หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 195
บทที่ 195
มุมปากที่ยกโค้งขึ้นของฉือชั่นนิ่งค้างไปกะทันหัน ดวงตาทั้งคู่จ้องเขม็งไปที่ประโยคสั้นๆ ไม่กี่คำนั้นแล้วไฟโทสะแทบลุกโชน
ฉือชั่น คนโง่เง่า!
นี่คือด่าข้ารึ
แม่นางน้อยตัวดีนั่นไปกินดีหมีหัวใจเสือมาหรือ ถึงเรียกขานชื่อเขาตรงๆ ทั้งที่เมื่อแรกยังอยากเรียกเขาว่า ‘ท่านอาฉือ’ อยู่เลย ตอนนี้ถึงกับเรียกเขาห้วนๆ ว่า ‘ฉือชั่น’ ซ้ำยังว่าเขาโง่เง่า
ข้าโง่เง่าตรงที่ใดกัน เจ้าคนไม่รู้ดีชั่ว!
จริงสิ เจ้าคนบัดซบเซ่าหมิงยวนนั่นก็ว่าเขาโง่เง่าเช่นกัน สองคนนี้นัดแนะกันไว้ล่วงหน้ากระมัง ทำมาอวดให้เขาเห็นว่าจิตใจตรงกันหรืออย่างไร
ฉือชั่นเดินวนไปวนมาอย่างหัวเสีย
เถาเซิงเห็นสถานการณ์ไม่ดี จึงค่อยๆ ถอยหลังทีละก้าว
ไม่น่าเลย รู้แต่แรกเมื่อครู่นี้น่าจะไสหัวออกไปเลย เหตุใดเขาต้องอยากรู้อยากเห็น อยากดูท่าทีของคุณชายหลังอ่านสารมากถึงเพียงนี้ด้วยนะ
ขณะขยับทีละก้าวๆ จนใกล้จะถึงหน้าประตู ฉือชั่นหันขวับมาพูดด้วยสีหน้าท่าทางอำมหิต “เถาเซิง มานี่!”
เถาเซิงเอาสองมือเกาะขอบประตู ยิ้มประจบเต็มที่ “คุณชาย ท่านมีอะไรก็พูดสิขอรับ”
ท่าไม่ดีจริงๆ หนีไปก่อนค่อยว่ากันอีกที รอคุณชายอารมณ์เย็นลงค่อยกลับมาแบกกิ่งต้นจิงขอขมา หาไม่แล้วหวั่นใจว่าชีวิตน้อยๆ ของเขาคงต้องทิ้งไว้ที่นี่
ฉือชั่นเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับเหยียดยิ้ม “คิดจะหนีใช่หรือไม่ ข้าจะเอาก้อนเงินในหีบที่เจ้าซ่อนไว้ใต้ตุ่มน้ำหลังประตูเรือนไปโยนให้สุนัขกินทันที
“คุณชาย ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าคิดจะรินน้ำชาให้ท่านดื่มต่างหาก” เถาเซิงกระวีกระวาดรินน้ำชาถ้วยหนึ่งแล้วเข้าไปเสนอหน้ากับผู้เป็นนาย
ฉือชั่นไม่มีแก่ใจดื่มน้ำชาอย่างเห็นได้ชัด เขาทำหน้าขรึมไต่ถามเถาเซิง “ข้าขอถามเจ้าสักหน่อย ตอนเจ้าไปพบคุณหนูหลีมีอะไรเป็นพิเศษหรือไม่”
“พิเศษ?” คำถามนี้ของคุณชายกินความกว้างเหลือเกิน เถาเซิงตรึกตรองอย่างหนักครู่หนึ่งก่อนเอ่ยอย่างลังเลใจ “หลังจากคุณหนูหลีเห็นยาขี้ผึ้งที่ท่านมอบให้ นางมองดูอยู่เป็นนานเลยขอรับ”
“อย่างนั้นหรือ” ฉือชั่นรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นบ้างโดยพลัน
ถูกใจของที่ข้ามอบให้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ช่างหูตาคับแคบจริงๆ ที่ข้านี้ยังมีของดีกว่านั้นอีกนะ
“ขอรับ” เถาเซิงพยักหน้าถี่รัว “พอคุณหนูหลีดูเสร็จก็เขียนสารให้ท่าน”
คุณชายฉือพูดไม่ออก “…” มารดามันเถอะ เด็กรับใช้ของข้าเป็นพวกสติไม่เต็มเต็ง!
ครั้นเห็นผู้เป็นนายไม่ปริปากเสียที จนพาให้บรรยากาศหนักอึ้งจนแทบหายใจไม่ออก เถาเซิงจึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “คุณชาย ข้าไสหัวไปได้แล้วใช่หรือไม่ขอรับ”
“ไสหัวไป!” ฉือชั่นไม่แม้แต่จะมองเด็กรับใช้ ดวงตาจับจ้องอยู่ที่อักษรไม่กี่ตัวนั่น เขายิ่งอ่านยิ่งโมโห
แม่นางน้อยผู้นั้นจับผิดเถาเซิงได้อย่างไรกันแน่ ไม่ได้ ข้าต้องไปถามให้ได้!
