หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 199
บทที่ 199
เซ่าหมิงยวนนั่งรออยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่างตัวหนึ่งในร้านน้ำชา สายตาเขาจับจ้องไปทางจวนสกุลหลี เห็นสตรีสองนางค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้แต่ไกล
พวกนางล้วนสวมหมวกม่านแพร หนึ่งในนั้นพินิจจากรูปร่างและอิริยาบถน่าจะเป็นคุณหนูหลี ส่วนสตรีอีกคนมีเรือนกายสูงโปร่ง ท่วงท่าการเดินผึ่งผายดูคุ้นตาอยู่หลายส่วน
ชายหนุ่มเขม้นมองสตรีร่างสูงนางนั้นครู่หนึ่งก็วางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะฉับพลัน เขาวางเหรียญอีแปะทิ้งไว้หลายเหรียญแล้วสาวเท้าก้าวใหญ่เดินออกไป
ฉือชั่นที่เดินอยู่ข้างกายเฉียวเจาชะงักฝีเท้าหยุดยืนนิ่ง ด้วยตกใจว่าไฉนเซ่าหมิงยวนถึงปรากฏตัวขึ้นที่นี่ได้
เขาฝืนข่มอารมณ์ชั่ววูบอยากหันหลังวิ่งหนีไปเอาไว้ ลอบปลอบใจตนเองว่า จะวิ่งหนีไม่ได้ ทันทีที่วิ่งหนีก็ความแตกแล้ว ตอนนี้สวมหมวกม่านแพรอยู่ คนหัวโบราณอย่างเซ่าหมิงยวนย่อมไม่จ้องมองสตรีแปลกหน้า เช่นนั้นไม่มีทางจำได้หรอก
ใช่ ไม่มีทางจำข้าได้
ขณะฉือชั่นพูดปลอบตนเองซ้ำๆ เซ่าหมิงยวนก็เดินเข้ามาใกล้ๆ แล้ว เขายื่นมือไปถอดหมวกม่านแพรที่ฉือชั่นสวมอยู่ออกด้วยสีหน้าไม่แสดงความรู้สึกใด
ฉือชั่นทำหน้าตะลึงลาน
ไม่สมควรเป็นเช่นนี้นะ ไหนล่ะที่ว่าเคร่งขรึมจริงจัง? เจ้าคนที่ถอดหมวกสตรีออกกลางถนนผู้นี้คือกวนจวินโหว?
“คุณหนูหลีมีเรื่องอื่นอีกหรือไม่”
เฉียวเจาหัวร่อเบาๆ “ไม่มีเจ้าค่ะ”
เซ่าหมิงยวนผงกศีรษะ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะพาเจ้าตัวปัญหานี้ไปแล้ว ขออภัยด้วย”
“ดีเจ้าค่ะ”
เซ่าหมิงยวนสวมหมวกม่านแพรไปบนศีรษะฉือชั่นตามเดิมก่อนหมุนกายเดินหิ้วตัวสหายแยกไป
ฉือชั่นดิ้นขัดขืน “เซ่าหมิงยวน ปล่อยมือนะ! เจ้าคนบัดซบ ไม่กลัวมีเสียงลือว่าเจ้าฉุดคร่าหญิงสาวชาวบ้านกลางถนนจนเสื่อมเสียชื่อเสียงใช่หรือไม่”
เซ่าหมิงยวนกล่าวตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ชื่อเสียงจอมปลอมเหล่านั้นข้าหาได้ใส่ใจไม่”
“ไม่ปล่อยมือจริงๆ รึ ข้าจะตะโกนว่าถูกลวนลามแล้วนะ”
“เจ้าลองดูก็ได้ว่าเจ้าตะโกนเร็วกว่าหรือมือข้าไวกว่า ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจว่าจะตีเจ้าให้สลบ” เซ่าหมิงยวนพูดเตือนเสียงเอื่อยๆ
ฉือชั่นถอดใจโดยสิ้นเชิง ตอนใกล้จะเดินไปถึงหอชุนเฟิงถึงคิดตามทัน “ข้าเข้าใจแล้ว นี่ข้าโดนแม่นางน้อยนั่นหักหลังกระมัง”
“เจ้าคิดแล้วเข้าใจได้ ข้ายังรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก”
ฉือชั่นโมโหยกใหญ่ “นี่นางตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้นรึ! คราวหน้าข้าจะต้อง…”
