หวนคืนอีกครา สู่ห้วงเวลาแสนงาม - บทที่ 201
บทที่ 201
โค่วจื่อโม่ลอบกุมมือน้องสาว กล่าวเสียงกระซิบ “อย่าคิดมากเกินไป ทำไปตามที่ข้ามอบหมายเจ้าไว้ก่อนหน้านี้”
“ได้เจ้าค่ะ”
ไม่นานนักซูลั่วอีก็มาถึง นางกล่าวขอขมา “ข้ามาสายแล้ว ก่อนออกจากเรือนมีบางเรื่องทำให้เสียเวลา เอ๊ะ น้องหลีซาน ใบหน้าเจ้าหายสนิทแล้วหรือ”
จูเหยียนยิ้มอยู่ด้านข้าง “ใช่แล้ว เมื่อครู่พวกข้าก็อัศจรรย์ใจกันไปแล้ว”
“หายได้ว่องไวเพียงนี้เชียวหรือนี่” ซูลั่วอีพิศดูเฉียวเจาแล้วระบายลมหายใจเฮือก “พักก่อนยังลือกันว่าน้องหลีซานเสียโฉม วันนั้นหลังจากไปเยี่ยมเจ้า ข้ายังเป็นห่วงมาโดยตลอด ตอนนี้วางใจได้เสียที”
เฉียวเจาเอ่ยยิ้มๆ “ทำให้พี่ซูเป็นกังวลแล้ว ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าจะฟื้นฟูได้รวดเร็วเช่นนี้”
“ยังคงรู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง”
โค่วจื่อโม่กล่าวเสริมขึ้น “เรื่องนี้ข้ารู้ คุณหนูหลีซานมียาลบรอยแผลชั้นดีอยู่ในมือ ซ้ำยังดีกว่ายาขี้ผึ้งน้ำค้างแข็งเมฆาชั้นเลิศเป็นอย่างมากด้วยนะ”
“จริงหรือเจ้าคะ พี่ใหญ่ ไฉนไม่เคยได้ยินท่านเอ่ยถึงเลย” โค่วชิงหลันพลันถามขึ้น
โค่วจื่อโม่ผลิยิ้ม “เจ้าไม่รู้จักคุณหนูหลีซานเสียหน่อย แล้วจะเอ่ยกับเจ้าด้วยเหตุใด เป็นวันที่ข้าไปเยี่ยมคุณหนูหลีซานแล้วบังเอิญได้ยินพอดี”
“ตอนนี้ก็รู้จักแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ” โค่วชิงหลันตวัดสายตามองเฉียวเจาปราดหนึ่ง
“จริงสิ จื่อโม่ เจ้าบอกว่าชวนพวกข้ามาดูลูกกวางไม่ใช่หรือ ลูกกวางอยู่ที่ใดหรือ” ซูลั่วอีไต่ถาม
จูเหยียนพูดขึ้นบ้าง “นั่นสิ ถ้ามิใช่อยากเห็นลูกกวาง อากาศเช่นนี้ข้ากลัวที่จะออกมาข้างนอกจริงๆ”
“วันนี้ฟ้าครึ้ม” สวี่จิงหงกล่าวเรียบๆ
โค่วจื่อโม่ลุกขึ้น “พวกท่านตามข้ามา มีเรื่องให้ตื่นเต้นและประหลาดใจแน่”
ทุกคนติดตามไปด้วยความสนใจใคร่รู้
โค่วจื่อโม่พาพวกนางเดินอ้อมทะเลสาบครึ่งรอบ จากนั้นลัดเลาะไปตามทางเดินศิลาเขียวตัดผ่านป่าไผ่เขียวขจีร่มครึ้มมาถึงด้านหน้าผืนหญ้าเล็กๆ แห่งหนึ่ง
“พวกท่านดูทางนั้นสิ” โค่วจื่อโม่ยกมือชี้
เฉียวเจามองไปยังทิศทางที่นิ้วมือของนางชี้ไป เห็นกวางดาวโตเต็มวัยสองตัวเล็มหญ้าอยู่อย่างสบายอารมณ์ ห่างไปไม่ไกลนักมีลูกกวางเล็กๆ สองตัวขดตัวอยู่
ซูลั่วอีปิดปากอุทานขึ้น “มีสองตัวหรือนี่!”