ฉือชั่นลุกพรวดขึ้นแล้วรู้สึกวิงเวียนกะทันหัน เขาทรุดลงนั่งตามเดิมอย่างช่วยไม่ได้
สมควรตาย เหตุใดอาการลมแดดยังไม่หายสนิทอีกนะ
ฉือชั่นอยากไปถามให้รู้เรื่อง ทว่าจนปัญญาที่มีใจแต่ไร้กำลังเลยจำต้องละความตั้งใจชั่วคราว
ด้านเฉียวเจานั้นกำลังคับอกคับใจสุดจะกล่าว
ฉือชั่นเสียสติไปแล้วหรือไร ถึงกับให้เด็กรับใช้ผู้หนึ่งปลอมตัวเป็นหญิงแฝงตัวเข้ามาในเรือนนาง
คุณหนูเฉียวแทบไม่อยากหวนนึกถึงความรู้สึกตอนสังเกตเห็นว่าจริงๆ แล้ว ‘สาวใช้’ ผู้นั้นเป็นของปลอม
นางเติบใหญ่มาจนป่านนี้ มีชีวิตมาสองชาติ ทั้งไม่นับเป็นคนที่เคร่งครัดในธรรมเนียมประเพณี ทว่าแต่ไรมาไม่เคยได้ยินได้เห็นเรื่องแปลกพิสดารพรรค์นี้
หากที่น่าขุ่นเคืองที่สุดคือตอนนั้นถึงนางจับได้แล้วก็จำต้องนิ่งเฉยแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่เช่นนั้นทันทีที่เอะอะโวยวายจนรู้ไปทั่ว นั่นต่างหากคงได้สนุกหรรษากันจริงๆ
เฉียวเจาดื่มน้ำชาอักๆ หลายคำยังคงไม่หายขัดเคือง นางเอ่ยสั่งอาจูว่า “บอกกับพวกยามหน้าประตูว่าวันหน้าหากมีสาวใช้ของวังองค์หญิงคนใดมาอีก ไม่พบทั้งสิ้น”
หลังจากนั้น ขณะที่ทางฟากเฉียวเจานับได้ว่าสุขสงบไร้คลื่นลม บรรยากาศในเรือนฝั่งขวากลับตึงเครียดอยู่บ้าง มีข่าวแพร่ออกมาว่าคุณหนูใหญ่หลีเจี่ยวล้มป่วย
หลีฮุยย่ำเท้าวนเวียนอยู่หน้าซุ้มประตูวงเดือนของเรือนฝั่งขวาเป็นนาน จนกระทั่งชุนฟางสาวใช้อาวุโสของพี่สาวออกมาเก็บเสื้อผ้า นางชำเลืองเห็นเขาก็วิ่งเข้ามาถามไถ่
“คุณชายสาม ท่านมาเยี่ยมคุณหนูของข้าใช่หรือไม่”
หลีฮุยพยักหน้าตอบ
ชุนฟางยินดีปรีดามาก “เช่นนั้นคุณชายสามรีบเข้าไปเถอะเจ้าค่ะ คุณหนูเห็นท่านแล้วต้องดีใจมากแน่””
หลีฮุยทำท่าละล้าละลังอยู่บ้างอย่างที่ไม่เป็นบ่อยนัก เขาเอ่ยถาม “อาการของคุณหนูของเจ้าเป็นอย่างไร”
“ไม่ค่อยมีกำลังวังชาเจ้าค่ะ เวลาส่วนใหญ่ล้วนเอนกายนอนหลับ”
หลีฮุยฟังแล้วหน้าเปลี่ยนสี เขาย่างเท้าเข้าไป พอก้าวเข้าประตูก็ได้กลิ่นยาระลอกหนึ่ง
“พี่เจี่ยว” หลีฮุยเดินไปที่ข้างเตียงด้วยสีหน้าห่วงใย
หลีเจี่ยวลืมตาขึ้น “น้องสาม เจ้ามาแล้วหรือ”
นางพูดถึงตรงนี้ก็เบือนหน้าไปอีกทางพร้อมน้ำตาไหลริน
หลีฮุยเริ่มแตกตื่น “พี่เจี่ยว ท่านร้องไห้ด้วยเหตุใด”
“เปล่า ข้านึกว่าเจ้ายังโกรธเคืองข้าอยู่”
“จะโกรธเคืองได้อย่างไรกัน ข้ารู้ว่าพี่เจี่ยวเป็นห่วงความปลอดภัยของพวกเราถึงออกปากห้าม ข้าย่อมไม่โกรธเคืองพี่เจี่ยวแน่นอน”
แม้นจะไม่โกรธเคือง แต่ผิดหวังอยู่สักหน่อย
ถึงจะเป็นพี่น้องแท้ๆ ที่ผูกพันกันลึกซึ้ง ยังคงมีบางอย่างที่คิดไม่ตรงกัน ทว่าใต้หล้านี้มีบางสิ่งที่ผ่อนปรนได้ และบางสิ่งที่อ่อนข้อไม่ได้ดังเช่นเกียรติยศศักดิ์ศรีและความสัมพันธ์ของคนสายเลือดเดียวกัน