“ขืนมีคราวหน้าอีก ข้าจะชกเจ้าจนไม่มีใครจำหน้าได้เลย!” เซ่าหมิงยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“อาศัยอะไรกัน เซ่าหมิงยวน เจ้าเป็นสหายของใครกันแน่”
“ของเจ้า แต่ถ้าเจ้าพูดพล่ามต่อไป ข้าจะตีให้สลบแล้ว”
ฉือชั่นโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง “คนแซ่เซ่า เจ้ายังมีเหตุผลหรือไม่”
“ข้าไม่อาจใช้เหตุผลกับคนที่ชอบปลอมตัวเป็นสตรีผู้หนึ่งได้”
หลังมองส่งคนทั้งสองเดินห่างไปไกลขึ้นเรื่อยๆ เฉียวเจาก็โคลงศีรษะแย้มยิ้มอย่างกลั้นไม่อยู่ นางเข้าไปในร้านน้ำชาซื้อขนมเปี๊ยะชาเขียวสองกล่องแล้วกลับเข้าจวน
“คุณหนู นี่เป็นเทียบที่คุณหนูใหญ่ของจวนเสนาบดีโค่วส่งมา บอกว่าหากท่านมีเวลาว่าง วันพรุ่งนี้จะมาเยี่ยมเยียนเจ้าค่ะ”
เฉียวเจารับเทียบขอเยี่ยมในมืออาจูมาอ่านเล็กน้อย นางใคร่ครวญครู่เดียวก็เขียนสารฉบับหนึ่งส่งให้สาวใช้ “ถือเทียบตอบกลับไปส่งที่จวนเสนาบดีโค่ว”
วันถัดมา
โค่วจื่อโม่มาเยือนแต่เช้าตรู่ อาจูนำทางพานางตรงไปที่เรือนเล็กฝั่งซ้าย
เฉียวเจาย่ำเท้าลงบันไดไปต้อนรับ “คุณหนูโค่ว ท่านมาแล้วหรือ”
ฟ้าโปร่งแจ่มใส แสงแดดอาบไล้วงหน้าขาวกระจ่างของเด็กสาวแผ่ประกายสีทองระยับ โค่วจื่อโม่อดมองไปที่แก้มขวาของนางไม่ได้
รอยแผลตรงนั้นตกสะเก็ดเป็นสีเข้มทำให้ทนมองดูตรงๆ ไม่ได้
โค่วจื่อโม่เบนสายตาออก กล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “คุณหนูหลีซาน ข้าดูสีหน้าท่านดีขึ้นมาก”
เฉียวเจาเดินเข้าไปในเรือนเป็นเพื่อนนางพลางพูดยิ้มๆ “ใช่แล้ว หลายวันมานี้กินอิ่มนอนหลับ ไม่มีเรื่องใดให้ต้องกังวลใจ อยากให้สีหน้าไม่ดีขึ้นยังยากเลย แค่ว่ารู้สึกคันๆ ตรงที่แผลตกสะเก็ด น่าจะใกล้หลุดออกแล้ว”
“อย่าเกาเด็ดขาดนะ ต้องปล่อยให้มันหลุดไปเองจึงจะดี”
“ข้าทราบแล้ว ขอบคุณคุณหนูโค่วมาก”
พวกนางก้าวเข้าไปนั่งในเรือน ส่วนอาจูยกน้ำชามาวางให้แล้วถอยไปด้านข้าง
โค่วจื่อโม่ล้วงกล่องเครื่องประดับวิจิตรประณีตใบหนึ่งออกจากแขนเสื้อแล้วเลื่อนไปให้นาง “คุณหนูหลีซาน เมื่อวานครอบครัวของเวยอวี่ออกเดินทางจากเมืองหลวงไปแล้ว ข้าไปส่งนาง นางฝากสิ่งนี้ให้ข้านำมามอบต่อให้ท่าน บอกว่าเป็นของที่ระลึก”
นางกล่าวถึงตรงนี้แล้วทำตาแดงๆ พลางเอ่ยทอดถอนใจ “เวยอวี่ไปครานี้ วันหน้าเกรงว่าจะไม่มีวันได้พบกันอีก”
“เป่ยติ้งอยู่ห่างจากเมืองหลวงไม่ไกลนัก วันหน้าใช่ว่าจะไม่มีโอกาสพบกันใหม่”
“จริงของท่าน เพียงแต่ข้าเติบใหญ่จนป่านนี้ ไม่เคยออกจากเมืองหลวงเลย ไม่รู้ว่าโลกภายนอกเป็นอย่างไรบ้าง”
เฉียวเจาแย้มยิ้ม “ข้ากลับได้ไปทางทิศใต้มาหนหนึ่ง ถ้าคุณหนูโค่วอยากฟัง ข้าจะเล่าให้ฟัง”
โค่วจื่อโม่ลอบแปลกใจอยู่บ้าง
แวดวงของชนชั้นสูงในเมืองหลวงก็ใหญ่เพียงเท่านี้ พูดได้ว่าเรื่องที่คุณหนูหลีซานถูกล่อลวงไปนั้นรู้กันไปทั่ว สำหรับคุณหนูคนใดก็ตาม มันเป็นบาดแผลที่แตะต้องมิได้ ไม่คิดว่านางจะปล่อยวางได้เช่นนี้