“เบาเสียงหน่อย กวางตกใจง่ายมาก” โค่วจื่อโม่บอกยิ้มๆ “ข้าคิดไม่ถึงเช่นกันว่ามันจะออกลูกมาสองตัว พวกท่านดูสิ ลูกกวางสองตัวเหมือนกันทุกอย่างเลย”
“เข้าไปดูใกล้กว่านี้ได้หรือไม่” ซูลั่วอีเอ่ยถาม
“ได้สิ ข้าเป็นคนเลี้ยงกวางสองตัวนี้จนมันคุ้นเคยกับคน ขอเพียงทำเสียงเบาๆ ก็ไม่มีปัญหา” โค่วจื่อโม่พูดแล้วออกเดินนำหน้าไปก่อน
กวางดาวหนึ่งในนั้นเพียงมองมาอย่างระแวดระวังแวบเดียวจริงๆ จากนั้นขยับตัวไปไกลขึ้นแล้วก้มหน้ากินหญ้าต่อ
ขณะที่อีกตัวหนึ่งย่ำเท้าวนไปวนมาอยู่ข้างๆ ลูกกวางสองตัว แม้จะไม่เดินหนี แต่ก็จับตาดูพวกนางด้วยความระวังระไว
ซูลั่วอีกระซิบถาม “จื่อโม่ นี่ต้องเป็นแม่กวางแน่ๆ เลยกระมัง”
โค่วจื่อโม่ยังไม่กล่าวตอบ สวี่จิงหงก็ชายตามองซูลั่วอีพลางพูดเสียงเย็นๆ “กวางตัวผู้มีเขา”
ซูลั่วอีหน้าแดงก่ำ
จูเหยียนหัวเราะเบาๆ
พวกนางมุงดูลูกกวางอยู่นานจนจุใจแล้วถึงตั้งท่าจะเดินกลับไปศาลารับลม
โค่วชิงหลันพลันเอ่ยปากขึ้น “พี่ใหญ่ พวกท่านกลับไปก่อนเถอะ ข้าอยากคุยกับคุณหนูหลีซานสักหน่อย”
“ถ้าอย่างนั้นพวกข้ากลับไปพักก่อน ประเดี๋ยวพวกเจ้าตามมานะ ข้าให้คนเตรียมขนมหวานเย็นเอาไว้แล้ว”
เมื่อกลับถึงศาลารับลม พวกเด็กสาวกินขนมหวานเย็นที่ใส่เครื่องต่างๆ เช่นเมล็ดซิ่ง เหอเถา* ลูกบัว กระจับ แตงโม ลูกท้อ เป็นต้นแล้วรู้สึกเย็นชื่นใจทันใด
“คนร่าเริงอย่างชิงหลันกลับถูกชะตากับคุณหนูหลีซานได้หรือนี่ ข้ารู้สึกมาโดยตลอดว่าคุณหนูหลีซานเป็นคนเงียบขรึมมาก” ซูลั่วอีกล่าวเสียงเนิบนาบ
โค่วจื่อโม่ถอนใจเฮือกหนึ่ง “ข้าพอจะเดาความคิดของน้องรองได้เลาๆ นางมีรอยแผลเป็นตั้งแต่เด็ก คงจะถามรบเร้าเรื่องยาลบรอยแผลจากอีกฝ่ายเป็นแน่ รู้แต่แรกข้าไม่สมควรเอ่ยถึงเลย จะได้ไม่ทำให้คุณหนูหลีซานต้องลำบากใจ”
“นี่เป็นธรรมดาของปุถุชน สตรีคนใดกันไม่สนใจเรื่องพวกนี้เล่า จื่อโม่ ขนมหวานเย็นของจวนเจ้าทำได้ถึงรสชาติแบบต้นตำรับมาก จ้างคนครัวมาโดยเฉพาะใช่หรือไม่”
จากนั้นพวกนางก็เริ่มสนทนาสัพเพเหระกัน
บนพื้นหญ้าลึกเข้ามาในป่าไผ่ โค่วชิงหลันดึงเฉียวเจานั่งลง