หลีเจี่ยวยิ้มอย่างอ่อนระโหย “ไม่โกรธเคืองก็ดี น้องสาม ข้าเป็นห่วงเจ้าเหลือเกิน พอคิดถึงว่าเจ้าอาจจะรับเคราะห์ต้องเดือดร้อนไปด้วย ใจข้าก็หวาดหวั่นว้าวุ่นสุดประมาณ มิใช่ว่าไม่อยากระบายความแค้นให้น้องเจาจริงๆ”
หลีฮุยพยักหน้าเอ่ย “ข้าเข้าใจขอรับ”
เขากล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนเป็นเอาจริงเอาจังมาก “แต่มีจุดหนึ่งที่พี่เจี่ยวพูดไม่ถูกขอรับ หากข้าต้องเดือดร้อน นั่นมิใช่รับเคราะห์ ดังคำกล่าวว่ารังนกหกคว่ำจะเหลือไข่ครบใบอีกหรือ เรือนหลังนี้ของพวกเราสร้างขึ้นจากคนในครอบครัวทุกคน ถ้าหากเกิดเรื่องขึ้นกับคนใดคนหนึ่งแล้วคนอื่นๆ นิ่งเฉยดูดาย เช่นนั้นเรือนก็จะไม่เป็นเรือน เมื่อไม่มีเรือนแล้ว คนในเรือนนี้ยังจะพบกับจุดจบที่ดีอะไรได้เล่าขอรับ”
หลีเจี่ยวตะลึงงัน นานครู่ใหญ่ถึงกล่าวขึ้น “ข้าไม่ได้คิดให้ลึกซึ้งอย่างน้องสามถึงเพียงนี้”
น้องสามเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ หรือ ไปจดจำถ้อยคำของนักปราชญ์เหล่านั้นจนสมองทึบ…
หลีฮุยยิ้มน้อยๆ “ข้าก็ฟังมาจากท่านย่าอีกทีน่ะขอรับ”
“ท่านย่าเป็นคนพูดหรือ”
“ใช่ ข้าเห็นว่าท่านย่าพูดมีเหตุผลมาก พี่เจี่ยวเห็นเป็นอย่างไร”
“แน่นอนว่า…” หลีเจี่ยวฝืนยิ้ม
“พี่เจี่ยวอย่าคิดมากเลย ท่านหมอบอกไว้มิใช่หรือว่าท่านวิตกกังวลเกินไปจนตรอมใจ”
“ข้ารู้แล้ว น้องสามไม่ต้องเป็นห่วง” หลีเจี่ยวยิ่งอัดอั้นตันใจหนักขึ้น
น้องสามพูดเช่นนี้ มิใช่หมายความว่านางคิดฟุ้งซ่านจนตัวเองล้มป่วยหรอกหรือ
หลีเจี่ยวพาลโกรธไปที่เฉียวเจาตามเคย ครั้นนึกถึงว่าตอนนี้นางเสียโฉมแล้วก็อารมณ์ดีขึ้นมาก
ต่อให้มีความสามารถมากกว่านี้แล้วจะมีอันใด สตรีไม่มีชื่อเสียงที่ดี ทั้งไม่มีรูปโฉมงดงาม ชีวิตที่เหลืออยู่จะน่าอนาถใจปานใดก็ยังไม่รู้
“พี่เจี่ยวพักผ่อนมากๆ ข้ากลับก่อนล่ะ”
“ชุนฟาง ออกไปส่งคุณชายสามด้วย”
“ไม่ต้องขอรับ” หลีฮุยโบกมือห้ามแล้วเดินออกไป
หลีเจี่ยวส่งสายตาบอกชุนฟาง
ชุนฟางลอบตามออกไป ไม่นานนักก็กลับมารายงาน “คุณหนูใหญ่ คุณชายสามไปที่เรือนคุณหนูสามเจ้าค่ะ”
หลีเจี่ยวโกรธจนหน้าเขียวทันใด นางกล่าวอย่างชิงชัง “เอาล่ะ ข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปเถอะ”
เมื่อชุนฟางไปแล้ว คุณหนูใหญ่สกุลหลีถึงหยิบหมอนขึ้นขว้างใส่เสาเตียงสุดแรงถึงเอนกายลงนอนอย่างฉุนเฉียว
ในเรือนเล็กฝั่งซ้าย เฉียวเจารออยู่นานสองนานก็ไม่เห็นหลีฮุยเอ่ยปากพูด นางจึงถามขึ้นอย่างทนไม่ไหวในที่สุด “วันนี้พี่สามมาที่นี่มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”
ใบหูของหลีฮุยแดงเรื่อ เขาลอบสูดลมหายใจเฮือกหนึ่งอย่างตกลงปลงใจแน่วแน่ คว้ามือของเฉียวเจามากุมหมับ “น้องเจา เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงนะ วันหน้าข้าจะเลี้ยงดูเจ้าเอง”