป คุณหนู เชิญลงเจ้าค่ะ
* จั้ง เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน เทียบได้ระยะประมาณ 3.33 เมตร