“คุณหนูหลีซาน ข้าได้ยินพี่จื่อโม่บอกว่าวันนั้นที่จวนกู้ชางป๋อ ตอนประชันต่อคำโคลงคู่ ท่านแสดงฝีมือเหนือชั้น ข่มหลันซีหนงจนโงหัวไม่ขึ้นเลยหรือ”
“แค่เล่นสนุกกันเท่านั้น”
โค่วชิงหลันกะพริบตาปริบๆ “ข้าก็ชมชอบต่อคำโคลงคู่ พวกเรามาเล่นกันดีกว่า”
“อ้อ ได้สิ”
โค่วชิงหลันมองป่าไผ่แวบหนึ่งแล้วคลี่ยิ้มเอ่ยขึ้น “ได้แล้ว โคลงวรรคแรกของข้าคือ ‘ใบสนใบไผ่เขียวขจีทุกก้านใบ’ ”
เฉียวเจากล่าวตอบโดยไม่หยุดคิดใคร่ครวญ “โคลงวรรคหลังของข้าคือ ‘เสียงสารทเสียงห่านหนาวเหน็บทุกสุ้มเสียง’ ”
“‘ไม้เก่าห่มไอหมอกย่ำสายัณห์’”
“‘กิ่งใหม่เรี่ยผิวน้ำแรกรุ่งสาง’”
โค่วชิงหลันนิ่งไปครู่หนึ่งถึงกล่าวต่อ “‘ดอกท้องามโรยรา รอยโลหิตฤามิเลือนลบชาด’”
“‘ดอกตูมร่วงก่อนบาน ทิ้งเพียงกลิ่นไม้จันทน์เกลื่อนกลบร่าง’” เฉียวเจาต่อโคลงอย่างชำนาญว่องไวจบแล้วชักหนักอกหนักใจ
นี่หาใช่คำโคลงคู่ที่เป็นมงคลอันใดเลย ทว่าโค่วชิงหลันยังพูดต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่รับรู้โดยสิ้นเชิง
พวกนางผลัดกันต่อคำโคลงคู่ไปอีกหลายบท จู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะเล็กใสของดรุณีน้อยดังลอยมาจากป่าไผ่ “พี่ใหญ่ เร็วเข้าสิเจ้าคะ”
ชั่วอึดใจที่ได้ยินเสียงนี้ เฉียวเจาแข็งเกร็งไปทั้งร่างกะทันหัน ส่งผลให้ปลายนิ้วมือเริ่มสั่นเทาน้อยๆ
นางรอคอยเป็นเวลานานเท่าใดก็สุดรู้ บางทีอาจเป็นแค่ชั่วพริบตาแต่กลับแสนยืดยาวจนทำให้ลืมหายใจ จึงได้ยินเสียงนั้นในที่สุด
สุ้มเสียงของบุรุษทุ้มนุ่มกังวานประหนึ่งพระพายโชยผ่านป่าไผ่ “อย่าวิ่งเร็วเกินไป ระวังจะหกล้มนะ”
“พี่ใหญ่ช่างกังวลใจอยู่ร่ำไป ถึงจะหกล้มก็ไม่เจ็บ ข้าอยากดูลูกกวางเจ้าค่ะ”
เสียงหัวเราะอย่างอ่อนใจของบุรุษดังลอยตามมา “ถึงจะไม่กลัวหกล้มก็ต้องเสียงเบาๆ นะ ไม่อย่างนั้นลูกกวางจะตกใจหนีไปเพราะเจ้า”
“เอ๊ะ พี่ชิงหลัน ท่านก็อยู่ที่นี่หรือเจ้าคะ”
โค่วชิงหลันลุกขึ้นยืน “หว่านวานมาดูลูกกวางหรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ ข้าพาพี่ใหญ่มาดูลูกกวางที่หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบสองตัวนี้”