พอเห็นอีกฝ่ายเงียบไป เฉียวเจาก็เริ่มเล่าไปเรื่อยๆ
นางพำนักอาศัยอยู่ทางทิศใต้มานาน เคยตามท่านปู่ออกท่องชมทิวทัศน์ธรรมชาติจึงเล่าเรื่องราวได้อย่างลื่นไหลคล่องปากจนคนฟังรู้สึกเหมือนตนเองอยู่ในสถานที่นั้น
โค่วจื่อโม่ฟังด้วยความเพลิดเพลินขึ้นทุกที
“คุณหนู ถึงเวลาทายาแล้วเจ้าค่ะ” ยามนี้เองอาจูก็เอ่ยเตือน
เฉียวเจาหยุดพูดแล้วส่งยิ้มเป็นเชิงขอโทษโค่วจื่อโม่ “คุณหนูโค่วนั่งรอสักครู่ ข้าไปทายาก่อน”
นางลุกขึ้นเดินไปที่ห้องด้านใน ไม่นานนักมีเสียงอุทานของอาจูดังขึ้น “คุณหนู! แผลของท่าน…”
โค่วจื่อโม่ซึ่งอยู่ด้านนอกลุกขึ้นยืนส่งเสียงถามผ่านม่านลูกปัด “คุณหนูหลีซาน ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
ข้างในไร้สุ้มเสียงใดไปชั่วครู่
โค่วจื่อโม่รู้สึกว่าไม่เข้าที นางพูดเสียงดังขึ้นแกมร้อนใจหลายส่วน “คุณหนูหลีซาน ท่านเป็นอย่างไรบ้างกันแน่”
นานครู่ใหญ่เสียงของเฉียวเจาถึงดังลอยมา “สะเก็ดแผลหลุดออกเลยตกใจอยู่สักหน่อย”
สะเก็ดแผลหลุดแล้ว?
โค่วจื่อโม่ใจเต้นผิดจังหวะวูบหนึ่ง นางเดินสองก้าวไปทางด้านในอย่างห้ามไม่อยู่ “ท่านไม่เป็นไรกระมัง”
ม่านลูกปัดถูกเลิกขึ้น เฉียวเจาสาวเท้าออกมา โค่วจื่อโม่มองปราดไปที่แก้มขวาของนางแล้วอดเปล่งเสียงอุทานไม่ได้
ยามนี้สะเก็ดแผลบนแก้มขวาของเฉียวเจาหลุดออก เผยให้เห็นผิวกายสีอมชมพู ดูไปแล้วยังอ่อนนุ่มกว่าบริเวณรอบข้างด้วยซ้ำไป
โค่วจื่อโม่ตกตะลึงจนพูดไม่ออก
เฉียวเจาผลิยิ้ม “น่าจะต้องทายาอีกสองสามครั้งก็จะหายสนิทดังเดิม”
“ไม่เหลือรอยแผลเป็นจริงๆ หรือนี่” โค่วจื่อโม่ห้ามใจไม่อยู่ ยื่นมือออกไปจะสัมผัสแก้มขวาของนาง ขณะที่ปลายนิ้วเจียนจะแตะโดนถึงได้สติกะทันหัน นางกล่าวด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ “ขออภัยด้วย ข้าเผลอตัวไป”
นางจะไม่เผลอตัวได้อย่างไร วันนั้นนางเห็นกับตาว่าบาดแผลบนใบหน้าของคุณหนูหลีซานสาหัสปานใด ต่อให้ใช้ยาขี้ผึ้งน้ำค้างแข็งเมฆาสรรพคุณดีเพียงใดก็ต้องเป็นแผลเป็น
ทว่านี่เพิ่งผ่านไปเจ็ดแปดวันถึงกับหายดีแล้ว
ในแผ่นดินนี้มียาลบเลือนรอยแผลที่มหัศจรรย์เพียงนี้อยู่จริงหรือ
ถ้าเป็นเช่นนี้ แผลไฟไหม้บนใบหน้าของญาติผู้พี่ก็มีโอกาสดีขึ้นได้เช่นกันใช่หรือไม่
ไม่สิ แผลไฟไหม้กับแผลกระทบกระแทกทั่วไปไม่เหมือนกัน นางจะตั้งความหวังมากเกินไปไม่ได้
ถึงกระนั้นก็ตาม สามารถทุเลาลงได้สักนิดก็ยังดี
เมื่อคิดถึงเฉียวโม่ ในใจโค่วจื่อโม่ก็ปวดหนึบๆ ระลอกหนึ่ง นางลอบสงบอารมณ์ครู่หนึ่งถึงเอ่ยกับเฉียวเจา “คุณหนูหลีซาน ยาลบรอยแผลที่ท่านใช้จะรักษาแผลไฟไหม้ได้ด้วยหรือไม่”
“ได้สิ”
โค่วจื่อโม่ตาเป็นประกาย นางขยุ้มชายเสื้ออย่างตื่นเต้น “ไม่ทราบว่าคุณหนูหลีซานยังมียานี้เหลืออยู่อีกเท่าไร”
“เหลืออยู่ไม่มากแล้ว”
ดวงตาของเด็กสาวทอแววผิดหวังเต็มที นางพูดพึมพำ “เช่นนั้นหรือ”