“ญาติผู้พี่” โค่วชิงหลันยอบกายคำนับเฉียวโม่
“น้องชิงหลัน” เขาผงกศีรษะกับนาง จากนั้นเลื่อนสายตาไปที่ตัวเด็กสาวในชุดเรียบง่ายซึ่งยืนหันหลังให้ตนอยู่
“นี่คือคุณหนูสามของจวนสกุลหลีเจ้าค่ะ วันนี้พี่จื่อโม่เชิญนางมาเที่ยวที่จวน” โค่วชิงหลันกล่าวแนะนำ
เฉียวเจาหมุนกายมา
“คุณหนูหลี นี่คือญาติผู้พี่กับญาติผู้น้องจากตระกูลท่านอาหญิงของข้าเอง”
“ยินดีที่ได้พบกับท่านทั้งสองเจ้าค่ะ”
ชะรอยจะเป็นดังคำที่กล่าวว่ายิ่งใกล้บ้านเกิดยิ่งพรั่นใจ* นางถึงกับไม่กล้าเงยหน้าขึ้นในชั่วขณะ
เฉียวหว่านกวาดสายตามองหน้าเฉียวเจารอบหนึ่งแล้วหมดความสนใจ นางกล่าวตอบคำหนึ่ง “ยินดีที่ได้พบกับพี่หลีเจ้าค่ะ” แล้วก็วิ่งไปหาลูกกวาง
ด้านเฉียวโม่รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นเด็กสาวตรงหน้ามาก่อน แต่จะมองนางอย่างพินิจก็ไม่เหมาะสม เขาจึงพยักหน้าอย่างสุภาพ “คุณหนูหลี ยินดีที่ได้พบกัน”
เฉียวเจาเงยหน้าขึ้นมองอย่างอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป
เทียบกับที่เหลือบเห็นแวบเดียวในวันนั้น พี่ชายในชุดผ้าป่านเนื้อละเอียดสีขาวผ่ายผอมลงไปอีกมาก แทบจะเข้าขั้นผอมจนหนังหุ้มกระดูกเลยทีเดียว
เฉียวเจาลอบปวดใจ นางเผลอตัวมองจนลืมเบนสายตาออก
โค่วชิงหลันยืนอยู่ข้างๆ พึมพำในใจ พี่จื่อโม่บอกว่าคุณหนูหลีซานต้องดูอาการบาดแผลบนใบหน้าของญาติผู้พี่ถึงจะกะปริมาณส่วนผสมในตำรับยาได้ถูกต้อง ทว่าคุณหนูหลีซานเจอกับญาติผู้พี่แล้วมองหน้าเขาจดจ่อเกินไปกระมัง ไม่รู้สึกเหนียมอายสักนิดเลยหรือ
นางคิดคำนึงอยู่เช่นนี้ก็เห็นเฉียวเจาเดินพรวดๆ ไปหาเฉียวโม่แล้วยื่นมือไปจับมือเขาไว้
* เมล็ดซิ่ง คือเมล็ดแอปปริคอต เหอเถา คือวอลนัท
* ยิ่งใกล้บ้านเกิดยิ่งพรั่นใจ เป็นคำเปรียบเปรย หมายถึงอารมณ์ความรู้สึกของคนที่จากบ้านเกิดและคนคุ้นเคยไปนานๆ เมื่อกลับมาเจอกันอีกครั้งย่อมจะเกิดความรู้สึกทั้งตื่นเต้นและวิตกกังวลไปต่างๆ นานา